วิธีเอาชนะข้อกล่าวหา (เดียรถีย์ใช้นางสุนทรี ทำให้ผู้คนคลางแคลงในพระบรมศาสดา)
การสั่งสมบุญบารมี เป็นเป้าหมายหลักของการเกิดมาชาตินี้ อุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องพบเจอ เป็นเรื่องเดิมๆ ที่พระบรมโพธิสัตว์ หรือนักสร้างบารมีในกาลก่อนได้เอาชนะมาแล้ว การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด จะต้องแก้ด้วยใจที่สงบ หยุดนิ่ง เพราะใจที่หยุดนิ่งจะเกิดดวงปัญญา ทำให้เราเห็นถึงที่มาของปัญหา และสามารถแก้ไขได้อย่างถูกต้อง การทำใจให้หยุดนิ่ง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรทำควบคู่กันไปกับการทำภารกิจในชีวิตประจำวัน เมื่อเราทำได้ จะทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มูลปริยายสูตร ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอกบุรุษ เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลนั้นคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ย่อมบังเกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม มีความงดงามไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย เปรียบประดุจบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางแก่คนหลงทาง และตามประทีปในที่มืดแก่บุคคลผู้อยากเห็นรูป ฉะนั้น บุคคลผู้ได้ลิ้มรสแห่งอมตธรรมนั้นแล้ว เปรียบดังบุรุษผู้ก้าวย่างลงสู่ท่าน้ำที่สะอาด ได้อาบดื่มกินด้วยความเกษมสำราญ
ธรรมดาดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ ย่อมสว่างกว่าหมู่ดาวบนท้องฟ้าด้วยกำลังแห่งรัศมี ฉันใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงอุบัติขึ้น ย่อมรุ่งโรจน์กว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น ความอัศจรรย์แห่งพระสัทธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น ทำให้ลบล้างความเห็นผิด ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เป็นสาระของผู้ไม่รู้ แต่ก็มีเจ้าลัทธิคณาจารย์มากมายที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้จะรู้ว่าพระบรมศาสดาเป็นพระอรหันต์ ทรงสั่งสอนเพื่อนำสัตว์ให้หลุดพ้น ก็ไม่ยอมละความเห็นผิดที่เคยปฏิบัติมา
เมื่อไม่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสก็ไม่ปฏิบัติตาม แต่กลายเป็นผู้มีความอิจฉ า พระพุทธองค์ เพราะลูกศิษย์ทั้งหลายที่เคยนับถือตนเองมาตลอด ได้หันไปนับถือพระพุทธศาสนากันเกือบหมด ตนเองจึงเปรียบเสมือนแสงหิ่งห้อย ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงยามเที่ยงวัน ดังนั้น ผู้ที่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาบางพวก จึงหาทางกำจัดพระพุทธองค์ ด้วยการกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง เพื่อความอยากเด่นอยากดังของตน
* เหล่าอัญญเดียรถีย์จึงได้ประชุมกันว่า “บัดนี้พวกเราได้ถูกพระสมณโคดมเบียดเบียนแล้ว ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก ลาภสักการะที่พวกเราเคยมี ก็ได้ถูกสมณโคดมทำลายหมดสิ้น ถ้าหากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ เห็นทีพวกเราและเหล่าบริวารคงต้องถึงกาลวิบัติเป็นแน่ พวกเราจะต้องหาทางแก้ไข โดยกล่าวโทษสมณโคดม ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่อมหาชนเสื่อมศรัทธาในพระสมณโคดมแล้ว ลาภสักการะก็จะกลับมาเป็นของพวกเราเหมือนเดิม”
เหล่าอัญญเดียรถีย์เห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องทำลายพระเกียรติของพระพุทธเจ้า โดยใช้สานุศิษย์ชื่อ “นางสุนทรี” เป็นเครื่องมือในการล้มล้างพระพุทธศาสนา เพราะนางมีความงดงามเปรียบประดุจเทพอัปสรในสรวงสวรรค์ เมื่อตกลงกันเสร็จแล้ว วันรุ่งขึ้น ก็เริ่มแผนการทันที
เมื่อนางสุนทรีมาสำนักของเดียรถีย์ เหล่าเดียรถีย์ก็หาได้สนทนาหรือต้อนรับเหมือนดั่งเคย แม้นางสุนทรีจะพยายามกล่าวสนทนาด้วยก็ตาม เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายก็นิ่งเฉย ต่อมาได้แกล้งกล่าวให้นางเห็นใจว่า “น้องหญิง พระสมณโคดมทำให้ลาภสักการะของพวกเราเสื่อมถอยลงไปมาก ทำให้พวกเราได้รับความลำบาก หากเธออยากจะให้พวกเรามีความสุข จงหาโทษให้พระสมณโคดมเถิด หากเธอทำได้ ก็จะเป็นกุศลใหญ่แก่เธอ” ด้วยความหลงผิด นางจึงตอบตกลง
ในตอนเย็น นางจึงได้เริ่มแผนการด้วยการแต่งตัวเรียบร้อย ถือดอกไม้ของหอมเป็นต้น เดินมุ่งหน้าไปยังวัดพระเชตวันมหาวิหาร เดินสวนกับสาธุชนทั้งหลาย ที่ฟังธรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเดินสวนทางกัน คนก็สงสัยจึงถามว่า “นี่เธอจะไปไหน” นางตอบว่า “ฉันจะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า” แต่พอลับสายตาของผู้คนแล้ว แทนที่นางจะเข้าไปในวัด กลับแวะไปพักค้างที่อารามของพวกเดียรถีย์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดพระเชตวัน
ในตอนเช้า เมื่อสาธุชนออกจากพระนคร จะไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า นางก็ทำทีเหมือนกับเพิ่งออกมาจากวัดพระเชตวัน แล้วก็เดินสวนกับสาธุชนเหล่านั้น พอเขาถามว่า “แม่นาง เมื่อคืนเธอไปนอนที่ไหนมา” นางก็ตอบว่า “เมื่อคืนฉันพักอยู่ในวัดพระเชตวันนี่แหละ” เมื่อถูกถามอีก จึงบอกว่า “ฉันพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ให้ท่านยินดีด้วยความยินดีเพราะกิเลสแล้วจึงกลับมา” พุทธบริษัทที่เป็นปุถุชนอยู่ ก็เกิดความคลางแคลงสงสัย บางคนก็เชื่อ แล้วก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นทุกวัน
เหล่าอัญญเดียรถีย์เห็นว่า พระสมณโคดมและสาวกได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ไปทั่วทั้งพระนครแล้ว ก็ดีใจกันใหญ่ คอยยุยงให้มหาชนเกิดความเข้าใจผิดเพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีจิตใจมั่นคง ได้รับรสแห่งอมตธรรมที่พระบรมศาสดาได้แสดงแล้ว ก็นิ่งเฉยด้วยอาการสงบ มิได้หวั่นไหวไปกับข่าวที่เกิดขึ้น ส่วนปุถุชน เมื่อฟังแล้วไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ จึงหลงเชื่อถ้อยคำของนางและพวกเดียรถีย์ ต่างพากันกล่าวจ้วงจาบพระบรมศาสดาและสาวก
เมื่อหัวหน้าอัญญเดียรถีย์เห็นว่า เรื่องได้ลุกลามใหญ่โตเป็นที่สนใจของมหาชนเป็นอันมากแล้ว จึงได้ว่าจ้างเหล่านักเลงสุราให้ไปฆ่าปิดปากนางสุนทรีทิ้งเสีย จากนั้นให้นำศพไปหมกไว้ใกล้กับพระคันธกุฎี
ครั้นล่วงไป ๒ – ๓ วัน เหล่าเดียรถีย์ทำทีเป็นว่า นางสุนทรีหายตัวไป ได้ให้พวกสานุศิษย์ตามหาก็ไม่พบ จึงได้นำเรื่องที่นางสุนทรีหายไป กราบทูลพระราชา พระราชาตรัสถามว่า “พวกท่านคิดว่านางสุนทรีจะอยู่ที่ไหน” เดียรถีย์จึงกราบทูลว่า “ก่อนที่นางจะหายไปนั้น นางได้ไปที่วัดพระเชตวันทุกวัน พระเจ้าข้า” พระราชาจึงให้ไปค้นดูที่วัดพระเชตวัน เดียรถีย์จึงทำทีเป็นเที่ยวค้นหานางสุนทรีภายในวัดพระเชตวันนั้นเอง จนไปพบศพนางสุนทรีที่กองหยากเยื่อ ใกล้กับพระคันธกุฎีของพระบรมศาสดา เมื่อพระราชายังหาสาเหตุการตายไม่ได้ เดียรถีย์จึงสร้างข่าวลือว่า พระสาวกของพระสมณโคดมฆ่านางสุนทรีเพื่อปกปิดความชั่วให้ศาสดาของตัวเอง แล้วเที่ยวด่าพระภิกษุทั้งในและนอกพระนคร
พวกภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงกล่าวธรรมว่า “ผู้มักพูดคำไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก หรือแม้ผู้ใดทำแล้ว แต่กล่าวว่าข้าพเจ้ามิได้ทำ ชนแม้ทั้งสองนั้น เป็นมนุษย์มีกรรมเลวทราม ละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเป็นผู้มีนรกเป็นที่ไป” ส่วนทางบ้านเมืองมิได้นิ่งนอนใจ พระราชาได้รับสั่งให้ราชบุรุษเร่งรีบทำการสอบสวนเพื่อสืบหาความจริง พวกราชบุรุษใช้เวลาหลายวันในการหาข้อมูล จนได้เบาะแสจากพวกนักเลงสุราที่ได้รับสินบนให้ฆ่านางสุนทรี ซึ่งกำลังอยู่ในอาการเมามาย พวกราชบุรุษจึงได้จับนักเลงสุราไปเฝ้าพระราชา
เมื่อพระราชาทรงสอบสวนจนได้ทราบความเป็นจริงแล้ว จึงทรงบังคับพวกเดียรถีย์ว่า “พวกท่าน จงเที่ยวกล่าวแก้ข่าวไปให้ทั่วพระนครว่า นางสุนทรีนี้ ถูกพวกข้าพเจ้าจ้างให้นักเลงสุราฆ่า โทษของพระสมณโคดมและสาวกไม่มี เป็นโทษของข้าพเจ้าเท่านั้น” เมื่อมหาชนทราบว่า พระบรมศาสดาทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เพราะถูกผู้ไม่หวังดีใส่ร้าย เพื่อให้พุทธศาสนามัวหมอง ยิ่งเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์มากยิ่งขึ้น ส่วนพวกเดียรถีย์ก็ถูกลงอาชญาตามโทษที่ได้กระทำลงไป
เราจะเห็นว่า แม้กระทั่งพระบรมศาสดายังถูกกล่าวหา เพราะความไม่เห็นด้วยของผู้ที่ไม่เลื่อมใสศรัทธา แต่พระพุทธองค์ทรงสามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นมาได้ เพราะความจริงก็คือความจริง บางครั้งเมื่อเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น ต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ พระพุทธศาสนาเป็นของจริงแท้ ของแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ เหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟ
เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรากำลังสร้างบารมีอยู่นี้ เป็นธรรมดาที่เราจะต้องพบกับอุปสรรค ขอให้รักษาความสงบของใจเอาไว้ ให้อภัยแก่ผู้ที่ความเข้าใจยังไม่สมบูรณ์ ทำใจให้หยุดนิ่ง ให้ใจเป็นกลางๆ ให้ถือเสียว่า เป้าหมายเป็นหลักอุปสรรคไม่มี และอย่ายินดียินร้าย รักษาใจให้ผ่องใส ตั้งใจทำความดีเรื่อยไป อย่างไม่ย่อท้อไม่หวั่นไหว แล้วในที่สุดความจริงย่อมปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไป
* มก. เล่ม ๔๓ หน้า ๑๙๕
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15123
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน