เทพบุตรมาร (๒) (ท้าววสวัตดีมารผู้เคยปรารถนาพุทธภูมิ แต่ชาตินี้ถูกอกุศลเข้าสิงจิต)

เทพบุตรมาร (๒) (ท้าววสวัตดีมารผู้เคยปรารถนาพุทธภูมิ แต่ชาตินี้ถูกอกุศลเข้าสิงจิต)

ชีวิตของทุกๆ คนที่เกิดมาในสังสารวัฏ ต่างเคยผ่านการเกิดในภพภูมิต่างๆ มาแล้วทั้งนั้น ทั้งชีวิตในระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือยาจกเข็ญใจ เพราะชีวิตมีการขึ้นลงไปตามอำนาจแห่งบุญและบาปที่ได้ก่อขึ้นในภพชาตินั้นๆ ถ้าทำบุญไว้มากก็จะได้รับผลที่ดี เสวยสุขในสุคติภูมิ ชีวิตก็จะประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ถ้าทำบาปอกุศลไว้มาก ก็ต้องไปเสวยวิบากแห่งกรรมในอบายภูมิ ไม่ว่าใครก็ตามจะหลีกหนีกฎแห่งกรรมไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว ต้องสร้างแต่ความดีอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อเพิ่มพูนความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้แก่ตนเอง วิธีที่จะทำความบริสุทธิ์ได้อย่างดีที่สุด คือการหมั่นปฏิบัติให้เข้าถึงธรรม ทำใจให้หยุด ทำใจให้นิ่งบ่อยๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ชีวิตของเราก็จะสมหวัง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเสมอ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทุติยมารปาสสูตร ว่า

“รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น สัมผัสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่ารักน่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัดมีอยู่ หากภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่สรรเสริญ ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและธรรมารมณ์ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ไม่ไปสู่ที่อยู่ของมาร ไม่ตกอยู่ในอำนาจของมาร ไม่ถูกมารครอบงำ เป็นผู้พ้นจากบ่วงมาร ภิกษุนั้น มารผู้มีบาปพึงใช้บ่วง ทำตามความปรารถนาไม่ได้”

มาร คือ ผู้ขัดขวางการทำความดี เช่นเทวบุตรมาร มีตัวมีตนจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นามธรรมอย่างที่คนธรรมดาสามัญคิดกันเท่านั้นว่า มาร คือ อาสวกิเลสที่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง จับต้องไม่ได้ มารที่เป็นกิเลสท่านเรียกว่า กิเลสมาร แต่ที่เป็นเทวบุตรมาร หรือพญามารที่มีตัวตนจริงนั้น เราจะรู้เห็นได้ ต้องเข้าถึงวิชชาธรรมกาย ก็จะเห็นตัวจริงเขา เขาจะคอยขัดขวางการกระทำความดีของเรา และคอยบังคับบัญชา ไม่ให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ โดยจะส่งกระแสกิเลสเข้ามาบังคับจิตใจมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ที่เอาใจออกห่างจากศูนย์กลางกาย จะเปิดช่องให้กิเลสมารเข้ามาแทรกได้ง่าย ในขณะเดียวกัน เขาจ้องหาโอกาสช่วงชิงอยู่ตลอดเวลา และจะทำงานกันไม่ได้หยุดเลย มีอานุภาพมากถึงขนาดยกพลมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อแย่งชิงรัตนบัลลังก์ของพระบรมโพธิสัตว์ของเรา ก่อนที่พระองค์ท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหล่าเทวดาทุกสวรรค์ชั้นฟ้าที่ลงมาห้อมล้อม ครั้นเห็นพญามารและเสนามารยกพลมามากมาย อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต่างพากันหลบหนีเอาตัวรอด ไปแอบอยู่ขอบจักรวาล ในพระไตรปิฎกบางตอนกล่าวไว้ว่า มารสามารถดลใจให้คนทั้งเมืองเกิดความลุ่มหลง และไม่ตักบาตรพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ตลอดถึง ๓ เดือน

* เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงมารผู้ขัดขวางความดีนั้น จึงไม่ใช่เพียงเป็นนามธรรม หรือยกขึ้นมากล่าวเป็นเพียงบุคลาธิษฐานเท่านั้น ในโลกนี้ยังมีความลี้ลับที่เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริงอีกมาก ที่รอคอยพวกเราไปพิสูจน์ ตอนนี้มาเรียนรู้เรื่องราวของ วสวัตดีมารเทพบุตร กันต่อ ซึ่งเคยเล่าไว้ว่า ในอดีตสมัยที่วสวัตดีมารเป็นมนุษย์ ท่านเคยสั่งสมบุญชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อให้ได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ซึ่งเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ ผลบุญในครั้งนั้น ส่งผลให้ท่านเวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิเรื่อยมา

ครั้นมาในภพชาตินี้ เนื่องจากท่านยังตกอยู่ในห้วงของกิเลส และยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงเกิดความเห็นผิด ท่านบังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มารในชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แต่นับว่า วสวัตดีมารยังโชคดีที่ได้ยอดกัลยาณมิตร คือ พระอุปคุต ซึ่งเป็นพระอรหันต์ปราบทิฐิมานะจนสิ้นฤทธิ์ ทำให้ท่านเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา และหวังที่จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว ท้าววสวัตดีมารถูกอำนาจของพญามาร ซึ่งเป็นธาตุธรรมฝ่ายดำครอบงำ ทำให้มีจิตคิดแข่งดี คอยขัดขวางงานเผยแผ่พระศาสนาของพระพุทธเจ้าเรื่อยมา เฝ้าติดตามรังควาญด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักถึงขนาดเป็นอนันตริยกรรม

หลังพุทธปรินิพพาน เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงผ่านไปได้ ๒๐๐ ปีเศษ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาอุตสาหะ สร้างพระสถูปเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ทรงปรารถนาจะทำการฉลองอย่างมโหฬาร โดยใช้เวลาฉลองเจดีย์นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันให้สมกับพระราชศรัทธาซึ่งฝังแน่นอยู่ในพระทัย ฝ่ายพระสงฆ์ผู้รู้มีญาณต่างก็รู้ด้วยญาณทัสสนะว่า งานฉลองพระเจดีย์อันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ จะมีพญาวสวัตดีมารมาขัดขวางและทำอันตรายต่องานเฉลิมฉลองครั้งนี้แน่นอน

แม้พระภิกษุบางองค์ในสังฆมณฑลจะทรงอิทธิฤทธิ์ แต่ก็รู้ว่า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพญามาร จึงพร้อมใจกันส่งภิกษุสองรูปผู้ได้อภิญญา เหาะไปอาราธนาพระอุปคุตเถระ ให้มาช่วยปกป้องผองภัยในครั้งนี้ ซึ่งในตำราได้มีพุทธพยากรณ์ปรากฏเอาไว้ว่า “สืบไปในภายภาคหน้า จะมีภิกษุรูปหนึ่งนามว่าอุปคุตเถระ จักปราบท้าววสวัตดีมารให้ละพยศอันชั่วร้าย และพ่ายแพ้ แล้วจะให้ท้าวเธอกล่าวปฏิญญาปรารถนาพุทธภูมิ”

พระมหาเถรเจ้ารูปนี้ ท่านเป็นผู้มีปกติปลีกวิเวก มักน้อยสันโดษ ท่านมักจะเข้าอาโปกสิณ ทำให้ห้วงมหาสมุทรเป็นที่โล่งๆ ว่างๆ แล้วเนรมิตปราสาทที่สำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดิษฐานในท้องมหาสมุทร นั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ภายในท่ามกลางรัตนปราสาท นานๆ จะออกมาสู่โลกภายนอก เพื่อแสวงภัตตาหารมาขบฉันพอประทังชีวิต หล่อเลี้ยงกายหยาบให้ดำรงอยู่ได้ ท่านจึงเป็นผู้มีร่างกายผ่ายผอม เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น แต่ท่านก็มีร่างกายที่แข็งแรง ผิวพรรณวรรณะเปล่งปลั่งผ่องใสมาก เพื่อนสหธรรมิกจึงให้ฉายานามว่า พระกีสนาคอุปคุตเถระ

เมื่อพระภิกษุ ๒ รูป ผู้ทรงอภิญญาได้ ชำแรกพื้นปฐพี มานิมนต์ท่านถึงที่อยู่ แล้วอาราธนาท่านให้มาสู่ที่ประชุมสงฆ์ พระอุปคุตรับคำแล้ว พร้อมกับส่ง ภิกษุ ๒ รูป ล่วงหน้า ไป ก่อน ส่วนท่านจะตามไปทีหลัง แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์มาก แม้ไปทีหลังแต่ก็ไปถึงก่อน และได้เข้าไปกราบพระมหาเถระในท่ามกลางมหาสมาคม ที่ประชุมสงฆ์ได้ประกาศอาญาสงฆ์ลงทัณฑกรรมโดยแจ้งโทษว่า “ท่านอุปคุตมิได้ร่วมลงสามัคคีอุโบสถกับภิกษุสงฆ์เลย มาหาความสบายอยู่แต่ผู้เดียว มิได้เฉลียวใจว่า พระบรมศาสดาทรงตำหนิ เพราะมิได้เคารพในสงฆ์ ควรที่สงฆ์จะลงทัณฑกรรมแก่ท่าน” พระเถระเป็นผู้ว่าง่ายอยู่แล้ว พร้อมที่จะทำตามกติกาสงฆ์ จึงน้อมรับทัณฑกรรมนั้นด้วยความยินดี

เมื่อพระอุปคุตมารับทัณฑกรรมจากสงฆ์ คือ ให้ท่านป้องกันไม่ให้พญามาร มาทำอันตรายในกองการกุศลของบรมกษัตริย์ได้ ท่านฟังแล้วก็รับคำมั่นที่จะปกป้องมิให้ใครมาขัดขวาง งานฉลองพระเจดีย์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ที่จะยอยกพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป ครั้นถึงวันเปิดงาน พระเจ้าอโศกมหราชเสด็จมาที่ลานพระมหาเจดีย์ ซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาสโมสรสันนิบาตกัน เพื่อจะสักการบูชาพระมหาเจดีย์

ฝ่ายพญาวสวัตดีมารรู้ว่า พระเจ้าอโศกมหาราชจะทำการบูชาใหญ่ จึงตั้งใจจะมาทำลายพิธีงานมหามงคล คิดแล้วก็ลงมาจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี บันดาลด้วยฤทธิ์อำนาจให้เกิดพายุใหญ่ เพื่อดับประทีปบูชา ฝ่ายพระอุปคุตเถระผู้ทรงอานุภาพ ซึ่งเข้าสมาบัติจนชำนาญตั้งท่ารอคอยอยู่แล้ว รู้ด้วยญาณทัสสนะที่ผ่องแผ้วว่า ท้าววสวัตดีมารตั้งใจจะมาทำลายพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ จึงอธิษฐานบันดาลให้พายุใหญ่ของพญามารอันตรธานหายไป เมื่อพญามารบันดาลฤทธิ์สิ่งใดให้ปรากฏ พระมหาเถระก็ใช้ฤทธิ์ทำลายล้างจนหมด แม้พญามารจะบันดาลห่าฝนทรายกรดที่ร้อนแรงเหมือนเปลวเพลิง ให้ตกลงมาทั่วอาณาบริเวณปะรำพิธี พระมหาเถระก็ใช้ฤทธิ์หอบเอาฝนทรายกรดนั้นออกไปทิ้งนอกจักรวาลจนหมดสิ้น

ส่วนผลการต่อสู้ระหว่างผู้มีฤทธิ์ของตัวแทนฝ่ายพระและฝ่ายมาร จะเป็นอย่างไรนั้น ไว้ติดตามต่อในคราวหน้า ขอให้พวกเราทุกคน หมั่นฝึกฝนใจของเราให้หยุดนิ่ง จะได้ไม่หลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอันเป็นบ่วงแห่งมาร ไม่ถูกเครื่องผูกแห่งมารจองจำ อีกทั้งจะได้เป็นผู้มีฤทธิ์มีเดชบังเกิดเป็นจิตตานุภาพ ดุจดังพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาทั้งหลายกัน

* พระปฐมสมโพธิกถา (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโน รส)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15655
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *