เทพบุตรมาร (๓) (พระอุปคุตเถระปราบทิฎฐิมานะทำให้ท้าววสวัตดีมารเปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิ)

เทพบุตรมาร (๓) (พระอุปคุตเถระปราบทิฎฐิมานะทำให้ท้าววสวัตดีมารเปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิ)

ความไม่ประมาทเป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอด ๔๕ พรรษา มาประชุมรวมกันอยู่ในความไม่ประมาททั้งสิ้น ดังจะเห็นได้จากปัจฉิมโอวาทก่อนพุทธปรินิพพาน ที่พระองค์ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลาย ให้นึกถึงสังขารร่างกายที่ไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว จะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง แล้วดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือดำเนินจิตอยู่ในหนทางสายกลาง เอาสติควบคุมใจให้หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตลอดเวลา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จิตตวรรควรรณนา ว่า

“ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา

ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตนี้ ซึ่งไปได้ไกล เที่ยวไปโดดเดี่ยว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย ชนเหล่านั้น จักพ้นจากบ่วงแห่งมารได้”

ผู้ที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากบ่วงมารได้ ก็เพราะไม่สามารถสำรวมระวังจิตให้อยู่ภายในตัว ส่วนใหญ่แล้วมักจะปล่อยใจไปตามกระแสกิเลส แล้วไปยึดติดอยู่กับคน สัตว์ สิ่งของนอกตัว ซึ่งเป็นเบญจกามคุณทั้งหลาย คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ต่างๆ เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้สำรวมระวังจิตดวงนี้ให้ดี ให้หยุดนิ่งอยู่ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอก และรักษาไว้ให้ผ่องใส เครื่องล่อภายนอกจะได้ไม่สามารถดึงใจของเรา ให้หลุดออกจากฐานที่ตั้งไปได้

พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ท่านเป็นผู้สำรวมระวังจิตได้อย่างยอดเยี่ยม เครื่องผูกแห่งมารทั้งหมด ทั้งที่เป็นของหยาบและของละเอียด ทั้งของมนุษย์หรือทิพย์ ไม่สามารถมารัดรึงจิตใจของท่านไว้ได้ ท่านมีความสุขอยู่กับกระแสธรรมภายใน ซึ่งเกิดจากการเข้าถึงกายธรรมอรหัต ใจของท่านจึงเป็นอิสระ หลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นทุกอย่าง เมื่อหลุดจากเครื่องผูกแห่งมารได้ จึงมีอธิปไตยความเป็นใหญ่ในตน ไม่ตกอยู่ในอำนาจของมาร แล้วยังสามารถต่อสู้กับมารผู้มีอานุภาพมากได้อีกด้วย

* เหมือนดังเรื่องของ พระอุปคุตเถระ ผู้มีฤทธานุภาพมาก ที่หลวงพ่อได้เล่าไว้ว่า ท่านเป็นผู้สามารถต่อกรกับ ท้าววสวัตดีมาร ผู้มีอานุภาพมากได้ หลวงพ่อเล่าค้างไว้ถึงตอนที่ท้าววสวัตดีมาร ได้ลงมาทำลายการฉลองมหาเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ แห่ง ที่พระเจ้าอโศกได้จัดขึ้น พระอุปคุตก็ทำหน้าที่เข้าขัดขวางอย่างสุดฤทธิ์ แม้พญามารจะบันดาลให้ฝนลูกไฟที่ร้อนแรงตกใส่ในบริเวณพิธี พระเถระก็ใช้ฤทธิ์หอบเอาห่าฝนทั้งหมดไปตกนอกจักรวาล จากนั้นจอมมารก็เนรมิตเป็นโคใหญ่ วิ่งไปด้วยความโกรธหมายจะชนประทีปในพิธีให้แตกเสียหาย พระเถระก็เนรมิตกายเป็นพยัคฆ์ใหญ่ วิ่งไล่ตะปบโคถึกนั้น

หลังจากผู้มีฤทธิ์ทั้งสองประลองฤทธิ์กันได้สักครู่ โคถึกก็ล้มลงถึงความปราชัย และกลับกลายเป็นนาคราชมี ๗ เศียรเข้าคาบกายพยัคฆ์ใหญ่ ฝ่ายพยัคฆ์ใหญ่ พลันกลับกลายเป็นพญาครุฑตัวใหญ่มหึมา คาบศีรษะพญานาคลากไปมาให้ถึงความปราชัย พญามารก็ละจากเพศนาค แปลงร่างเป็นยักษ์ดุร้ายนัยน์ตาถลน ถือกระบองทองแดงใหญ่เท่าลำตาล กวัดแกว่งเข้าประหัตประหารพญาครุฑอย่างดุดัน พระมหาเถระรีบแปลงกายเป็นยักษ์ตัวใหญ่โตขึ้นไปกว่านั้นอีกสองเท่า ใช้กระบองเข้าทุบตีเศียรพญามาร ฝ่ายพญามารสิ้นฤทธิ์หมดหนทางสู้ จึงแสดงตนให้ปรากฏและยอมแพ้ พญายักษ์ใหญ่ก็กลับร่างเป็นพระมหาเถระตามเดิม แล้วเนรมิตซากสุนัขที่มีกลิ่นเหม็นเต็มไปด้วยหมู่หนอน ให้ลอยไปคล้องพันคอพญามารอย่างรวดเร็ว และอธิษฐานจิตมั่นว่า “ไม่ว่าผู้ใด ถึงแม้เป็นเทวดา อินทร์ พรหม จงอย่าได้สามารถปลดเปลื้องสุนัขเน่านี้ออกจากคอของมารนี้ได้”

เมื่อประกาศเป็นคำขาดด้วยอำนาจอธิษฐานบารมีมั่นแล้ว ก็ขับไล่ไสส่งพญามารไม่ให้มารบกวนพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ พญาวสวัตดีมารซึ่งมีซากอสุภะสุนัขเน่าผูกอยู่ที่คอ จะปลดเปลื้องอย่างไรก็ไม่ได้ เกิดความละอายต่อเหล่าทวยเทพยิ่งนัก จึงได้เหาะไปหาท้าวมหาราชทั้ง ๔ เพื่อให้ช่วยแก้บ่วงสุนัขเน่านี้ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ อัญชลีด้วยคารวะกล่าวว่า “พวกข้าพเจ้าไม่สามารถช่วยได้หรอก” พญามารจึงเหาะไปหาพระอินทร์ ท้าวสุยามาเทวราช ท้าวสันดุสิตเทวราช ท้าวนิมมิตเทวราช และท้าวปรนิมมิตเทวราช แต่แม้จะเหาะขึ้นไปถึงพรหมโลกไปหาท้าวสหัมบดีพรหม ท่านผู้มีฤทธิ์เหล่านั้นก็ได้แต่กล่าวว่า “พระมหาเถระรูปนี้เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา มีศักดานุภาพมาก พวกเราไม่สามารถแก้พันธนาการนี้ให้ท่านได้หรอก ท่านจงกลับลงไปหาภิกษุรูปนั้นเถิด”

พญามารได้สดับเช่นนั้น รู้สึกท้อแท้สิ้นฤทธิ์ จึงคิดกลับมาหาพระเถรเจ้า และวิงวอนให้ช่วยปลดเปลื้องซากอสุภะออกจากคอ แต่พระมหาเถระได้บังคับให้ไปที่ภูผาบรรพต ท่านใช้ประคตเอวของท่านพันคอพญามารแล้วรวบมัดกับภูเขา พลางกำชับว่า “ท่านจงอยู่ที่นี่จนกว่างานฉลองพระสถูปเจดีย์จะเสร็จสิ้น” ครั้นแล้วท่านก็ปล่อยให้พญามารอยู่ตามลำพังเพียงผู้เดียวเป็นเวลานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

เมื่อพญามารถูกผูกมัดติดกับภูผาบรรพต ใจก็รันทดเศร้าสร้อยที่ต้องจากทิพยวิมานของตนมาทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อเริ่มคลายความพยศโหดร้าย จึงเริ่มหวนนึกถึงพระพุทธคุณ ด้วยการกล่าวรำพันออกมาว่า “เมื่อพระพุทธองค์ทรงสถิตเหนือรัตนบัลลังก์ภายใต้มหาโพธิบัลลังก์ ข้าพระบาทเกิดความริษยาขว้างจักราวุธอันคมกล้า สามารถตัดวชิรบรรพตให้ขาดลงได้ แต่ทรงอาศัยพระพุทธานุภาพ จักรนั้นก็กลายเป็นพวงดอกไม้บูชา อาวุธทั้งหลายที่บริวารของข้าพระบาทขว้างไป ก็กลับกลายเป็นพวงบุปผาชาติตกลงมายังพื้นพสุธา ข้าพระบาทผู้ชื่อว่ามาราธิราช ก็ถึงแก่ความพ่ายแพ้ ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ในกาลบัดนี้เถิด แต่ปางก่อน ข้าพระองค์ได้หลงผิดไปทำอันตรายพระชินสีห์ แต่พระพุทธองค์ไม่เคยทำโทษข้าพระองค์แม้เพียงน้อยนิด มาบัดนี้ สาวกของพระองค์ช่างไม่มีความกรุณาเอาเสียเลย ทรมานให้ข้าพระองค์เสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัสถึงปานนี้”

พญามารวสวัตดียิ่งคิดก็ยิ่งโศกเศร้า คิดพลางกระทืบบรรพตภูผาเสียงดังสนั่น พลางรำพันขึ้นว่า “หากข้าพเจ้า มีกุศลสมภารได้สั่งสมบุญเอาไว้ ในอนาคตกาล ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้มีมหากรุณาต่อสัตว์อันไม่มีประมาณด้วยเถิด” เมื่อพญามารเปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิเช่นนั้น พระมหาเถระซึ่งกำลังแอบฟังคำรำพึงรำพันของพญามารอยู่ ก็ปรากฏกายขึ้นทันที แล้วกล่าวว่า “ท่านจงอดโทษแก่อาตมาด้วยเถิด ประโยชน์ของท่านคือการปรารถนาพุทธภูมิ อาตมาก็ได้ให้บังเกิดขึ้นแล้ว” พญามารถามด้วยความน้อยใจว่า “พระคุณเจ้าเป็นพุทธสาวก แต่ทำไมจึงไม่มีใจกรุณาปรานี มาทำโทษข้าพเจ้าแสนสาหัสถึงปานนี้” พระเถระตอบว่า “เรากับท่านเป็นคู่ปรับกัน เพราะเราปรารถนาดีต่อท่าน เราจึงมิได้แสดงมหากรุณาต่อท่านเหมือนดังพระพุทธองค์ เราจำเป็นต้องทำโทษท่านครั้งนี้ เพื่อให้ท่านมีจิตยินดีปรารถนาพุทธภูมิ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านจงหมั่นอบรมบ่มบารมีให้แก่รอบเพื่อมุ่งโพธิญาณเถิด”

ตั้งแต่นั้นมา ท้าววสวัตดีมารก็มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ในอนาคตกาล ท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระพุทธธรรมสามี เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวในกัปนั้น มีไม้รังเป็นโพธิสถานรองรับการตรัสรู้ธรรมของพระองค์ ซึ่งในยุคสมัยนั้น ท่านจะได้สั่งสอนเวไนยสัตว์ให้บรรลุอมตธรรม

นี่เป็นเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ ซึ่งที่ผ่านมาท่านได้พลั้งพลาดไปเข้าหมู่มารที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า วิถีชีวิตเราพลิกผันกันได้ จากดีกลายเป็นร้ายได้ และจากร้ายกลายเป็นดีได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกทำอย่างไหน ดังนั้นพวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นฝ่ายพระ เป็นผู้มีเชื้อของความดีของธาตุธรรมฝ่ายขาวที่เป็นสุกกธรรม ก็ให้หมั่นสำรวมระวังจิตเอาไว้ให้ดี อย่าได้ประมาทไปหลงทางมาร ให้ใจเป็นพระ ให้คิด พูด ทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำสั่งสอนเอาไว้ และหมั่นรักษาใจให้ใสๆ ให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ แล้วเราจะดำรงอยู่บนเส้นทางพระนิพพานตลอดไป
* พระปฐมสมโพธิกถา (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโน รส)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15679
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *