ศึกชิงภพ (สัตว์นรกนึกถึงบุญได้ มีช่วงจิตเป็นกุศลนิดเดียว หลุดพ้นจากอบายภูมิขึ้นมาได้)

ศึกชิงภพ (สัตว์นรกนึกถึงบุญได้ มีช่วงจิตเป็นกุศลนิดเดียว หลุดพ้นจากอบายภูมิขึ้นมาได้)

มนุษย์ส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับกายมนุษย์นี้เพียงผิวเผิน แม้จะเอาใจใส่กับร่างกายด้วยการหมั่นดูแลทำความสะอาดหรือปกป้องไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่หารู้ไม่ว่า นั่นยังไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องสมบูรณ์ในการรักษาปกป้องกายมนุษย์นี้ เพราะยังไม่สะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่หากได้ทำความสะอาดใจด้วยการรักษาศีลและเจริญภาวนา จึงจะเข้าถึงแก่นแท้ของกายของตัวเองอย่างแท้จริง สังขารร่างกายที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกหลายกายซ้อนกันอยู่ภายใน และเป็นกายที่สวยสดงดงามยิ่งกว่า เป็นชีวิตในระดับลึกที่มีความละเอียดประณีตดีกว่ากายภายนอกมาก เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อทำสมาธิภาวนา หมั่นทำใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นต้นแหล่งแห่งความสุขและความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน เทวทูตสูตร ว่า

“สัตว์ที่เกิดมาย่อมมีภัยโดยความตายเป็นนิตย์ เหมือนผลไม้ที่สุกแล้วย่อมมีภัยโดยการหล่นไปในเวลาเช้าฉะนั้น ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิดมีความแตกสลายไปในที่สุด ชีวิตมนุษย์ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งโง่เขลา ทั้งเฉลียวฉลาด ย่อมไปสู่อำนาจแห่งมฤตยู มีมัจจุราชสกัดอยู่ข้างหน้า เมื่อมนุษย์เหล่านั้น ถูกมัจจุราชสกัดอยู่ข้างหน้าแล้ว ถูกมัจจุครอบงำแล้ว บิดาก็ต้านทานไว้ไม่ได้ หรือพวกญาติก็ต้านทานไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายย่อมรำพันกันอยู่เป็นอันมากนั่นเอง”

มัจจุ คือ ความตาย หากมาปรากฏต่อหน้าของเราก่อนจะละโลกนี้เพื่อเดินทางไปสู่ปรโลก เมื่อถึงยามนั้นไม่มีใครเลยที่จะมาช่วยเหลือเราได้ เราต้องช่วยตัวเอง ธรรมะและบุญกุศลที่เราได้ทำเอาไว้จะเป็นที่พึ่งแก่เราในยามนั้น ความตายที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่มีอยู่ ๒ สาเหตุด้วยกัน คือ ตายปัจจุบันทันด่วน เป็นการตายก่อนถึงเวลาสมควร เช่น อุบัติเหตุ รถชนตาย จมน้ำตาย ตายอย่างที่สอง เป็นการตายตามปกติ เช่น เจ็บป่วยตาย สุดท้ายเมื่อกายหยาบนี้แตกดับทนอยู่ไม่ได้ กายมนุษย์ละเอียดก็ต้องถอดออกไป ไปถือกำเนิดในกายใหม่ จะเป็นกายทิพย์หรือกายของสัตว์นรกก็แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง แล้วแต่ใจของเราในตอนนั้นว่าเศร้าหมองหรือผ่องใส

เมื่อตายไปแล้วจะไปที่ไหน ความตายเป็นอย่างไร ความตายก็คือความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ มีบุญคอยหล่อเลี้ยงรูปกายเราให้สดใสไปมาเคลื่อนไหวได้ เมื่อใดหมดบุญขาดชีวิตินทรีย์ เราก็เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้ หมดความรู้สึก มีกายแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนไฟตะเกียง อาศัยน้ำมันชุบที่ไส้จึงมีแสงสว่าง ถ้าน้ำมันหมดไฟก็ดับลง รูปกายของเรานี้เหมือนกับตะเกียง ชีวิตินทรีย์เหมือนน้ำมัน

เพราะฉะนั้น เมื่อหมดบุญ ชีวิตินทรีย์ขาดก็สิ้นลมหายใจ ครั้นหมดลมวิญญาณก็ดับ ตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จมูกก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ไม่รู้รส กายก็หมดความรู้สึกเหมือนท่อนฟืนที่รอการเคลื่อนเข้าเตาไฟ ไม่หวั่นไหวต่อความเย็นร้อนอ่อนแข็ง ถ้าทิ้งไว้ก็มีแต่จะเน่าเหม็นพุพอง น่าเกลียด น่าชัง คนที่เคยคลั่งไคล้หลงใหลกันมาก่อน ก็ไม่อยากเข้าใกล้ ถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่น่าทะนุถนอม จำต้องเอาไปเผาในป่าช้า

มีตัวอย่างเกี่ยวกับชีวิตของผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว เนื่องจากจิตใจเศร้าหมองไม่ผ่องใส จึงพลัดตกลงไปในยมโลก ต้องให้พญายมราชทำการไต่สวน เหมือนสัตว์นรกทั่วๆ ไปตายแล้ว ต้องผ่านการพิจารณาคดีความจากพญายมราชเสียก่อนว่าจะไปเสวยทุกข์ในมหานรกหรือในอุสสทนรก ตัวอย่างที่จะนำมาเล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการชิงช่วงและช่วงชิง เป็นศึกชิงภพงบดุลชีวิตว่า จะไปสุขหรือทุกข์ ก็อยู่ที่ว่า จะนึกถึงบุญหรือบาป หมองหรือใส ก่อนจะละโลก เคล็ดลับก็อยู่ที่หมองกับใสนี่แหละ

* มีเรื่องเล่าว่า มีหนุ่มชาวทมิฬคนหนึ่ง ชื่อ ทีฆชยันตะ เกิดในสมัยหลังพุทธกาล เป็นคนที่หยาบกระด้าง ประพฤติผิดศีล ๕ อยู่เป็นประจำ เพราะคบคนไม่ดีเป็นมิตร เนื่องจากกรรมในอดีตตามมาทัน ในระหว่างที่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเกิดการทะเลาะวิวาทกับเพื่อนจึงถูกฆ่าตาย เนื่องจากตายเพราะขาดสติ จิตใจเศร้าหมอง จึงถูกยมทูตนำลงไปยมโลกให้พญายมราชช่วยตัดสินว่า จะให้ไปเสวยวิบากกรรมที่ทำเอาไว้ในนรกขุมไหนหรือที่ไหนจึงเหมาะสม

พญายมราชเมตตาให้โอกาสตอบคำถามเกี่ยวกับเทวทูตทั้ง ๕ แต่เนื่องจากหนุ่มทมิฬนี้เป็นคนใจโหดเหี้ยม ฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ จึงไม่เคยนึกถึงโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตายเลย หรือแม้เห็นใครถูกฆ่าก็รู้สึกเฉยๆ เพราะตัวเองก็ชอบฆ่าสัตว์เป็นปกติ ภาพที่ปรากฏเป็นนิมิตอยู่ต่อหน้า จึงเป็นภาพของการเข่นฆ่ามนุษย์และสัตว์ จิตใจก็เศร้าหมองไม่ผ่องใส พญายมราชให้นึกถึงบุญอะไรก็นึกไม่ออก เพราะฉะนั้นจึงถูกพิพากษาให้ไปเสวยทุกข์ในอุสสทนรก

ในขณะที่กำลังถูกทัณฑ์ทรมานในอุสสทนรกนั้น สัตว์นรกตัวนี้พลันนึกถึงภาพที่ตัวเองสมัยที่เป็นเด็กวัยรุ่น พ่อแม่ได้ใช้ให้นำผ้าแดงบูชาอากาศเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ระฟ้าที่สุมนคิริมหาวิหาร จำได้ว่าตอนที่เอาผ้าไปบูชาพระเจดีย์นั้น ตัวเองมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมากถึงขนาดปีติขนลุกชูชันทีเดียว เนื่องจากไฟในอุสสทนรกที่แผดเผาอยู่ตลอดเวลา ทำให้จำบุญกุศลอย่างอื่นไม่ได้เลย แต่เมื่อได้เห็นเปลวไฟที่ลุกวูบวาบไปมา จึงหวนระลึกถึงผ้าแดงผืนที่พัดโบกนั้นได้ เพียงแค่จิตเป็นกุศลนิดเดียวเท่านั้นเอง บุญก็สว่างวาบ ฉุดเอาสัตว์นรกนี้ขึ้นจากขุมนรก แล้วไปบังเกิดเป็นอากาสเทวาทันที

ส่วนอีกท่านหนึ่ง เคยถวายผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยงแด่พระลูกชาย แต่ตอนตายเนื่องจากใจเศร้าหมอง และทำบาปเอาไว้มากเหมือนกัน เมื่อผ่านการไต่สวนพิจารณาคดีจากท่านพญายมราชแล้ว ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในอุสสทนรกเป็นเวลานาน แต่ในช่วงที่ว่างจากการถูกทรมานแวบหนึ่งนั้น ได้พิจารณาเห็นเปลวไฟใหญ่ไหวไปไหวมา เสียงดังพรึบพรับ ก็พลันนึกถึงผ้าสาฎกโบกสะบัดที่ตัวเองมอบถวายให้กับพระลูกชาย

ด้วยจิตที่เป็นกุศล การชิงช่วงระหว่างหมองกับใสก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้สุกกธรรมคือธรรมฝ่ายขาวทำงานเต็มที่ กัณหธรรมไม่สามารถมาครอบงำจิตใจที่ผ่องใสนั้นได้ ทำให้สัตว์นรกท่านนี้พ้นจากทัณฑ์ทรมาน เลื่อนขึ้นจากอัตภาพของสัตว์นรก ได้กายใหม่ที่ผ่องใสกว่าเดิม เมื่อฝ่ายบุญทำงานเต็มที่ บุญที่เกิดจากการถวายผ้าสาฏกนั้น ก็ส่งผลให้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นับเป็นมหัศจรรย์แห่งบุญ ที่ต้องถือว่าหนึ่งในล้านทีเดียว ที่เมื่อตกลงไปในนรกแล้ว จะสามารถหลุดพ้นจากอบายภูมิขึ้นมาได้ ส่วนใหญ่มีแต่ต้องเสวยวิบากกรรมไปจนกว่ากรรมนั้นจะสิ้นสุดลง

นอกจากนี้ ยังมีอีกท่านหนึ่ง ในอดีตเคยเป็นอำมาตย์ แต่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ชอบฉ้อราษฎร์บังหลวง พิจารณาคดีด้วยความลำเอียงเป็นประจำ แต่ด้วยบุญที่เคยเอาดอกมะลิ ๑ หม้อ ไปบูชาพระมหาเจดีย์ แล้วได้แบ่งส่วนบุญให้แก่พญายมราช เมื่อตายไปแล้วได้ถูกควบคุมตัวไปพิจารณาโทษในยมโลก แม้พญายมจะเตือนให้นึกถึงบุญก็นึกไม่ออก เพราะบาปมันบังตาเอาไว้ พญายมจึงตรวจดูเอง แล้วเตือนให้ได้สติว่า “ยังจำได้ไหม ท่านเคยบูชามหาเจดีย์ด้วยดอกมะลิ ๑ หม้อ แล้วยังอุทิศส่วนกุศลให้กับเรา” อำมาตย์ท่านนี้จำกุศลกรรมของตัวเองได้ จึงมีใจเลื่อมใส พอจิตเลื่อมใสเท่านั้นแหละ ก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก

เราจะเห็นว่า การชิงช่วงระหว่างใจหมองกับใจใสมีอยู่ตลอดเวลา และสำคัญมากด้วย พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ เพราะฉะนั้น เราต้องฝึกทำใจให้ใสๆ อย่าให้หมอง และอย่าให้อกุศลมาครอบงำจิตใจของเราได้ การจะทำเช่นนี้ได้ต้องหมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ ชำระกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์ และเมื่อทำบุญอะไรไว้แล้ว ก็ให้หมั่นตรึกระลึกนึกถึงเรื่อยๆ ให้ใจอยู่ในบุญ อย่าไปนึกถึงบาป ที่สำคัญต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้ จะได้เป็นเครื่องยืนยันว่า เราจะได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ซึ่งเป็นที่พักระหว่างการเดินทางไกลในสังสารวัฏ เพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมอย่างแน่นอน

* มก. เล่ม ๓๔ หน้า ๑๕๙

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15406
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *