กำเนิดสุริยคราส (อสุรินทราหูอมจันทร์)
การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นการยาก อีกทั้งการที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ มีจิตใจสูงส่ง มั่นคงในคุณธรรม ดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่งอริยมรรค ทางของพระอริยเจ้า และการเกิดมาสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม บริสุทธิ์บริบูรณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้มีบุญ มีดวงปัญญาบริสุทธิ์ มีดวงใจที่ผ่องใสเท่านั้น จึงจะใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่า เดินหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้องปลอดภัย ทั้งภัยในปัจจุบันนี้ ภัยในอบายภูมิ ตลอดจนภัยในสังสารวัฏ การที่จะให้พ้นจากภัยเหล่านี้ได้ จะต้องสั่งสมบุญให้มากๆ จะต้องมีความหนักแน่น ตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางแห่งความดี รักในการประพฤติปฏิบัติธรรม หมั่นนั่งธรรมะทุกๆ วันอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว ต้องตั้งใจมั่นอย่างนี้ จึงจะพบกับความสุขตลอดกาล
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปัญญัตติสูตร ว่า
“ราหุคฺคํ อตฺตภาวีนํ มนฺธาตา กามโภคินํ
มาโร อาธิปเตยฺยานํ อิทฺธิยา ยสสา ชลํ
อุทฺธํ ติริยํ อปาจีนํ ยาวตา ชคโต คติ
สเทวกสฺส โลกสฺส พุทฺโธ อคฺคํ ปวุจฺจติฯ
บรรดาสัตว์ผู้มีอัตภาพ(ใหญ่) อสุรินทราหูเป็นเลิศ บรรดาบุคคลผู้บริโภคกาม พระเจ้ามันธาตุราชเป็นเลิศ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ มารเป็นเลิศ พระพุทธเจ้าผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ อันชาวโลกกล่าวว่า เป็นเลิศในโลก พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ทั่วทั้งภูมิเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ทั้งในเบื้องสูง ท่ามกลาง และเบื้องล่าง”
คำว่า ราหูอมจันทร์ เป็นถ้อยคำที่เรามักจะได้ยินกันจนคุ้นหู เพราะอาจดูเหมือนเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเป็นเรื่องที่มีปรากฏทางวรรณกรรมวรรณคดี บางทีก็มีคติความเชื่อโบราณแฝงอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกทีเดียว ที่เรื่องราวเหล่านี้มาพ้องกับเรื่องจริง ที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกล่าวถึงเรื่องราหูเอาไว้หลายครั้งหลายคราด้วยกัน
เพราะฉะนั้นจะถือโอกาสนำเรื่องของอสุรินทราหู มาเล่าสู่กันฟังว่าราหูอมจันทร์เป็นอย่างไร เรื่องมีอยู่ว่า ในอสูรพิภพซึ่งอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ มีเทพบุตรสำคัญองค์หนึ่งชื่อ ท้าวอสุรินทราหู อสุรินทราหูองค์นี้ เป็นองค์อุปราชของจอมอสูร ได้ปกครองด้านทิศเหนือของอสูรพิภพ มีพละกำลังกล้าแข็ง และมีใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าบรรดาอสูรทั่วๆ ไป
* ร่างกายของอสุรินทราหูนี้ มีอัตภาพใหญ่โตมาก โดยมีส่วนสูงถึง ๔,๘๐๐ โยชน์ ระหว่างแขนทั้งสองยาว ๑,๒๐๐ โยชน์ ส่วนหนา ๖๐๐ โยชน์ ศีรษะ ๙๐๐ โยชน์ บริเวณหน้าผากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ ระหว่างคิ้วยาว ๕๐ โยชน์ คิ้วกว้าง ๒๐๐ โยชน์ ปากกว้าง ๒๐๐ โยชน์ จมูกกว้าง ๓๐๐ โยชน์ ขอบปากลึก ๓๐๐ โยชน์ ฝ่ามือฝ่าเท้าหนา ๒๐๐ โยชน์ ข้อนิ้วยาว ๑๕ โยชน์ เมื่ออสุรินทราหูยืนในมหาสมุทร นํ้าในมหาสมุทรท่วมเพียงแค่หัวเข่าเท่านั้นเอง
เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น อสุรินทราหูได้ฟังกิตติศัพท์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะความที่ตัวเองมีกายสูงใหญ่ จึงคิดว่า ตัวไม่เหมาะสมที่จะมาพบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ตนเองจะมีจิตเลื่อมใส ใคร่จะได้ทัศนา ก็มิกล้าเข้าเฝ้าเพราะคิดว่า เรานี้มีกายสูงใหญ่ จะไปสำนักพระพุทธองค์ซึ่งมีพระวรกายเล็กนิดเดียว ครั้นจะก้มตัวดูพระพุทธเจ้า ก็อาจเป็นการขาดคารวะ เมื่อคิดเช่นนี้จึงไม่ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทั้งที่มีความปรารถนาอยากจะเข้าเฝ้า เพื่อฟังธรรมจากพุทธองค์
ครั้นได้ฟังเหล่าเทวดาและอสูรพรรณนาพุทธคุณหนาหูหนักเข้า อสุรินทราหูเกิดศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ตั้งใจว่าจะต้องไปเข้าเฝ้าให้ได้ ถึงกระนั้นก็ยังกังวลอยู่ลึกๆ ว่า เราจะก้มจะกราบพระองค์อย่างไรหนอ เพราะคิดอยู่เสมอว่า ตัวเองมีกายใหญ่โตกว่าใครๆ ทั้งหมด คิดไปพลางก็เหาะไปพลางเพื่อมาสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความกังวลปนเลื่อมใสต่อพระพุทธองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของจอมอสูร จึงรับสั่งให้พระอานนท์ตบแต่งพระแท่นที่บรรทม แล้วพระองค์ก็ทรงเนรมิตพระวรกายให้โตใหญ่และสีหไสยาสน์รอคอยการมาของอสุรินทราหู ฝ่ายอสุรินทราหูผู้มีร่างกายสูงใหญ่ถึง ๔,๘๐๐ โยชน์ ครั้นมาถึงสำนักพระพุทธองค์ ตนก็ต้องอัศจรรย์ใจ เมื่อได้พบเห็นบุคคลผู้ที่มีร่างกายใหญ่โตกว่ามากมายหลายเท่ารอตนอยู่ ท้าวเธอต้องแหงนหน้าขึ้นมองดูพระพุทธเจ้า จึงจะเห็น เมื่อเห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใสพร้อมความอัศจรรย์ใจ เหมือนคนตัวเล็กมองดูเสาไฟสูงๆ ที่กำลังส่องสว่างอยู่อย่างนั้นแหละ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ดูก่อนอสุรินทร์ เมื่อท่านแลดูตถาคตนี้ เห็นเป็นประการใดบ้าง” ท้าวเธอจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะพระโลกนาถเจ้า ผู้ทรงพระมหากรุณา หม่อมฉันนี้ไม่ทราบเลยว่า พระองค์จะทรงพระเดชพระคุณอันล้ำเลิศประเสริฐเห็นปานนี้ เนรมิตพระวรกายได้ใหญ่โต เพื่อให้กระหม่อมได้เข้าเฝ้าโดยสะดวก แต่เดิมหม่อมฉันได้เพิกเฉย มิกล้ามาสู่สำนักของพระพุทธองค์เป็นเวลานานแล้ว เพราะความกังวลใจในเรื่องนี้”
พระบรมศาสดาจึงทรงมีพุทธฎีกาว่า “ดูก่อนอสุรินทร์ เมื่อตถาคตบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงอยู่นั้น จะได้ก้มหน้าย่อท้อต่อความลำบากที่จะบำเพ็ญบารมีก็หามิได้ ตถาคตตั้งใจบำเพ็ญมิได้ย่อท้อต่ออุปสรรค แม้จักแสนยากเพียงไร ก็มิได้ก้มหน้าทอดอาลัยเลย เพราะฉะนั้น บุคคลที่ปรารถนาจะแลดูตถาคต แม้จะมีรูปกายใหญ่โตเพียงไร จะต้องก้มหน้าลงดูเหมือนอย่างท่านคิดก็หาไม่”
เมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้แล้ว ก็โปรดประทานพระธรรมเทศนาแก่จอมอสูร ซึ่งทำให้จอมอสูรรู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเปี่ยมล้น ได้เปล่งคำนมัสการว่า “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” หลังจากนั้นก็ได้กราบทูลลา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อสุรินทราหูก็เป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แม้จะเป็นจอมอสูรที่ไม่เกรงกลัวใคร แต่จะเกรงพระบารมีพระพุทธเจ้า เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
* ในสมัยหนึ่ง อสุรินทราหูเห็นจันทะและสุริยเทพบุตร ส่องสว่างอยู่ตามปกติ เกิดความอิจฉา จึงเข้าสู่วิถีโคจรของจันทะและสุริยเทพบุตร แล้วได้ยืนอ้าปาก ทำให้จันทวิมานและสุริยวิมานเป็นประหนึ่งถูกกลืนเข้าไปในมหานรก ๓๐๐ โยชน์ เทวดาที่สถิตอยู่ในวิมานถูกความกลัวครอบงำ ต่างพากันร้องเสียงระงม บางครั้งราหูก็เอามือบังวิมาน บางทีก็อมไว้ในปากเล่น
คราวหนึ่งสุริยวิมานถูกราหูบดบังแล้ว สุริยเทพบุตรพลันระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวขอความช่วยเหลือว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์ถึงฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบอกอสุรินทราหูว่า “สุริยเทพบุตรได้ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่า เป็นที่พึ่ง ดูก่อนราหู ท่านจงปล่อยสุริยะเถิด สุริยะใดเป็นผู้ส่องแสง กระทำความสว่างในที่มืดมิด มีสัณฐานเป็นทรงกลม มีเดชสูง ดูก่อนราหู ท่านจงปล่อยสุริยะผู้เป็นบุตรของเราตถาคตเถิด”
เมื่อพระพุทธเจ้ารับสั่งเช่นนั้น อสุรินทราหูก็ปล่อยพระอาทิตย์ แต่ก็ยังคิดสนุกอีกเหมือนเดิมอยู่นั่นแหละ บางครั้งก็ไปจับพระจันทร์เอาไว้ ไม่ให้จันทเทพบุตรส่องแสงได้ตามปกติ จันทเทพบุตรก็เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ก็ใช้พุทธานุภาพรับสั่งให้ปล่อยพระจันทร์จากความมืดเช่นเดียวกัน
อสุรินทราหูจำเป็นต้องปล่อยดวงจันทร์ แล้วเข้าไปหาท้าวเวปจิตติจอมอสูร ท้าวเวปจิตติถามราหูว่า “อ้าว ทำไม ท่านจึงรีบปล่อยดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เสียเร็วนักล่ะ ทำไมถึงมายืนหวาดกลัวอยู่ล่ะ” อสุรินทราหูบอกว่า “ข้าพเจ้ายอมจำนนต่อพุทธานุภาพ ถ้าข้าพเจ้าไม่ปล่อยสุริยะและจันทเทพบุตร ศีรษะของข้าพเจ้าจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง หรือแม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้รับความสุข เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องปล่อย”
นี่คือประวัติสุริยคราสและจันทรคราส หรือเรื่องราวที่เรียกว่า ราหูอมจันทร์โดยย่อๆ เรื่องราวเหล่านี้มิใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าสืบๆ ต่อกันมาอย่างเดียวเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ เป็นของละเอียดที่ส่งผลมาถึงหยาบ แม้เราไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่า หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงพระธรรมกาย ก็จะมีอุปกรณ์ที่สำคัญในการพิสูจน์เรื่องราวเหล่านี้ แล้วเราจะรู้ว่า ความลี้ลับซับซ้อนของโลกและจักรวาลนี้ ยังมีอยู่อีกมากมายที่เรายังไม่รู้ และเป็นสิ่งที่น่ารู้ น่าสนใจมากทีเดียว ดังนั้น ให้หมั่นฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง จนกว่าเราจะได้เข้าถึงพระธรรมกายภายในกันทุกๆ คน
* มก. เล่ม ๑๒ หน้า ๒๗
* มก. เล่ม ๒ ๔ หน้า ๓ ๔๐
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15245
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน