จูฬรถเทพบุตร (เทพบุตรที่ทำให้พระอินทร์ลงมาจากเทวโลกถวายบิณฑบาตกับพระมหากัสสปเถระ)

จูฬรถเทพบุตร (เทพบุตรที่ทำให้พระอินทร์ลงมาจากเทวโลกถวายบิณฑบาตกับพระมหากัสสปเถระ)

ในสังสารวัฏที่เต็มไปด้วยภัยนานัปการ ภัยที่น่าหวาดกลัวที่สุด คือ ภัยในอบายภูมิ เพราะภพของอบายนั้น เป็นภพที่เสวยวิบาก มีความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อพลัดตกไปในอบายแล้ว กว่าจะกลับมาสู่สุคติภูมิได้ ต้องใช้เวลายาวนานมาก ดังนั้นควรที่เราจะต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการตั้งใจทำคุณงามความดี เพราะสิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่า เราจะได้ไปสู่สุคติภูมิอย่างเดียว ถ้าหากเกิดมาแล้ว เป็นอยู่เพียงสักแต่ว่ามีลมหายใจเข้าออก ไม่ได้สั่งสมบุญเพิ่มเติมให้กับตัวเอง ชีวิตก็ว่างเปล่าจากสิ่งที่มีคุณค่า เกิดมาใช้ชีวิตไม่คุ้ม ดังนั้น เราเกิดมาควรแสวงหาสาระแก่นสารของชีวิต ด้วยการสั่งสมบุญให้เต็มที่ และตั้งใจประพฤติธรรม มีใจมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกคน

มีสุภาษิตบทหนึ่งปรากฏอยู่ใน สัตติคุมพชาดก ความว่า

“ปูติมจฺฉํ กุสคฺเคน โย นโร อุปนยฺหติ
กุสาปิ ปูตี วายนฺติ เอวํ พาลูปเสวนา
ตคร ญฺจ ปลาเสน โย นโร อุปนยฺหติ
ปตฺตาปิ สุรภี วายนฺติ เอวํ ธีรูปเสวนา
ตสฺมา ปตฺตปุฏสฺเสว ญตฺวา สมฺปากมตฺตโน
อสนฺเต นูปเสเวยฺย สนฺเต เสเวยฺย ปณฺฑิโต
อสนฺโต นิรยํ เนนฺติ สนฺโต ปาเปนฺติ สุคตึ

การคบหาคนพาล ย่อมเป็นเหมือนบุคคลเอาใบไม้ห่อปลาเน่า แม้ใบไม้ก็มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไปฉะนั้น ส่วนการคบหาสมาคมกับนักปราชญ์ ย่อมเป็นเหมือนบุคคลเอาใบไม้ห่อของหอม แม้ใบไม้ก็มีกลิ่นหอมฟุ้งไปฉะนั้น เพราะฉะนั้น บัณฑิตรู้ความเป็นบัณฑิตของตนดุจใบไม้สำหรับห่อ ไม่พึงเข้าไปคบอสัตบุรุษ พึงคบสัตบุรุษ อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมให้ถึงสุคติสวรรค์”

ชีวิตในสัมปรายภพของมนุษย์ ซึ่งจะตัดสินกันว่า จะไปอบายภูมิ หรือสุคติภูมินั้น ส่วนหนึ่งสามารถดูกันที่การคบมิตร ถ้ามิตรสหายดีก็มีสุคติเป็นที่ไป เพราะมิตรดีหรือสัตบุรุษ จะชักนำให้เราดำรงอยู่บนหนทางสวรรค์นิพพาน จะไม่แนะนำไปในทางเสื่อม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ชื่อว่า เป็นยอดกัลยาณมิตรของโลก รองลงมา คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ถ้าหากใครได้มีโอกาสพบเห็น ได้ฟังธรรม ได้สนทนาธรรม และได้บำเพ็ญบุญกับพระอริยเจ้าเหล่านี้ บุคคลนั้นนับได้ว่า เป็นผู้มีโชคอย่างมหาศาล ที่ได้สัตบุรุษแนะแนวทางไปสวรรค์และนิพพาน

เหมือนตัวอย่างของเทพบุตรท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังเสวยบุญอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทพบุตรที่แม้กระทั่งพระอินทร์ยังเคยเกรงบารมี เพราะเวลาที่เทพบุตรท่านนี้ นั่งราชรถท่องเที่ยวไปในอุทยานสวรรค์พร้อมกับบริวาร เมื่อเคลื่อนผ่านมาใกล้เวชยันต์ปราสาท พระอินทร์ถึงกับต้องรีบหลบเข้าไปในวิมานของท่าน เพราะรัศมีของเทพบุตรท่านนี้สว่างไสวกว่ารัศมีของพระอินทร์ ครั้งนี้จะขอเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้

* ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เป็นผู้รักษาศีลอย่างเคร่งครัด เห็นภัยในวัฏสงสาร สู้อุตส่าห์บำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มกำลังศรัทธา แต่ก็ไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูง เมื่อละโลกไปแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการรักษาศีลบริสุทธิ์ จึงไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่จนตราบเท่าสิ้นอายุขัย จากนั้นก็จุติขึ้นไปอุบัติในเทวโลกชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้กลับมาเสวยสุขอยู่ชั้นดาวดึงส์อีกครั้งหนึ่ง ความสว่างไสวที่เกิดจากรัศมีกายของท่าน ทำให้พระอินทร์จำเป็นต้องลงจากเทวโลก เพื่อมาเพิ่มเติมบุญกุศลให้กับตัวเอง ด้วยการเนรมิตกายเป็นคนแก่ชรา แสร้งทำเป็นเดินงกๆ เงิ่นๆ แล้วมาถวายบิณฑบาตกับ พระมหากัสสปเถระ

ต่อมา เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่นาน เทพบุตรท่านนี้ได้จุติลงมาเกิดเป็นโอรสของ พระเจ้าอัสสกะ ในโปตลินคร ได้รับเฉลิมพระนามว่า สุชาติ เมื่อพระกุมารอายุได้ ๑๖ ปี ก็ได้เสด็จลี้ภัยจากวังหลวงไปเป็นพรานป่าอยู่กับชาวบ้านในชนบท วันหนึ่ง ขณะที่พระกุมารเสด็จออกไปล่าเนื้อตามปกติ ได้มีเทพบุตรองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสหายที่รักกันมากในอดีตชาติ เคยบวชเป็นพระด้วยกันในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เนรมิตตนเป็นเนื้อ แล้ววิ่งไปใกล้ที่อยู่ของ พระมหากัจจายนเถระ พระกุมารคิดจะจับเนื้อ จึงรีบวิ่งตามไปจนถึงที่อยู่ของพระเถระ เมื่อ เนื้อวิ่งเข้าไปในเขตที่พักของพระเถระ ก็หายวับไปทันที พระกุมารซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จึงเดินเข้าไปนั่งพักผ่อนใกล้พระเถระ

พระเถระเห็นลักษณะที่องอาจสง่างามของพระกุมาร รู้ว่า เป็นผู้มีบุญมาเกิด จึงไต่ถามความเป็นมาของพระกุมาร ครั้นทราบว่า เป็นโอรสของกษัตริย์ ท่านจึงได้เทศน์โปรดถึงโทษของการเบียดเบียนสัตว์ว่า สรรพสัตว์ทุกชนิดต่างก็รักชีวิต รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น หากเรารักชีวิตของตนมากเพียงไร สัตว์อื่นก็รักชีวิตของตัวมากเพียงนั้น ผู้รักตนเองจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น พระกุมารได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความปีติเลื่อมใสในธรรมะมาก จึงปวารณาตัวว่าจะตั้งใจประพฤติธรรม และเลิกเบียดเบียนสัตว์จนตลอดชีวิต

พระเถระได้อนุโมทนาในกุศลจิตของพระกุมาร แต่เมื่อตรวจดูอายุสังขารของพระกุมารแล้ว ก็บอกว่า พระกุมารจะมีชีวิตอยู่อีกเพียง ๕ เดือนเท่านั้น แม้รู้เช่นนั้น พระราชกุมารก็ไม่ท้อใจ เพราะเข้าใจดีว่า คงเป็นกรรมในอดีตตามมาส่งผล พระกุมารไม่ได้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอะไร จึงถามพระเถระถึงวิธีการที่จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์

พระเถระเมตตาสอนว่า “มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ ไม่มีใครสามารถจะเอาชนะได้ ความตายเกิดขึ้นได้ทั้งคนชราและทารกแรกเกิด ไม่เว้นแม้กระทั่งพระเจ้าจักรพรรดิ ขอพระกุมารอย่าได้หวาดหวั่นไปเลย เพราะเรามีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นก็จะต้องรับผลของกรรมนั้น ขอพระองค์อย่าได้ประมาท จงใช้วันเวลาที่เหลืออยู่นี้ให้มีคุณค่ามากที่สุด ด้วยการเร่งสั่งสมเสบียงบุญติดตัวไป บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของเราในสัมปรายภพ และจงพร้อมเสมอที่จะเผชิญหน้ากับพญามัจจุราช” แล้วบอกพระกุมารให้ไปถวายบังคมลาพระบิดา เพราะพระกุมารจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง ๕ เดือน ส่วนพระเถระจะตามไปในภายหลัง

พระกุมารมีจิตเลื่อมใสในพระเถระมาก จึงได้ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หลังจากนั้นก็รีบลาพระเถระกลับพระราชวัง พระเถระได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุที่ท่านเก็บไว้ให้ไปบูชาอีกด้วย เมื่อพระราชกุมารกลับไปเข้าเฝ้าพระบิดา พระองค์ได้ทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้พระบิดาเกิดความเลื่อมใสในพระเถระไปด้วย จึงมีรับสั่งให้สร้างมหาวิหาร สร้างพระเจดีย์บูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเลื่อมใสยิ่ง

เมื่อพระเถระมาถึงพระนคร พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ต่างพากันต้อนรับ แล้วทูลนิมนต์ให้พระเถระเข้าไปในวิหาร อุปัฏฐากดูแลท่านเป็นอย่างดี พระราชกุมารอาศัยพระเถระเป็นยอดกัลยาณมิตรช่วยชี้ทางสวรรค์ให้ ทำให้พระองค์ตั้งใจบำเพ็ญทานรักษาศีลอย่างเต็มที่ด้วยจิตที่ร่าเริงเบิกบาน ดูเหมือนว่าพระกุมารจะไม่หวาดหวั่นต่อพญามัจจุราชเลย ทรงให้กำลังใจคนรอบข้างว่า อย่าได้เป็นห่วงพระองค์ แต่จงห่วงที่จะไม่ได้ทำความดี แล้วพระองค์ก็มุ่งสั่งสมบุญ ให้ทุกอนุวินาทีผ่านไปอย่างมีคุณค่า เป็นเวลาแห่งบุญกุศลล้วนๆ

ครั้นครบ ๕ เดือน พระกุมารก็สิ้นพระชนม์ตามที่พระเถระพยากรณ์ แต่คุณงามความดีที่พระองค์ได้สร้างไว้ในภพชาตินั้น ทำให้พระองค์ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติในดาวดึงส์พิภพ มี เทวรถประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการที่เกิดขึ้นด้วยบุญญานุภาพ และยังมีบริวารแวดล้อมอีกมากมาย ทั้งได้นามว่า จูฬรถเทพบุตร ตามเดิม แต่ครั้งนี้มีบริวารและวิมานที่สว่างไสวกว่าเดิมมาก เทพบุตรได้ตรวจดูกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ บังเกิดความซาบซึ้งในพระคุณของพระเถระที่ได้อนุเคราะห์ จึงตั้งใจไปนมัสการพระมหากัจจายนะ และประกาศคุณของพระรัตนตรัยให้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้น โดยมาปรากฏกายอยู่กลางอากาศ

เทพบุตรได้เล่าประวัติการสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ในช่วงเวลาอันแสนสั้นเพียงระยะเวลา ๕ เดือนเท่านั้น พร้อมกับประกาศคุณของพระรัตนตรัยให้มหาชนได้รู้ว่า “พระรัตนตรัยมีอานุภาพไม่มีประมาณ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ผู้ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ย่อมไปสู่สุคติ” จากนั้นเทพบุตรก็ได้อันตรธานไปสู่เทวโลกตามเดิม

เราจะเห็นว่า การได้มีโอกาสคบหาสมาคมกับสัตบุรุษเช่นเรื่องนี้ ที่พระกุมารได้พระมหากัจจายนเถระเป็นกัลยาณมิตร และเป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยมนั้น ทำให้พระองค์ได้สติ เป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และมีโอกาสได้สั่งสมบุญใหญ่ อันเป็นเหตุให้ได้สวรรค์สมบัติในที่สุด แต่ชีวิตของชาวโลกส่วนใหญ่แม้มีเวลาเหลืออีกไม่มาก ก็ยังประมาทในชีวิตกัน จึงห่างเหินจากพระสัทธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และมักจะทุ่มเทให้กับการทำมาหากิน ได้เงินทองมาแล้วก็เก็บสะสมเอาไว้ ไม่รู้จักนำออกให้ทาน อันจะเป็นเสบียงติดตามตัวไปข้ามชาติ เพราะฉะนั้น เวลาในชีวิตเรามีไม่มาก อีกทั้งความตายก็ไม่มีนิมิตหมาย ให้รีบประพฤติธรรม ฟังธรรมและสนทนาธรรมกับท่านผู้รู้ ที่จะแนะนำหนทางสวรรค์ให้กับเรา เราจะได้ข้อคิดดีๆ เพื่อนำไปใช้ในการดำรงชีวิตที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ ชีวิตหลังความตายจะได้ไปสุคติโลกสวรรค์กันทุกคน

* มก. เล่ม ๔ ๘ หน้า ๔ ๙๘

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15582
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *