กระแสแห่งกรรม (๑) กรรมของมิตตพินทุกะ

กระแสแห่งกรรม (๑) กรรมของมิตตพินทุกะ

เส้นทางอันยาวไกลในสังสารวัฏ เป็นเส้นทางที่จะต้องสั่งสมบุญบารมีอย่างแท้จริง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราจะมองข้าม คิดว่าจะทำเมื่อไรก็ได้ เพราะกว่าที่เราจะได้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต คือ ปราบอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไปได้นี้ ไม่ใช่เรื่องพอดีพอร้าย ที่จะทำเมื่อไรก็ได้ หากเรายังเป็นผู้ที่ประมาท ไม่เร่งสั่งสมบุญและความเพียรควบคู่กันไป เส้นทางนั้นก็ยิ่งยาวไกลออกไป ดังนั้นการสั่งสมบุญ หมั่นประพฤติปฏิบัติธรรม จึงเป็นกิจหลักที่ต้องทำให้เป็นประจำสม่ำเสมอ

มีวาระแห่งพระภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน อรรถกถโลสกชาดก ความว่า

“ผู้ใดเมื่อถูกกล่าวสอนอยู่ ไม่ทำตามคำสอนของผู้ปรารถนาประโยชน์ ผู้อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ผู้นั้นย่อมเศร้าโศก เหมือนมิตตพินทุกะจับเท้าแพะเศร้าโศกอยู่ฉะนั้น”

ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องมีกฎมีเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน ใครทำผิดกฎหมายก็มีกระบวนการยุติธรรมเข้ามา นี้เป็นจุดประสงค์ก็เพื่อต้องการให้สังคมมีความสงบสุข แม้ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่า แต่ละประเทศจะมีบรรทัดฐานที่เหมือนๆกัน เพราะในแต่ละพื้นที่ก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกัน กฎเกณฑ์ของสังคมในแต่ละประเทศชาติ ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม แต่การเกิดมาในสังสารวัฏมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวคือกฎแห่งกรรม ใครก็ตามที่พลาดพลั้งทำบาปอกุศล แม้ในภพปัจจุบันจะเป็นผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรมไปได้

* เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ในครั้งนั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในอาวาสประจำหมู่บ้าน เป็นผู้เรียบร้อย มีศีล หมั่นบำเพ็ญภาวนาโดยมีกุฎุมพีท่านหนึ่งเป็นอุปัฏฐาก สมัยนั้นมีพระขีณาสพองค์หนึ่งอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ต้องการที่จะเปลี่ยนบรรยากาศการบำเพ็ญเพียร จึงออกจากป่า ได้จาริกมาถึงบ้านที่อยู่ของกุฎุมพีผู้เป็นอุปัฏฐากภิกษุรูปนั้น

ฝ่ายกุฎุมพีครั้นเห็นพระเถระที่มีผิวพรรณวรรณะผ่องใสก็เกิดความเลื่อมใส จึงรับบาตร นิมนต์เข้าไปในบ้าน ประเคนภัตตาหารโดยเคารพ หลังจากที่พระเถระฉันเสร็จแล้ว ท่านก็แสดงสัมโมทนียคาถาที่ไพเราะ แล้วกุฎุมพีก็ไหว้พระเถระ กล่าวนิมนต์ว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นิมนต์พระคุณเจ้าไปสู่วิหารใกล้บ้านของกระผมก่อนเถิด เวลาเย็น พวกกระผมจะไปเยี่ยม นำน้ำปานะไปถวาย”

พระเถระจึงไปสู่วิหารตามคำนิมนต์ของอุปัฏฐาก เมื่อไปถึง ท่านก็นมัสการท่านเจ้าอาวาส ทักทายปราศรัยกันแล้ว จึงนั่งสนทนากัน ท่านพระเจ้าอาวาสทำปฏิสันถารกับพระเถระ ถามว่า “ผู้มีอายุ ท่านได้รับภัตตาหารแล้วหรือ” พระเถระตอบว่า “ได้แล้วครับ” “ท่านได้ที่ไหนเล่า” พระเถระก็ตอบว่า “ได้ที่เรือนกุฎุมพีใกล้ๆวิหารนี้แหละ” ครั้นบอกอย่างนั้นแล้วก็ถามถึงเสนาสนะอันควรของตน แล้วจัดแจงปัดกวาดเสนาสนะ เก็บบาตรจีวรไว้เรียบร้อย นั่งทำภาวนาด้วยความสุขในโลกุตตรฌาณสมาบัติ

ครั้นเวลาเย็น กุฎุมพีให้คนถือพวงดอกไม้และน้ำมันเติมประทีปไปสู่วิหาร นมัสการพระเถระเจ้าอาวาส แล้วถามหาพระอาคันตุกะ เมื่อทราบแล้วก็เข้าไปนมัสการและฟังธรรมิกถาจนถึงค่ำ จึงบูชาพระเจดีย์และต้นโพธิ์ จุดประทีปสว่างไสว นิมนต์ภิกษุทั้งสองรูปให้รับบาตรในวันรุ่งขึ้น แล้วตนก็กราบลากลับไป

ฝ่ายพระเถระผู้เป็นเจ้าอาวาสท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ จิตใจก็เกิดความคิดที่ไม่น่าจะเกิด คิดว่ากุฎุมพีนี้ถูกพระอาคันตุกะยุให้แตกกับเราเสียแล้ว ถ้าหากเธออยู่ในวิหารนี้ กุฎุมพีคงจะเลิกเลื่อมใสเรา จึงเกิดความไม่พอใจในพระเถระอรหันต์ คิดว่าเราไม่ควรให้เธออยู่ในวิหารนี้ เมื่อถึงเวลาพระเถระมาปรนนิบัติก็ไม่พูดด้วย พระเถระผู้ขีณาสพทราบวาระจิตของภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาส แล้วคำนึงว่า พระเถระนี้ไม่ได้ทราบถึงการที่เราขจัดอาสวะสิ้นแล้ว ไม่มีความห่วงใยในตระกูล ในลาภ แล้วท่านก็กลับไปที่อยู่ของตน นั่งเข้านิโรธสมาบัติอย่างมีความสุข

วันรุ่งขึ้น ท่านเจ้าอาวาสก็ตีระฆังด้วยหลังเล็บ เคาะประตูด้วยเล็บ แล้วไปสู่เรือนของกุฏุมพี กุฎุมพีรับบาตร นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้ ถามว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระอาคันตุกะเถระไปไหนเสียเล่า” ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า “อาตมาไม่ทราบความประพฤติของพระอาคันตุกะ อาตมาได้ตีระฆัง เคาะประตู ก็ไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้ สงสัยเมื่อวานฉันโภชนะอันประณีตในเรือนของคุณแล้ว คงอิ่มอยู่จนวันนี้ บัดนี้ยังนอนหลับอยู่มั้ง”

ฝ่ายพระเถระผู้ขีณาสพ เมื่อถึงเวลาก็ชำระสรีระแล้วทรงบาตรจีวร เหาะไปภิกขาจารในที่อื่น ส่วนกุฎุมพีนิมนต์พระเถระเจ้าอาวาสให้ฉันข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวดแล้ว ก็รมบาตรด้วยของหอม ใส่ข้าวปายาสจนเต็ม แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเถระนั้นเห็นจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ขอพระคุณเจ้าจงนำข้าวปายาสนี้ถวายท่านด้วยเถิด” พระเถระเจ้าอาวาสรับบาตรด้วยความจำใจ เดินไปก็คิดไปด้วยความริษยาว่า ถ้าภิกษุนั้นได้ฉันข้าวปายาสนี้ เดี๋ยวก็คงติดใจ เมื่อเราจะจับคอฉุดลากออกจากกุฏิเห็นจะไม่ไป ถ้าหากเราให้ข้าวปายาสนี้แก่คนอื่น เดี๋ยวความจะแตก ถ้าเททิ้งลงในแม่น้ำเนยใสก็จะลอยให้เห็น หากทิ้งบนแผ่นดิน ฝูงกาจะรุมกันกิน ความจะแตกอีกเหมือนกัน เราควรทิ้งข้าวปายาสนี้ที่ไหนดีหนอ”

ครั้นเดินผ่านนาที่ไฟกำลังไหม้อยู่ ก็คุ้ยถ่านขึ้น แล้วเทข้าวปายาสลงไป จัดแจงกลบด้วยก้อนถ่านเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับวิหาร เมื่อไม่เห็นภิกษุอาคันตุกะจึงได้สติ คิดได้ว่า ตายแล้ว เราทำกรรมหนักเสียแล้ว ภิกษุนั้นคงจักเป็นพระขีณาสพ ถึงรู้อัธยาศัยของเราแล้วไปเสียที่อื่นเป็นแน่ โอ เพราะท้องเป็นเหตุ เราทำกรรมอันไม่สมควรเลย ทันใดนั้นความเสียใจอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น กรรมที่ทำกับพระผู้ทรงคุณวิเศษได้ให้ผลในวันนั้นทีเดียว คือเกิดความเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา อยู่มาไม่นาน ก็ตายไปบังเกิดในมหานรก

ภิกษุนั้นตกนรกหมกไหม้อยู่หลายแสนปี เศษของผลกรรมยังนำให้ไปเกิดเป็นยักษ์ถึง ๕๐๐ ชาติ ไม่เคยได้กินอาหารอิ่มท้องสักวันเดียวจนถึงวันจะตาย จึงได้กินอิ่ม คือได้กินรกคนอิ่มท้องอยู่วันหนึ่ง ถัดจากเกิดเป็นยักษ์ ก็ไปเกิดเป็นสุนัข ๕๐๐ ชาติ เมื่อเกิดเป็นสุนัข จะได้กินรากอิ่มท้องวันเดียวในวันสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น

จุติจากเป็นสุนัข ก็มาเกิดในตระกูลคนเข็ญใจตระกูลหนึ่งในแคว้นกาสี มีนามว่า มิตตพินทุกะ นับตั้งแต่วันที่เกิดมา ตระกูลก็ยิ่งยากจนหนักลงไปอีก แม้แต่น้ำและปลายข้าวครึ่งท้องก็ไม่เคยได้ ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของเขาไม่สามารถจะทนทุกข์อันเกิดแต่ความอดอยากได้ จึงพูดว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปหากินเองเถิด” เมื่อมิตตพินทุกะไม่มีที่พักอาศัย ก็ท่องเที่ยวไปจนถึงเมืองพาราณสี

ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์สอนศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐ สมัยนั้นชาวเมืองพาราณสีให้ทุนศึกษาแก่คนเข็ญใจ ให้มีโอกาสศึกษาศิลปะ เด็กคนนี้จึงมีโอกาสได้ศึกษาศิลปะ แต่ด้วยความเป็นเด็กที่หยาบกระด้าง ไม่อยู่ในโอวาท เที่ยวชกต่อยเกะกะไปทั่ว แม้พระโพธิสัตว์จะตักเตือนสั่งสอนก็ไม่เชื่อฟัง เมื่อเจริญเติบโตขึ้นจึงเป็นคนโง่เขลา วันหนึ่ง เขาหนีเที่ยวไปถึงหมู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ได้รับจ้างเป็นคนส่งข่าวให้ชาวบ้านเลี้ยงชีวิต และได้หญิงเข็ญใจคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้นมาเป็นภรรยา อยู่ด้วยกันจนมีลูก ๒ คน แต่ด้วยกรรมเก่าของมิตตพินทุกะเป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านชายแดนถูกราชทัณฑ์ถึง ๗ ครั้ง ไฟไหม้บ้าน ๗ หน บ่อน้ำพังอีก ๗ ครั้ง

เราจะเห็นว่า กฎแห่งกรรมไม่ได้ยกเว้นใครเลย ผู้ที่ทำกรรมไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือฆราวาส ย่อมเป็นผู้ที่รับผลของกรรมนั้น และให้ผลอย่างต่อเนื่องยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย เหมือนเรื่องที่หลวงพ่อเล่าค้างเอาไว้ ดังนั้นคนที่สร้างกรรมที่เป็นบาปอกุศลนั้น ไม่เพียงแต่จะทำตนให้เดือดร้อน ยังก่อให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่อยู่รอบข้าง จนไม่สามารถที่จะทนกระแสแห่งกรรมที่เป็นบาปนั้นได้ จึงต้องระเห็จระเหเร่ร่อนชดใช้กรรมต่อไป เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ก็ให้ตั้งใจที่จะสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญบารมีให้มากๆ

* มก. เล่ม ๕๖ หน้า ๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15606
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *