เมตตาบารมี (พญาช้างฉัททันต์ ยินดีมอบงาให้พรานด้วยใจเมตตาและไม่ปรารถนาจะจองเวรกับใคร)
ความสุขและความบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกๆคน เพราะถ้ากายและใจของเราไม่มีความสุขแล้ว จะประกอบภารกิจการงานอันใด ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะแสวงหาความสุขที่แท้จริงให้กับตนเอง ร่างกายที่เราต้องใช้อยู่ทุกวัน จำเป็นที่จะต้องชำระล้างให้สะอาด จึงจะอยู่อย่างเป็นสุข และทำหน้าที่ได้เป็นปกติ จิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา ใจจึงจะเป็นสุข และสามารถคิดอ่านทำการงานต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น เราต้องหมั่นฝึกฝนใจของเราให้หยุดนิ่ง เพื่อจะได้เข้าถึงความสุขในปัจจุบัน และเพื่อเข้าถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เมตตาสูตร ความว่า
“บุคคลพึงแผ่ไมตรีจิตไปในหมู่สัตว์ว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีความสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ ยังเป็นผู้สะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคงทั้งหมด หมู่สัตว์ที่มีลำตัวยาวหรือใหญ่ ปานกลางหรือสั้น ผอมหรืออ้วนเหล่าใด ที่เราเห็นแล้วหรือมิได้เห็น อยู่ในที่ใกล้หรือไกล ที่เกิดแล้วหรือที่แสวงหาภพเกิดใหม่ ขอสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด
มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตนด้วยชีวิตฉันใด บุคคลพึงเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณในสัตว์ทั้งปวง แม้ฉันนั้น พึงเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณในโลกทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ให้เป็นผู้ไม่มีความคับแค้น ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีศัตรูต่อกัน ผู้มีเมตตา ไม่เข้าถึงสักกายทิฏฐิ เป็นผู้มีศีล ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ นำความหมกหมุ่นในกามทั้งหลายออกไปได้ ย่อมไม่เข้าถึงการนอนในครรภ์อีกต่อไป”
ความเมตตาปรารถนาดีต่อกันและกันด้วยความจริงใจ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เหล่าพุทธบริษัทเป็นผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่ให้เบียดเบียนสัตว์อื่น หรือเบียดเบียนซึ่งกันและกัน นอกจากจะไม่เบียดเบียนกันแล้ว ยังให้ประกอบด้วยมหากรุณา คือช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นภัย และให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ความเมตตาที่สั่งสมมากเข้าจะกลั่นตัวเป็นเมตตาบารมี ทำให้เป็นที่รักของมนุษย์ และเทวาทั้งหลาย
ผู้ที่เจริญเมตตาเป็นปกติทุกๆวัน จะเป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็น ใครเข้าใกล้ จะสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความเย็น เหมือนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร ผู้อื่นก็จะรู้สึกเย็นสบายตามไปด้วย จะเป็นที่รักที่พอใจของผู้คนทั้งหลาย ไม่มีศัตรูหมู่ภัยพาลมาเบียดเบียน พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทรงสอนตนเองว่า “ถ้าหากปรารถนาบรรลุพระโพธิญาณ ต้องมีใจเปี่ยมล้นด้วยเมตตา ธรรมดาน้ำย่อมแผ่ความเย็นไปให้ทั้งคนดีและคนเลวเสมอกัน ชะล้างมลทินคือธุลีออกได้ ฉันใด แม้เราก็จะเจริญเมตตาให้สม่ำเสมอไปในคนทั้งที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูล ฉันนั้น”
* ในอดีตกาล พระบรมโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พญาช้างฉัททันต์ เป็นช้างที่มีฤทธิ์มีเดช เหาะเหินเดินอากาศได้ อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ มีช้าง ๘,๐๐๐ เชือกเป็นบริวาร ลักษณะของพญาช้างฉัททันต์นี้ไม่เหมือนช้างทั่วไป คือมีสีเผือก ปากแดง เท้าแดง สูง ๘๐ ศอก ยาว ๑๒๐ ศอก มีงวงคล้ายกับพวงเงิน ยาวได้ ๕๘ ศอก งาทั้งสองวัดโดยรอบได้ ๑๕ ศอก ยาว ๓๐ ศอก มีรัศมีเปล่งออกจากกายสว่างไสว
พญาช้างมีช้างพังชื่อ มหาสุภัททา และ จุลลสุภัททา เนื่องจากนางจุลลสุภัททา เข้าใจว่าพญาช้างฉัททันต์ให้ความรักความเอ็นดูนางน้อยกว่ามหาสุภัททา จึงเกิดความอาฆาตแค้นในพระโพธิสัตว์ นางได้นำดอกบัวไปบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วอธิษฐานจิตว่า ด้วยอานิสงส์ของการบูชาด้วยดอกบัวนี้ ขอให้นางได้ไปเกิดเป็นพระธิดาของพระราชา แล้วสามารถตัดงาของพญาช้างฉัททันต์นี้ได้ด้วยเถิด
หลังจากนั้น นางก็ตรอมใจตาย แล้วได้ไปเกิดเป็นพระธิดาของพระราชาสมความปรารถนา เมื่อเติบโตก็ได้ไปเป็นพระมเหสีของ พระเจ้ากาสิกราช ซึ่งพระนางนั้นเป็นหญิงที่ระลึกชาติได้ จึงกราบทูลพระราชาว่า “อยากได้งาของพญาช้างฉัททันต์” พระราชาจึงรับสั่งให้หานายพรานป่าเข้าเฝ้า พระนางจุลลสุภัททาได้เลือกนายพรานชื่อ โสณุดร ซึ่งเคยเป็นคู่จองเวรกับพระมหาสัตว์มาก่อน แล้วบอกเส้นทางไปป่าหิมพานต์ให้นายพรานไปตัดงาของพญาช้างโพธิสัตว์
พรานโสณุดรเดินทางเข้าป่าหิมพานต์ใช้เวลาถึง ๗ ปีเต็ม จึงไปพบพญาช้างฉัททันต์ เนื่องจากพรานเคยเป็นคู่อาฆาตของพญาช้างโพธิสัตว์มาก่อน ทันทีที่เห็นพระโพธิสัตว์ก็อยากจะฆ่าให้ตาย พญาช้างได้ถามพรานว่า “ท่านมาที่นี่ประสงค์อะไร” นายพรานบอกความจริงว่า “พระนางจุลลสุภัททา พระมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช มีพระประสงค์อยากได้งาทั้งคู่ของท่าน” พระโพธิสัตว์ทรงสดับเรื่องราวทั้งหมด ก็ทราบว่านางจุลลสุภัททามีความอาฆาตพยาบาทในตน แต่ท่านไม่ประสงค์จะจองเวรด้วย จึงตั้งกัลยาณจิตทั้งต่อนายพรานโสณุดร และพระนางจุลลสุภัททา แล้วบอกนายพรานว่า “ให้ท่านเอาเลื่อยมาตัดงาของเราตามชอบใจเถิด”
นายพรานโสณุดรรีบลุกขึ้นถือเลื่อยเตรียมตัดงาทันที เนื่องจากพญาช้างสูงประมาณ ๘๐ ศอก พรานจึงเอื้อมมือไปเลื่อยไม่ถึง พระมหาสัตว์จึงย่อกายก้มศีรษะลง เพื่อให้เลื่อยได้สะดวก นายพรานเหยียบงวงขึ้นไปอยู่บนกระพอง สอดเลื่อยเข้าไปในปาก ใช้มือทั้งสองเลื่อยอย่างทะมัดทะแมง ทุกขเวทนาแสนสาหัสได้เกิดขึ้นกับพระมหาสัตว์ ปากเต็มไปด้วยโลหิต นายพรานเลื่อยอยู่นานก็ไม่สามารถตัดงาให้ขาดได้
พญาช้างโพธิสัตว์ได้บ้วนโลหิตออกจากปาก สู้อดกลั้นทุกขเวทนาไว้ แล้วบอกว่า “สหายเอ๋ย หากท่านไม่สามารถตัดงาของข้าพเจ้าให้ขาดได้ ก็ส่งเลื่อยมาเถิด ข้าพเจ้าจะช่วยทำความปรารถนาของท่านให้สำเร็จ” พระโพธิสัตว์ดำรงสติมั่นแล้ว ใช้งวงช่วยนายพรานเลื่อย จนกระทั่งตัดงาทั้งสองข้างได้สำเร็จ
พญาช้างให้นายพรานนำงามาถือไว้ แล้วกล่าวว่า “สหายเอ๋ย เราให้งาเหล่านี้แก่ท่าน ใช่ว่าเราจะไม่รักงาของเราก็หามิได้ เราทำอย่างนี้มิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะจอมเทพหรือเป็นพรหมเลย แต่เราปรารถนาสัพพัญญุตญาณซึ่งเป็นที่รักยิ่งของเรามากกว่างาคู่นี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่า ขอบุญนี้จงเป็นพลวปัจจัยแห่งการได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณเถิด” แล้วท่านถามนายพรานว่า “สหายเอ๋ย กว่าท่านจะมาถึงที่นี่ ใช้เวลานานเท่าไร” เมื่อทราบว่าใช้เวลาเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน จึงบอกนายพรานว่า “ด้วยอานุภาพแห่งงาคู่นี้ ท่านจักถึงพระนครพาราณสีภายในเจ็ดวันเท่านั้น”
พญาช้างได้ป้องกันภัยให้นายพรานเป็นอย่างดี ท่านได้ไปส่งนายพรานพร้อมทั้งตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราได้รับทุกข์ทรมานประดุจผู้ถูกลูกศรเสียบแทงแล้ว แม้จะถูกเวทนาครอบงำ ก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้ายในบุคคลอื่น มีใจประกอบด้วยความเมตตาในผู้ประทุษร้าย ด้วยความสัตย์จริงตามที่เรากล่าวนี้ ขอสัตว์ร้ายในไพรสณฑ์ อย่าได้มากล้ำกรายนายพรานผู้นี้เลย” เมื่อพญาช้างส่งนายพรานไปแล้ว ท่านก็เสียชีวิตทันที แล้วได้ไปบังเกิดบนสวรรค์
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของความเป็นผู้ไม่ผูกพยาบาทจองเวรใคร อีกทั้งมีใจประกอบด้วยมหากรุณาของพระโพธิสัตว์ พวกเราทุกคนคงเข้าใจแล้วว่า กว่าใครจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น ต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต เพื่อสั่งสมบุญบารมีให้แก่รอบ และต้องมีใจประกอบด้วยความเมตตาในสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า โดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง มีจิตเสมอในสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้บุคคลนั้นจะไม่ปรารถนาดีด้วยก็ตาม
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจะได้นำปฏิปทาของพระพุทธองค์ไปประพฤติปฏิบัติตาม ฝึกฝนอบรมตนให้เป็นผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตา เพื่อเมตตาบารมีของเราจะได้แก่กล้ายิ่งๆ ขึ้นไป แม้พวกเราสร้างบารมีไม่ต้องถึงกับเอาชีวิตเข้าแลกอย่างนั้น แต่ต้องฝึกให้มีความเมตตาเป็นพื้นฐานไว้มากๆ จะได้เกื้อกูลต่อบารมีอื่นๆ ที่จะตามมาเสริมบารมีให้แก่รอบยิ่งๆ ขึ้นไป
ความรัก และความเมตตาปรารถนาดีจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ต้องเป็นสิ่งที่ออกมาจากจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ออกมาจากต้นแหล่งแห่งความปรารถนาดีที่แท้จริงเท่านั้น คือเริ่มจากใจที่หยุดนิ่ง ได้เข้าถึงความสุขภายใน ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ต่อเมื่อเราได้เข้าถึงต้นแหล่งแห่งความสุข และความบริสุทธิ์ภายในได้มากเข้า กระแสแห่งความเมตตาปรารถนาดีก็จะแผ่ขยายออกไป กว้างขวางยิ่งขึ้นเป็นอัปปมัญญา คือไม่มีประมาณนั่นเอง
เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญเมตตาบารมีให้ได้ดีที่สุด จะต้องน้อมนำใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายในตัวของเรา หยุดเข้าไปในแหล่งแห่งความปรารถนาดี จนกระทั่งเกิดเป็นเมตตาบารมีที่ก่อเกิดเป็นความรักและปราคถนาดีอย่างแท้จริง ให้ทุกท่านหมั่นฝึกฝนใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอทุกๆวัน จนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายภายในกันทุกๆ คน
* มก. เล่ม ๖๑ หน้า ๓๗๐
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16478
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน