กระแสแห่งกรรม (๒) กรรมของมิตตพินทุกะ

กระแสแห่งกรรม (๒) กรรมของมิตตพินทุกะ

เวลาในโลกมนุษย์นี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยววันประเดี๋ยวคืน เวลาที่ผ่านไปไม่ผ่านไปเปล่า ได้นำเอาความแก่ชรา ความเสื่อมแห่งสังขารให้เกิดขึ้นกับตัวของเรา ชีวิตของนักสร้างบารมีนั้นรู้ความจริงในข้อนี้ ย่อมไม่ปล่อยให้สังขารเสื่อมไปเปล่า แต่จะเก็บเกี่ยวเอาบุญไปพร้อมๆ กับเวลาที่ผ่านไป ยิ่งแก่ก็ยิ่งแก่บุญแก่บารมี บุญในตัวก็เพิ่มขึ้นทุกๆวัน การใช้ชีวิตให้ผ่านไปอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเป็นชีวิตของผู้ที่ไม่ประมาท

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน อรรถกถา โลสกชาดก ความว่า

“ภิกษุทั้งหลาย โลสกติสสะผู้นี้ ได้ประกอบกรรมคือ ความเป็นผู้มีลาภน้อย และความเป็นผู้ได้อริยธรรมของตนด้วยตนเอง เนื่องด้วยครั้งก่อนเธอกระทำอันตรายลาภของผู้อื่น จึงเป็นผู้มีลาภน้อย แต่เป็นผู้บรรลุอริยธรรมได้ด้วยผลที่บำเพ็ญวิปัสสนา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

กรรมไม่เพียงแต่ทำตนเองให้เดือดร้อนเท่านั้น ยังทำให้ญาติสนิทมิตรสหายที่อยู่ใกล้เคียงต้องได้รับผลกระทบแห่งกระแสกรรมนั้นไปด้วย ในวันนี้หลวงพ่อขอเล่าต่อจากคราวที่แล้ว ภายหลังที่มิตตพินทุกะอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านชายแดน ทำให้หมู่บ้านนั้นถูกราชทัณฑ์ถึง ๗ ครั้ง ไฟไหม้ ๗ หน บ่อน้ำที่อาศัยดื่มกันทั้งหมู่บ้านพังทลายอีกถึง ๗ ครั้ง ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว

* พวกชาวบ้านทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า เมื่อก่อนไม่มีนายมิตตพินทุกะ พวกเราไม่เคยมีเรื่องเดือดร้อนอย่างนี้เลย จึงตกลงช่วยกันรุมตีขับไล่เขาออกจากหมู่บ้าน มิตตพินทุกะจึงหอบหิ้วลูก ๒ คนและภรรยาไปอยู่ที่อื่น เดินผ่านเข้าไปสู่ดงที่อมนุษย์อาศัยอยู่ ถูกพวกอมนุษย์รุมกันจับลูกและภรรยาของเขาฆ่ากินเสีย ตัวเขาเองหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด เขาได้ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ จนถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง ในวันที่เขาปล่อยเรือลงทะเล ได้สมัครเป็นกะลาสีลงเรือไป

เรือแล่นไปในสมุทรได้ ๗ วัน จู่ๆเรือก็หยุดอยู่กลางทะเลเหมือนมีใครมาฉุดสมอไว้ ชาวเรือเหล่านั้นพากันจับสลากหาบุคคลกาลกิณี สลากกาลกิณีก็ตกมาถึงมิตตพินทุกะคนเดียวถึง ๗ ครั้ง ชาวเรือจึงลงมติจับเขาโยนแพไม้ไผ่ไป เมื่อจับมิตตพินทุกะโยนลงทะเลแล้ว เรือก็แล่นต่อไปได้อย่างสบาย มิตตพินทุกะนอนบนแพลอยไปกลางทะเล กระนั้นก็ยังพอมีบุญเก่าที่เคยรักษาศีลในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่บ้าง บุญจึงส่งผลให้พบกับเทพธิดา ๔ นาง ที่อยู่ในวิมานแก้วผลึกหลังหนึ่งในทะเล เสวยสุขสำราญอยู่กับพวกเวมานิกเปรตตลอด ๗ วัน ซึ่งเป็นช่วงที่พวกนางกำลังเสวยสุขในอัตภาพที่ดูเหมือนเทพธิดา แต่หลังจากนั้น พวกนางก็ต้องกลายเป็นเปรตผู้น่าเกลียดน่ากลัว

เมื่อพวกนางจะต้องไปเสวยทุกข์ก็สั่งมิตตพินทุกะให้รออยู่ที่นี้ อย่าไปไหนเพื่อจะได้เสวยสุขร่วมกันอีก พวกนางขอไปทำธุระ ๗ วัน แต่มิตตพินทุกะไม่เชื่อ ได้ลงนอนบนแพไม้ไผ่ล่องลอยต่อไปจนได้เทพธิดา ๘ นางในวิมานเงิน เทพธิดาเหล่านั้นก็เป็นเปรตมีวิมานเช่นเดียวกัน พอได้เสวยสุขกับนางครบ ๗ วัน ก็ลอยแพต่อไป ได้เทพธิดา ๑๖ นางในวิมานแก้วมณี แล้วลอยแพต่อไปอีก ก็ได้เทพธิดา ๓๒ นางในวิมานทอง เขาไม่ฟังคำของเทพธิดาเหล่านั้น ได้แต่ลอยแพต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงเมืองยักษ์เมืองหนึ่งอยู่ในระหว่างเกาะ

ในเมืองนั้น มียักษิณีตนหนึ่งแปลงกายเป็นแม่แพะ คอยจับเหยื่อที่พลัดหลงเข้ามา มิตตพินทุกะไม่ทราบว่าแม่แพะเป็นยักษิณี คิดแต่จะกินเนื้อแพะ จึงกระโดดจับเท้าของแพะ นางยักษ์ก็ยกมิตตพินทุกะขึ้นสลัดไปด้วยอานุภาพของยักษ์ มิตตพินทุกะถูกนางยักษ์สลัดข้ามทะเลไปตกที่พุ่มไม้หนามพุ่มหนึ่งข้างคูเมืองพาราณสี ซึ่งขณะนั้นได้มีฝูงแพะของพระราชาหากินอยู่บริเวณนั้นพอดี ฝูงแพะนั้นมีคนเลี้ยงแพะซุ่มอยู่ เพื่อจับหัวขโมยที่ได้ขโมยแพะของพระราชาไปหลายตัว

มิตตพินทุกะเห็นแม่แพะเหล่านั้น ก็กระโดดจับเท้าแพะด้วยความคิดว่า เราจับแม่แพะตัวหนึ่งในเกาะแห่งหนึ่ง ได้ถูกมันดีดกระเด็นมาตกถึงที่นี่ คราวนี้ถ้าเราจับเท้าแม่แพะตัวนี้มันคงดีดเรากระเด็นกลับไปถึงวิมานของเทพธิดากลางทะเลดังก่อน เมื่อแม่แพะถูกจับเท่านั้นแหละ ก็ร้องเอ็ดอึง พวกคนเลี้ยงแพะก็พากันกรูเข้ามารุมซ้อมแล้วจับมัดพาเขาไปสู่พระราชวังเพื่อให้ทางการสำเร็จโทษ

ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์แวดล้อมไปด้วยมาณพ ๕๐๐ ออกจากเมืองไปอาบน้ำ เห็นมิตตพินทุกะก็จำได้ จึงเข้าไปสอบถาม เมื่อทราบเรื่อง ก็ขอร้องให้ปล่อยเขาไป เมื่อคนเลี้ยงแพะปล่อยแล้ว พระโพธิสัตว์ไต่ถามว่า ตลอดเวลาที่หายหน้าไปนั้น ไปอยู่ที่ไหนมา มิตตพินทุกะก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า “คนที่ไม่กระทำตามถ้อยคำของผู้ที่หวังดี ย่อมประสบทุกข์อย่างนี้” หลังจากนั้น มิตตพินทุกะก็ไปตามยถากรรม

จนกระทั่งสมัยพุทธกาล เขาได้ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงชาวประมงคนหนึ่ง ณ หมู่บ้างชาวประมง ซึ่งอยู่ร่วมกันถึงพันครอบครัวในแคว้นโกศล ในวันที่เขาเกิด ชาวประมงทั้งพันครอบครัวพากันถือข่ายเที่ยวหาปลาจนทั่วลำน้ำบ่อบึง ไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆสักตัวหนึ่ง ตอนอยู่ในท้องมารดา หมู่บ้านถูกไฟไหม้ ๗ ครั้ง แถมยังถูกพระราชาปรับสินไหมอีก ๗ ครั้ง ชาวประมงจึงสืบหาต้นเหตุ เมื่อพบก็พากันขับไล่ออกไป แต่บุญผู้จะได้บรรลุอรหัตผล ใครก็ไม่อาจทำลายได้ คอยปกปักรักษาให้อยู่รอดจนกระทั่งคลอด เมื่อเขาวิ่งเล่นได้ มารดาก็เอากะโล่ดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้ แล้วพูดว่า “ลูกเอ๋ย ไม่ใช่แม่ไม่รักลูก แต่แม่ไม่สามารถที่จะเลี้ยงเจ้าได้ เจ้าจงไปตามทางของเจ้าเถิด”

จำเดิมแต่นั้นมา เขาอยู่อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา ไม่ได้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ดูแล้วเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น จนอายุครบ ๗ ขวบ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรขณะที่บิณฑบาตอยู่ในเมืองเห็นเขาแล้วรำพึงว่า “เด็กคนนี้น่าสงสารนัก” จึงให้ของกิน แล้วพาเด็กไปที่วิหาร ให้อาบน้ำด้วยตนเอง จากนั้นก็ให้บรรพชา จนอายุครบจึงให้อุปสมบท โดยมีนามว่า โลสกติสสเถระ ท่านเป็นพระมีลาภน้อย

แม้ตอนที่พระราชาโกศลถวายอสทิสทาน ท่านก็ไม่เคยได้ฉันเต็มท้อง ได้ขบฉันเพียงแค่ประทังชีวิตไปได้เท่านั้น เพราะเมื่อใครใส่บาตรท่านเพียงข้ามต้มกระบวยเดียว บาตรก็เหมือนเต็มเสมอขอบบาตรแล้ว จึงทำให้ไม่มีใครใส่บาตรท่านต่อ แม้กระทั่งท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ก็ยังคงมีลาภน้อย และในวันสุดท้ายของชีวิต พระธรรมเสนาบดีรู้ถึงการปรินิพพานของท่าน ปรารถนาจะให้ท่านฉันอิ่มสักมื้อ จึงพาเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี แต่เพราะพาท่านไปด้วยบิณฑบาตแม้สักน้อยก็ไม่ได้ พระเถระจึงให้ท่านกลับไปนั่งคอยที่โรงฉัน พอส่งท่านกลับไปเท่านั้น พระเถระก็ถูกชาวเมืองนิมนต์ให้นั่งฉันภัตตาหาร พระเถระก็ส่งอาหารที่ได้นั้นไปถวายพระโลสกติสสะโดยกำชับซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง แต่ก็ถูกกระแสกรรมของพระโลสกติสสะบัง ทำให้ผู้ที่นำภัตไปให้ลืมท่านไป พากันกินเสียเอง

เมื่อพระเถระทราบจึงไปสู่พระราชวังของพระเจ้าโกศล พระราชาสั่งให้รับบาตรของพระเถระ รับสั่งให้ถวายของหวาน ๔ อย่างจนเต็มบาตร เมื่อพระเถระรับบาตรกลับไปถึง จึงเรียกพระโลสกติสสเถระว่า “มาเถิดติสสะ ท่านจงฉันของหวาน ๔ อย่างนี้เถิด ผมจะยืนประคองบาตรไว้ ท่านจงนั่งฉันเถิด หากผมปล่อยบาตรจากมือ ในบาตรจะไม่มีอะไรให้ท่านฉันเลย” เมื่อพระอัครสาวกประคองถือบาตรไว้ให้ ท่านจึงนั่งฉันของหวาน ๔ อย่าง ของหวาน ๔ อย่างนั้นไม่ถึงความหมดสิ้นด้วยกำลังฤทธิ์ของพระเถระ พระโลสกติสสเถระได้ฉันจนอิ่มในวันสุดท้ายของชีวิตเพราะอาศัยบุญของพระสารีบุตร และในวันนั้นเองท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน

เราจะเห็นว่า กระแสกรรมนี้มีอานุภาพมาก มีวิบากติดตามตัวเราไปทุกหนแห่ง คอยบั่นทอนให้ชีวิตเราประสบแต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดข้อง การสั่งสมบุญบารมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะเกื้อกูลต่อชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นจงตระหนักให้ดี อย่าประมาทในการใช้ชีวิตในสังสารวัฏ กฎแห่งกรรมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อยกเว้นให้กับใครทั้งสิ้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยิ่งใหญ่มีอำนาจยศศักดิ์สักเพียงไรก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น ไม่มีใครที่หนีกฎอันศักดิ์สิทธิ์นี้ไปได้ ฉะนั้นต้องตั้งใจสั่งสมบุญให้เต็มที่ ชีวิตเราจะได้ราบรื่น มีบุญกุศลเกื้อกูลตลอดไป

* มก. เล่ม ๕๖ หน้า ๑๑

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15610
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *