มหาสมบัติจักรพรรดิ (๒) (รัตนะทั้ง ๗ ของพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดขึ้น)

มหาสมบัติจักรพรรดิ (๒) (รัตนะทั้ง ๗ ของพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดขึ้น)

ท่ามกลางกระแสกิเลสและอวิชชาที่ห่อหุ้ม เห็น จำ คิด รู้ ของเหล่าสรรพสัตว์ ทำให้มวลมนุษย์ต้องตกอยู่ในห้วงแห่งทะเลทุกข์ เหมือนหลงทางอยู่ในความมืดมิด การบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัย จึงเปรียบเสมือนดวงประทีป ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด เพื่อขจัดความมืด คืออวิชชาให้หมดไป อย่างไรก็ดี การที่เราจะเข้าถึงจุดแห่งความสว่างภายในได้นั้น ต้องหมั่นทำใจให้หยุดให้นิ่ง จนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกายภายในตัว เมื่อนั้น แสงธรรมอันไม่มีประมาณ และธรรมรสอันเลิศจะพรั่งพรูกันออกมา ชีวิตของเราก็จะสมปรารถนาในทุกสิ่งอย่างแน่นอน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน นิธิกัณฑ์สูตร ความว่า

“มานุสฺสิกา จ สมฺปตฺติ เทวโลเก จ ยา รติ
ยา จ นิพฺพานสมฺปตฺติ สพฺพเมเตน ลพฺภติ

สมบัติอันเป็นของมนุษย์ สมบัติอันเป็นทิพย์ที่น่ายินดีในเทวโลก และนิพพานสมบัติ สมบัตินั้นทั้งปวง ย่อมได้ด้วยบุญนิธิ”

อานุภาพแห่งบุญเป็นอานุภาพที่ไม่มีประมาณ จะคอยประคับประคองเจ้าของบุญให้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข และสมบูรณ์พร้อมด้วยสมบัติทั้งหลาย มหาสมบัติจะบังเกิดขึ้นเฉพาะผู้มีบุญเท่านั้น เป็นอสาธารณะไม่เกิดขึ้นกับคนทั่วไป เมื่อคราวที่แล้ว ได้นำเรื่องราวของมหาสมบัติจักรพรรดิ มาเล่าให้พวกเราได้รับฟังกัน เป็นตำนานแห่งจักรรัตนะ ที่บังเกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งบุญของพระเจ้าจักรพรรดิ ครั้งนี้จะนำเรื่องรัตนะทั้ง ๗ ประการ มาเล่าให้ฟังต่อ

หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่า สมบัติจักรพรรดินี้เกิดขึ้นตอนไหน ตอนที่สมบัติจะเกิดขึ้นนั้น พระเจ้าจักรพรรดิทรงถวายมหาทานบารมี สมาทานอุโบสถศีล ประทับนั่งตามลำพัง เพื่อระลึกนึกถึงบุญที่ได้สั่งสมมาดีแล้ว เมื่อถึงเวลารัตนะทั้ง ๗ ก็จะปรากฏขึ้นเอง หัตถีรัตนะ คือ ช้างแก้ว ซึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์จะออกมาจากป่าหิมพานต์

ในหิมพานต์นี้ * มีช้าง ๑๐ ตระกูลอาศัยอยู่ ซึ่งมีตระกูลช้างกาฬาวกะ ช้างคังเคยยะ ช้างปัณฑระ ช้างตัมพะ ช้างปิงคละ ช้างคันธะ ช้างมังคละ ช้างเหมวตะ ช้างอุโบสถ และสุดท้ายคือ ตระกูลช้างฉัททันต์ ถ้าเป็นช้างธรรมดาทั่วไปที่เรารู้จักกัน ถูกจัดไว้ในตระกูลแรก คือ ตระกูลช้างกาฬาวกะ

กำลังของช้างแต่ละตระกูลไม่เท่ากัน กำลังของบุรุษที่แข็งแรงมากๆ ๑๐ คนเท่ากับกำลังของช้างกาฬาวกะ ๑ เชือก ช้างกาฬาวกะ ๑๐ เชือกเท่ากับกำลังตระกูลช้างคังเคยยะ ๑ เชือก ช้างคังเคยยะ ๑๐ เชือก เท่ากับตระกูลช้างปัณฑระ ๑ เชือก และไล่เรื่อยขึ้นไปเช่นนี้ ๑๐ ต่อ ๑ จนกระทั่งถึงช้างตระกูลเหมวตะ ๑๐ เชือกเท่ากับช้างอุโบสถ ๑ เชือก ช้างตระกูลอุโบสถ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังของช้างฉัททันต์ ๑ เชือก ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิจะมาจากสองตระกูลหลังนี้ และที่มีกำลังมากที่สุดคือตระกูลพญาช้างฉัททันต์ ทั้งสองตระกูลนี้คือเผ่าของหัตถีรัตนะ

* ช้างแก้วของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิมาจากตระกูลอุโบสถ ตัวจะขาวปลอดสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา คชลักษณ์สมบูรณ์ทุกอย่าง คอและปากจะมีสีแดงเหมือนมณฑลของพระอาทิตย์ รูปร่างงามสมส่วน ผิวตึงไม่เหี่ยวย่น มีอวัยวะน้อยใหญ่สมบูรณ์ ดวงตาก็สดใสราวกับตาของเทพบุตร มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทอดพระเนตรเห็นช้างแล้ว ทรงพอพระทัยมาก ตรัสว่า ช้างเชือกนี้เป็นช้างที่มีคชลักษณ์สมบูรณ์มาก ถ้าพึงฝึกหัดก็จะดี ทันทีที่พระองค์ตรัสจบ ช้างนั้นก็จะเป็นไปตามที่พระราชารับสั่งทันที

เราจะเห็นว่า ผู้มีบุญพูดสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะสำเร็จสมปรารถนาทันที เมื่อพระองค์จะทดสอบช้างแก้ว ตอนเช้าก็จะเสด็จขึ้นบนหลังเพื่อไปตรวจบ้านเมือง ไปทั่วมหาเมธนีดลจรดฟากฝั่งมหาสมุทร แล้วเสด็จกลับมาที่กุสาวดีราชธานี มาทันเสวยพระกระยาหารเช้า นี่เป็นอานุภาพของช้างแก้ว

ต่อมา อัสสรัตนะบังเกิดขึ้นอีก คือ ม้าแก้ว ม้าคู่บุญเป็นม้าสินธพชื่อวลาหก รูปร่างองอาจสง่างาม ท่วงท่าก้าวย่างน่าดูน่าชื่นชม ที่ได้ชื่อว่า วลาหก เพราะมีลำตัวขาวปลอดเหมือนก้อนเมฆ สะอาดสะอ้าน เท้าทั้ง ๔ ข้าง มีสีแดง มีร่างกายแข็งแรงมาก ขนละเอียดอ่อนละมุนละไม เหาะเหินเดินอากาศได้เหมือนช้างแก้ว

เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็น ทรงตรัสชื่นชมด้วยความพอพระทัย แล้วตรัสว่า ถ้าพึงฝึกหัดก็จะเป็นม้าที่ดี ทันทีที่ตรัสจบ ม้าแก้วตัวนั้นก็เป็นเหมือนที่ถูกฝึกดีแล้ว และเมื่อพระเจ้าสุทัสสนะต้องการพิสูจน์ม้าตัวนี้ ตอนเช้าพระองค์จะเสด็จขึ้นหลังม้า ออกจากเมืองไปตรวจราชการทั่วแผ่นดิน ทรงเสด็จออกขณะที่บริวารเพิ่งนำพระกระยาหารมาตั้งไว้ จากนั้นม้าแก้วก็จะพาไปทั่วทวีปทั้งสี่ แล้วสามารถกลับมาทันเสวยพระกระยาหารเช้า นี่คือฤทธิ์ของม้าแก้วอันเกิดจากอานุภาพแห่งบุญ เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก

เมื่ออัสสรัตนะบังเกิดขึ้นแล้ว มณีรัตนะก็บังเกิดขึ้นอีก เป็นแก้วมณีที่มาจากวิปุลบรรพต งดงามราวกับเจียระไนมาเป็นอย่างดี มีรัศมีเปล่งสว่างออกจากข้าง มณีรัตนะนี้จะมีดวงบริวารถึง ๘๔,๐๐๐ ดวง รัศมีแผ่ออกไปเสมือนกระทบรัศมีของพระจันทร์ เมื่อแก้วมณีบังเกิดขึ้นแล้ว หากยกขึ้นบนอากาศประมาณ ๖๐ ศอก แสงสว่างของแก้วมณีจะแผ่ออกไปในรัศมี ๑ โยชน์โดยรอบ ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นสว่างเหมือนเวลากลางวัน ชาวนาชาวไร่สามารถทำงานได้ นกกาก็ออกหากินเพราะเข้าใจว่าเป็นกลางวัน นี่คืออานุภาพแห่งมณีรัตนะ แก้วมณีนี้มีอานุภาพดึงดูดสมบัติทั้งหลายไว้ใช้สร้างบารมี ผู้คนไม่ต้องลำบากในการทำมาหากิน จะมีสมบัติสำหรับสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย

ครั้นมณีรัตนะอุบัติขึ้น อิตถีรัตนะก็เกิดขึ้นตามมา นางแก้วนี้มาจากมัททราชตระกูล ซึ่งเป็นตระกูลที่มีบุญมาก หากในที่นั้นไม่มีนางแก้ว เทวดาก็จะนำมาจากอุตตรกุรุทวีป นางแก้วนี้มีรูปร่างสวยงามน่าดู น่าชม ไม่สูง ไม่เตี้ย ไม่ผอมเกิน ไม่อ้วนเกิน ไม่ดำ ไม่ขาว พอดีๆ ผิวพรรณเป็นแบบกึ่งทิพย์ คือ ละเอียดเกินกว่าผิวมนุษย์แต่ไม่ถึงกับทิพย์ สัมผัสทางกายของนางแก้วนุ่มนวลละมุนละไม เมื่ออากาศเย็น ผิวนางแก้วจะอุ่น เมื่ออากาศร้อนผิวจะเย็นสบาย กลิ่นจันทน์จะหอมฟุ้งออกจากกายตลอดเวลา อาจาระก็บริสุทธิ์ ไม่เคยแม้แต่จะมีความคิดนอกใจ และที่พิเศษยิ่งกว่านั้น คือ แสงสว่างจะออกจากกายประมาณ ๑๒ ศอก ทำให้อาณาบริเวณนั้นสว่างไสว ใครได้เห็นนางแก้ว จะมองไม่รู้เบื่อ เกิดความอิ่มอกอิ่มใจทีเดียว

เมื่ออิตถีรัตนะบังเกิดขึ้นแล้ว คหปติรัตนะก็บังเกิดขึ้นตามมา โดยปกติท่านผู้นี้เป็นคนที่มีทรัพย์มาก แต่ด้วยอานุภาพบุญและการสงเคราะห์ของจักรแก้ว ทำให้คฤหบดีแก้วมีตาทิพย์ สามารถมองเห็นทรัพย์สมบัติต่างๆ ได้ในรัศมี ๑ โยชน์ เมื่อคฤหบดีพบว่า มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นกับตนจะดีอกดีใจรีบไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ พร้อมกับปวารณารับใช้ทางด้านคลังสมบัติ เมื่อพระราชาจะทดสอบคฤหบดีแก้วขณะล่องเรือไปด้วยกันนั้น พระองค์จะตรัสว่า “คฤหบดี ท่านจงเอาสมบัติมาให้เราด้วยเถิด” คฤหบดีทูลตอบว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์ทรงเทียบเรือเข้าฝั่งเถิด” พระเจ้าจักรพรรดิก็จะบอกว่า “เราต้องการสมบัติตรงนี้แหละ”

คฤหบดีแก้วจะใช้ตาทิพย์ตรวจ แล้วใช้มือช้อนลงไปในน้ำ นำสมบัติที่เต็มไปด้วยเงินทองและรัตนะขึ้นมาถวายพระองค์ ทำให้จอมจักรพรรดิทรงปีติเบิกบาน พร้อมกับรับสั่งว่า พอแล้ว พระองค์เพียงแค่ต้องการทดสอบเท่านั้นเอง นี่คืออานุภาพแห่งขุนคลังแก้วคู่บารมี

แก้วประการที่ ๗ คือ ปริณายกแก้ว หรือ ขุนพลแก้ว เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ มีปัญญา ขุนพลแก้วนี้จะมีบุญพิเศษ สามารถรู้จิตของผู้อื่นได้ในรัศมี ๑๒ โยชน์ ทำให้รู้ว่าใครคิดอย่างไรกับพระเจ้าจักรพรรดิ จะเป็นผู้ดูแลจัดพระราชกรณียกิจให้พระองค์ เช่น วันนี้จะเสด็จไปที่ไหนบ้าง จะดูแลรับผิดชอบในหน้าที่การงานทุกอย่าง ทำให้พระเจ้าจักรพรรดิปกครองราชธานี ด้วยความสงบร่มเย็น ไม่กังวลพระหฤทัยเกี่ยวกับการปกครองพสกนิกร ทำให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น เป็นแผ่นดินทองแผ่นดินธรรมอย่างแท้จริง

นอกจากพระองค์จะสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการนี้แล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะยังทรงมีบุญพิเศษอีก ๔ ประการ คือ ทรงมีพระรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส มีผิวพรรณผ่องใสยิ่งกว่าใครๆ ทรงเป็นผู้มีพระชนมายุยืนนานกว่าคนทั่วไป ทรงเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อย นอกจากนี้ ทรงเป็นที่รัก ที่ชอบใจของทุกๆ คน ใครได้เห็นแล้วจะรู้สึกรักและเคารพ นี่คืออานุภาพแห่งบุญของพระเจ้าจักรพรรดิ อานุภาพแห่งบุญนั้น เป็นทางมาแห่งมหาสมบัติทั้งหลาย สมบัติจักรพรรดิที่บังเกิดขึ้น ก็ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรมที่ท่านได้ทำไว้ในอดีตทั้งสิ้น

ดังนั้น ความดีที่เราทำไปนั้นไม่ได้หายไปไหน จะเป็นดวงบุญที่สว่างไสวติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ บุญอันบริสุทธิ์ที่กลางกายนี้ จะดึงดูดให้เราได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องเอาไว้ใช้สร้างบารมี อีกทั้งจะหนุนนำให้เราและสรรพสัตว์ไปสู่ที่สุดแห่งธรรมได้ ขอให้หมั่นสั่งสมบุญให้มาก

* มก. เล่ม ๑๘ หน้า ๗๓
* มก. เล่ม ๑๓ หน้า ๔๗๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/14565
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “มหาสมบัติจักรพรรดิ (๒) (รัตนะทั้ง ๗ ของพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดขึ้น)”

  1. ✨น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🌟✨🌟✨🌟✨🌟✨🌟✨🌟✨🌟

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *