คิดผิดคิดใหม่ได้ (๓) (พระกุมารกัสสปเถระคลี่คลายปัญหาพระเจ้าปายาสิ ๓)

คิดผิดคิดใหม่ได้ (๓) (พระกุมารกัสสปเถระคลี่คลายปัญหาพระเจ้าปายาสิ ๓)

มีคำกล่าวที่เราคุ้นเคยกันดีว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เป็นคติสำหรับย้ำเตือนพวกเราทุกคน ให้มีกำลังใจในการทำหน้าที่การงาน และให้ประสบผลสำเร็จในสิ่งที่พึงปรารถนา การจะให้บรรลุผลสำเร็จได้นั้น จะต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างประกอบกัน นอกจากจะต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็ง และมีสติปัญญาแล้ว ยังจะต้องมีพลังบุญหนุนนำ จึงจะประสบความสำเร็จได้ หากมีเพียงความพยายาม แต่ขาดปัญญา และไม่มีกัลยาณมิตรคอยแนะนำ ความพยายามนั้นอาจจะสูญเปล่าได้ และอาจเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงไปจนตลอดชีวิต

ความพยายามที่ไม่มีวันสูญเปล่านั้น คือการประกอบความเพียร โดยนำใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นต้นแหล่งแห่งความสำเร็จ เราจะไม่พบกับคำว่าผิดหวัง หากนำใจจรดศูนย์จะไม่มีคำว่าสูญเสีย เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามนำใจมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา จะได้พบแต่ความสมหวังสมปรารถนาในชีวิต

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน จตุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า

“จตฺตาโรเม ภิกฺขเว กาลา สมฺมาภาวิยมานา สมฺมาอนุปริวตฺติยมานา
อนุปุพฺเพน อาสวานํ ขยํ ปาเปนฺติ กตเม จตฺตาโร กาเลน ธมฺมสฺสวนํ กาเลน ธมฺมสากจฺฉา กาเลน สมโถ กาเลน วิปสฺสนา อิเม โข ภิกฺขเว จตฺตาโร กาลา สมฺมาภาวิยมานา สมฺมาอนุปริวตฺติยมานา อนุปุพฺเพน อาสวานํ ขยํ ปาเปนฺติ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาล ๔ อย่างที่บุคคลบำเพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปตามโดยชอบ ย่อมให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยลำดับ กาล ๔ นี้เป็นไ ฉน คือ การฟังธรรมตามกาล ๑ การสนทนาตามกาล ๑ การสงบตามกาล ๑ การพิจารณาตามกาล ๑ กาล ๔ อย่างนี้ แล อันบุคคลบำเพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยลำดับ”

การหาโอกาสเข้าไปนั่งใกล้ผู้รู้เพื่อรับฟังสิ่งที่ดีๆ เป็นวิสัยของบัณฑิตนักปราชญ์ สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ ก็จะได้เพิ่มพูนความรู้และสติปัญญา สิ่งที่เคยสงสัยก็จะหายสงสัย เพราะการสนทนาธรรมตามกาลอันควร จะยังจิตของผู้พูดและผู้ฟังให้เป็นกุศล จิตใจร่าเริงเบิกบานผ่องใส ทั้งยังได้ฝึกไหวพริบปฏิภาณ ให้เกิดความแตกฉานทางปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป

ดังเช่นพระเจ้าปายาสิ พระราชาผู้หลงผิด ที่ได้นำมาเล่าเป็นตอนๆ ตั้งแต่ที่พระองค์สงสัยว่า ภพนี้ภพหน้ามีจริงไหม นรกสวรรค์มีจริงไหม พระกุมารกัสสปะก็ได้แก้ข้อข้องใจของพระองค์มาตามลำดับ ทำให้คลายความสงสัยไปได้ระดับหนึ่ง แต่พระราชาก็ยังพยายามถามพระเถระต่อไป เพื่อให้พระเถระช่วยขจัดเมฆหมอกแห่งความสงสัย ให้หมดสิ้นไปจากใจของพระองค์ ทรงถามเพิ่มเติมว่า

* “ท่านกัสสปะ เนื่องจากตัวโยมอยากรู้ว่า โลกหน้ามีหรือไม่ สัตว์ที่ตายแล้วไปผุดเกิดมีไหม นอกจากจะได้ทดลองตามที่เล่าไปแล้วนั้น โยมยังได้ทดลองด้วยวิธีนานัปการ เช่นมีอยู่คราวหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของโยมจับโจรที่ทำความผิดมหันต์ โยมพิจารณาแล้วจึงสั่งให้ลงโทษ โดยใช้วิธีที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงให้จับโจรทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ใส่เข้าไปในหม้อใหญ่ ปิดปากหม้อ แล้วเอาหนังสดรัด เอาดินเหนียวพอกปิดอย่างดี ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ เมื่อคาดว่าโจรนั้นตายแล้ว จึงสั่งให้ยกหม้อลงมา กะเทาะดินออกแล้วค่อยๆ เปิดปากหม้อ ตรวจดูด้วยหวังว่า อาจจะได้เห็นวิญญาณของบุรุษนั้นออกมาบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะไม่ได้เห็นวิญญาณของโจรออกมาเลย เพราะผลการทดลองออกมาเป็นเช่นนี้แหละ จึงเป็นเหตุให้โยมมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี”

พระกุมารกัสสปเถระฟังดังนั้นแล้ว ได้ถามกลับว่า “มหาบพิตร เคยบรรทมกลางวัน แล้วทรงฝันเห็นสวนอุทยานที่น่ารื่นรมย์ อุดมสมบูรณ์ สวยสดงดงาม มีสระโบกขรณีใสสะอาด น่าชื่นชมยินดีบ้างหรือไม่”

พระราชาทรงตอบว่า “เคยฝันสิ ท่านกัสสปะ” พระเถระถามต่อไปว่า “แล้วในเวลาที่บรรทม นางสนมกำนัลอยู่บริเวณนั้นด้วยหรือ” “มีอยู่หลายคนทีเดียว ท่านกัสสปะ” “แล้วคนเหล่านั้นเห็นวิญญาณของมหาบพิตรออกไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ อย่างที่ฝันบ้างไหม” “ไม่เห็นเลยพระคุณท่าน” “ขนาดคนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้เห็นวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์ชีพเลย แล้วมหาบพิตรจะได้ทอดพระเนตรเห็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วได้อย่างไรเล่า ขอพระองค์ใช้ปัญญาพิจารณาตรองดูเถิด”

พระเจ้าปายาสิฟังดังนั้น ก็ยังไม่ยอมจำนน เฝ้าเพียรพยายามผูกคำถามเพื่อที่จะให้พระเถระจนมุม คำถามของผู้เป็นนักคิดนี่ ไม่ธรรมดา เป็นปัญหาที่น่ารู้ น่าสนใจมาก ยังมีข้อสงสัยอีกหลายข้อที่จะทดสอบภูมิของพระเถระ หลวงพ่ออยากจะให้ทุกท่านจดจำคำตอบไว้ จะได้เอาไปเป็นข้อคิด และสามารถนำไปเป็นแนวทางในการตอบคำถามไขข้อข้องใจของสาธุชนได้

พระเจ้าปายาสิทรงถามต่อไปว่า “ท่านกัสสปะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง โยมสั่งให้ลงโทษโจรผู้ร้ายที่มีความผิดขั้นร้ายแรง คือสั่งให้ทรมาน โดยไม่ให้ผิวหนังเป็นรอยฟกช้ำดำเขียวแต่อย่างใด ไม่ให้กระทบไปถึงเนื้อ เอ็น กระดูก หรือแม้กระทั่งเยื่อในกระดูก เมื่อโจรนั้นกำลังจะตายก็ให้นอนหงาย ด้วยหวังว่าจะเห็นวิญญาณของเขาออกมาบ้าง พลิกไปพลิกมาให้นอนหงายก็แล้ว นอนควํ่าก็แล้ว ให้นอนตะแคงซ้ายตะแคงขวา เอาศีรษะลง ทุบด้วยมือ ด้วยก้อนดิน ลากไปลากมา หวังว่าจะได้เห็นวิญญาณของเขาออกมาบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวังอีก ดูก่อนท่านกัสสปะ ตา หู จมูก ลิ้น กายของเขาก็อันเดิม แต่ทำไมจึงรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสไม่ได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า”

พระเถระตอบเป็นอุปมาอุปไมย เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตร มีคนเป่าสังข์คนหนึ่ง ถือเอาสังข์คู่ไปยังปัจจันตชนบท เขาเข้าไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ยืนอยู่กลางหมู่บ้าน เป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ลงบนพื้น ตัวเองหลบไปพักผ่อน พวกชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น ได้ยินเสียงที่ไพเราะเสนาะโสต ต่างโกลาหลตื่นเต้นกันใหญ่ พากันไปล้อมคนเป่าสังข์ แล้วถามว่า นี่พ่อหนุ่ม เสียงประหลาดเมื่อสักครู่นี้ เป็นเสียงของใคร ช่างไพเราะจริงๆ

ชายหนุ่มตอบว่า เสียงที่พวกท่านกล่าวขวัญถึงนั้น วางอยู่กลางดินนั่นแหละ ชาวบ้านพากันวิ่งไปที่สังข์จับหงายขึ้นแล้วพูดว่า สังข์พูดหน่อยซิ สังข์เอ๋ยพูดหน่อยเถิด แต่สังข์นั้นก็ไม่เปล่งเสียง ไม่ว่าชาวบ้านจะลากสังข์ไปมา ชูขึ้นหรือวางลง ทำทุกสิ่งทุกประการ สังข์ก็ยังเป็นสังข์ คือไม่ยอมเปล่งเสียง ชายผู้ที่เป่าสังข์เห็นกิริยาเช่นนั้น เกิดความสงสารเห็นใจในความไม่รู้ของชาวบ้าน ที่พยายามแสวงหาเสียงสังข์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง จึงเดินไปหยิบสังข์ขึ้นมาเป่าให้ชาวบ้านเหล่านั้นฟัง จากนั้นก็ถือสังข์เดินจากไป

พวกชาวบ้านจึงเข้าใจว่า เมื่อใดสังข์ประกอบไปด้วยคน ความพยายาม และลม เมื่อนั้นแหละจึงจะออกเสียงได้ และหากไม่มีองค์ประกอบ ๓ อย่างนี้ สังข์ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้เอง เมื่อหมดความสงสัย พวกชาวบ้านต่างพากันแยกย้ายกลับบ้านของตน มหาบพิตร อุปมาที่ว่านี้เป็นฉันใด พระองค์ก็เหมือนพวกชาวบ้าน ฉันนั้น เมื่อใดกายนี้ประกอบไปด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้นกายนี้ย่อมก้าวไปได้ ถอยกลับได้ เดิน ยืน นั่ง นอนได้ เห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสด้วยกายได้ แต่ขาดองค์ประกอบคืออายุ ไออุ่นและวิญญาณ ก็เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ เหตุผลก็มีอยู่เพียงเท่านี้แหละ ขอถวายพระพร”

พระเจ้าปายาสิ ฟังคำตอบจากพระเถระแล้ว ในใจลึกๆ พระองค์เกิดจิตเลื่อมใส แต่ก็ยังวางท่าอยู่ ไม่กล้าประกาศว่าพระองค์มีความเห็นผิด เนื่องจากอับอายชาวเมืองและชนผู้รู้ เนื่องจากตนเป็นถึงกษัตริย์ จึงยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดโดยง่าย

ทิฏฐิหรือความเห็นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้ามีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นถูก ชีวิตก็จะปลอดภัยและมีชัยชนะ ความเห็นที่ถูกต้อง ย่อมนำมาซึ่งการแสวงหาที่ถูกต้องเช่นกัน การแสวงหาความรู้ เรื่องความเป็นจริงของชีวิต เรื่องกฎแห่งกรรม ภพภูมิต่างๆ กระทั่งถึงอายตนนิพพาน จะต้องอาศัยผู้รู้แจ้งเห็นจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งผู้รู้ที่แท้จริงก็มีอยู่ภายในตัวของพวกเราทุก ๆ คน คือพระธรรมกายนั่นเอง

เมื่อเราเข้าถึงพระธรรมกายภายใน ความสงสัยใดๆ ที่มีอยู่ในใจก็จะหมดไป เพราะฉะนั้น สำหรับท่านที่ชอบเป็นนักทดลองหรือนักวิทยาศาสตร์ ถ้าจะพิสูจน์หรือทดลองทางพุทธศาสตร์ ต้องเริ่มต้นจากใจที่หยุดนิ่งให้ได้ก่อน หลวงปู่วัดปากนํ้าท่านถึงได้ย้ำว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ ว่ากันตรงหยุดนี้ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นใหญ่โตมโหฬาร อย่าเพิ่งไปพูดให้มากมายนัก” เมื่อหยุดใจได้ เราก็จะรู้แจ้งและจะหายสงสัยด้วยตัวของเราเอง เพราะฉะนั้น เราเป็นศิษย์ของท่าน ก็ต้องทำตามที่ครูบาอาจารย์แนะนำไว้ คือหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เป็นประจำสม่ำเสมอทุกๆ วัน แล้วเราจะสมปรารถนากันทุกๆ คน

* มก. เล่ม ๑๔ หน้า ๓๘๐

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15218
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *