โอวาทที่เหมาะสม (ดาบสถวายโอวาทพระราชาแล้วได้รับพระราชทานหมู่บ้านชั้นดี แต่ให้โอวาทไม่ถูกกาลกับคนพาลคือนายแจวเรือจ้าง)
การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เป็นเรื่องราวที่มนุษย์ยังคงสงสัยและค้างคาอยู่ในใจว่า มนุษย์เกิดมาจากไหน มาทำไม ตายแล้วจะไปไหน และเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคืออะไร เป็นคำถามที่อยู่ในใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายมายาวนาน ยังไม่มีใครรู้ชัดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน หากไม่มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว โอกาสที่จะได้แสวงหาแสงสว่างแห่งความหลุดพ้นจากวังวนแห่งอวิชชานี้ก็ยิ่งยาก เมื่อความไม่รู้มาครอบงำ การเวียนว่ายตายเกิดของเราในสังสารวัฏ ก็ยิ่งไม่ปลอดภัยจากอบายภูมิ การแสวงหาความหลุดพ้น และค้นหาเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดมานั้น เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเราจะต้องตระหนักในความเป็นมนุษย์ และเมื่อได้มีโอกาสมาพบพระพุทธศาสนา อีกทั้งเป็นสัมมาทิฏฐิ จึงจำเป็นต้องหมั่นแสวงหาความบริสุทธิ์ให้กับตนเองทุกๆ วัน ด้วยการทำใจหยุดใจนิ่ง ตัวของเราจะได้เข้าใกล้สิ่งที่ประเสริฐสุด คือพระรัตนตรัย เพราะพระรัตนตรัยนี้ จะนำพาเราทั้งหลายให้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต ได้รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่ง ตรงไปตามความเป็นจริงทุกประการ
มีธรรมภาษิตที่ปรากฏใน สมันตปาสาทิกา ว่า
“พระตถาคตทรงรู้วาจาใด จริง แท้ เป็นประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของชนเหล่าอื่น ในวาจานั้น พระตถาคต ก็ทรงเป็นผู้รู้จักกาล เพื่อพยากรณ์วาจานั้น พระตถาคตทรงรู้วาจาใด จริง แท้ เป็นประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รักที่ชอบใจของชนเหล่าอื่น ในวาจานั้น พระตถาคตก็เป็นผู้รู้จักกาล เพื่อพยากรณ์วาจานั้น”
การอยู่ร่วมกันในสังคมโลกจำเป็นต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ในยุคที่เต็มไปด้วยการสื่อสารทุกชนิด วาจาเป็นสื่อที่ใช้มากที่สุดก็ว่าได้ การพูดเป็นสิ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อนมาก แม้บางครั้งเรามีความปรารถนาดีอย่างเต็มเปี่ยม แต่ไม่ได้หมายความว่า การพูดของเราจะนำมาซึ่งความสำเร็จ องค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุด คือต้องรู้จักกาล และบุคคล ที่เราจะพูดคุยด้วยว่า ในเวลานั้นหรือในสถานการณ์ หรือกับบุคคลนั้นๆ เราควรพูดอย่างไร ในขณะเดียวกัน แม้เป็นสถานการณ์เดียวกันกับที่เราเคยพูดสำเร็จในครั้งก่อน แต่ครั้งนี้อาจล้มเหลวได้ เพราะมีปัจจัยเรื่องเวลาความเหมาะสมมาเกี่ยวข้องด้วย
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องดูกาลก่อน และดูบุคคลในเวลาที่จะตรัสหรือแสดงธรรมอะไร พระองค์เองยังต้องตรวจดูสัตว์โลก และโอกาสที่จะแสดงธรรม เราเองก็ควรอย่างยิ่งที่ต้องประพฤติตามสมเด็จพระบรมครูของเรา ที่พระองค์ตรัสให้ตระหนักถึงความเป็นผู้รู้จักกาล
หากเราพูดออกไปไม่ถูกกาล ไม่ถูกบุคคล ก็จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ถึงแม้ว่าตัวของเราเองจะไม่คิดอะไร แต่คนที่ฟังเขาคิด เพราะธรรมชาติของคนนี่คิดอยู่แล้ว จะแตกต่างกันก็ตรงที่คิดน้อย คิดปานกลางหรือว่าคิดมาก บางคนคิดมากจนกระทั่งกินไม่ได้นอนไม่หลับก็มี
ดังนั้น ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป เราต้องกลั่นกรองให้ดี และต้องตระหนักว่า ความสำคัญของคำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ จะเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดีก็ได้ แม้ในที่สุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อเปลี่ยนปุถุชนให้เป็นพระอริยเจ้า ก็ทรงใช้คำพูดเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นพระพุทธองค์ก็ยังทรงดูกาล และบุคคล
* มีตัวอย่างเกี่ยวกับคำพูดที่ไม่รู้จักกาลมาแล้ว และเป็นอุทาหรณ์สอนใจเราได้เป็นอย่างดี คือ ครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึง ติตถนาวิก คนแจวเรือคนหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า คนแจวเรือนั้น เป็นผู้ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร เช่น คุณของพระรัตนตรัยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น ก็ไม่ได้สนใจ เพราะอุปนิสัยเป็นผู้ที่หุนหันพลันแล่น ไม่สุขุมรอบคอบ
วันหนึ่ง ภิกษุชาวชนบทรูปหนึ่ง ได้เดินทางมาจากอารามที่จำพรรษาอยู่ ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ตั้งใจที่จะไปถวายการอุปัฏฐากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินทางมาถึงท่าน้ำอจิรวดี จึงได้พูดกับนายติตถนาวิกคนแจวเรือว่า “อุบาสก อาตมากำลังข้ามฝั่งไปปฏิบัติสมณกิจ ขอคุณโยมจงแจวเรือไปส่งอาตมาด้วยเถิด” นายแจวเรือ กลับตอบว่า “ตอนนี้ มันนอกเวลาแล้ว ขอให้ท่านพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งก่อนเถิด แล้ววันรุ่งขึ้นผมจะไปส่งเอง” แต่เนื่องจากพระภิกษุต้องรีบเดินทางไปอุปัฏฐากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงแสดงจิตจำนงที่จะข้ามฟากในวันนั้น เมื่อพระภิกษุพูดรบเร้าบ่อยๆ เขาจึงรู้สึกโกรธ และพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “มานี่สมณะ เราจะนำไปส่งเอง” แล้วก็ให้พระเถระลงเรือ แต่เขาไม่ได้พายเรือไปส่งข้ามฝั่ง กลับทำให้เรือโคลงจนบาตร และจีวรของท่านเปียกน้ำไปหมด กว่าจะขึ้นฝั่งได้ก็ทุลักทุเล และล่วงเลยเวลาจนกระทั่งมืดค่ำ ทำให้ไม่ได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าในวันนั้น ครั้นรุ่งขึ้นจึงได้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสถามว่า “เธอมาถึงเมื่อไรภิกษุ” ครั้นรู้เรื่องราวทั้งหมดที่ภิกษุกราบทูล พระองค์จึงตรัสว่า “ภิกษุ นายแจวเรือนั้น อุปนิสัยไม่ใช่เป็นอย่างนี้ในภพชาตินี้เท่านั้น แม้ภพในอดีตก็มีอุปนิสัยอย่างนี้เช่นกัน และไม่ใช่ทำให้เธอลำบากเท่านั้น แม้ชาติในอดีต ก็เคยทำให้บัณฑิตเดือดร้อนมาแล้วเช่นกัน” เมื่อถูกภิกษุทูลอ้อนวอนให้ตรัสเล่าเรื่องในอดีต พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าว่า
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์อุบัติขึ้นในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยก็ได้ศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่างจนจบศาสตร์ทางโลก เห็นว่าเรื่องราวทั้งหลายในโลกนั้น ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ หรือเป็นสาระแก่นสารที่แท้จริง จึงได้ตัดสินใจออกบวชเป็นฤๅษี แสวงหาความสุขสงบ อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ หลังจากอาศัยอยู่ในป่ามายาวนาน ท่านอยากจะออกมาเสพรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม จึงเดินทางออกมาจากป่า พักอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี
พระราชาเดินทางมาประพาสอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นข้อวัตรปฏิบัติ ทรงเลื่อมใสในตัวของท่านฤๅษีมาก ทรงรับเป็นโยมอุปัฏฐาก และได้เสด็จไปที่บำรุงวันละ ๑ ครั้ง ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ทูลให้โอวาทพระราชาทุกๆ วันว่า “ขอถวายพระพรมหาราช ธรรมดาแล้ว พระราชาไม่ควรลุอำนาจอคติ ๔ ประการ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท สมบูรณ์ด้วยพระขันติ พระเมตตา และพระกรุณา ครองราชสมบัติโดยธรรม” และได้กล่าวอีกว่า “มหาบพิตร ขอพระองค์อย่าทรงพิโรธเลย พระราชาผู้ที่ไม่พิโรธตอบผู้ที่โกรธแล้ว ประชาชนของรัฐ และเหล่าราษฎรก็จะบูชา อาตมภาพขอถวายอนุศาสน์ในทุกสถานที่ ทั้งในบ้าน ในป่า หรือที่ลุ่มๆ ดอนๆ ขอพระองค์อย่าทรงพิโรธเลย”
พระราชาทรงเป็นบัณฑิต ได้ทรงสดับดังนั้น เกิดพระทัยเลื่อมใส จึงประทานบ้านส่วยตำบลหนึ่ง ซึ่งเก็บส่วยได้ ๑ แสนกหาปณะ เป็นการบูชาธรรมพระโพธิสัตว์ แต่ท่านไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรับ จึงปฏิเสธ และอาศัยอยู่ที่นั้นถึง ๑๒ ปี
วันหนึ่ง ท่านดาบสอยากเดินทางจาริกไปอยู่ที่อื่นบ้าง จึงเดินทางกลับที่เดิม โดยไม่ได้ทูลลาพระราชา เพียงแต่สั่งความไว้กับคนเฝ้าสวนว่า ขอให้ทูลพระราชาแทน แล้วเดินหลีกไปจนถึงท่าเรือที่แม่น้ำคงคา ซึ่งมีนายแจวเรือคนหนึ่งเป็นคนพาล ไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ พระโพธิสัตว์ได้เข้าไปหานายแจวเรือนั้น พลางขอร้องว่า “ขอท่านจงพาอาตมาข้ามฟากไปฝั่งโน้นด้วยเถิด” ด้วยความที่เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับบุญกุศล นายแจวเรือจึงถามว่า “แล้วท่านจะให้ค่าจ้างกระผมเท่าไรล่ะ”
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “โยม อาตมาจะบอกความเจริญแห่งโภคทรัพย์ ความเจริญแห่งอรรถและธรรมให้” นายพายเรือจ้างพอฟังดังนั้น ก็คิดว่า ดาบสนี้คงจะให้บางอย่างกับเราแน่ จึงนำดาบสข้ามฝั่งไป พอข้ามฟากได้แล้วจึงทวงถามค่าจ้างว่า ท่านจงให้ค่าจ้างเรือแก่กระผมเถิด พระโพธิสัตว์จึงบอกเหตุแห่งความเจริญโภคะกับเขาก่อนว่า เวลาที่โยมรับจ้างแจวเรือก็จงขอค่าจ้างกับเขาก่อน เพราะว่าจิตใจของคนที่ยังไม่ข้ามฝั่งกับที่ข้ามแล้วนั้น ย่อมแตกต่างกัน แล้วบอกต่อไปว่า “อาตมาจะบอกเหตุแห่งความเจริญด้วยอรรถและธรรมแก่โยม แล้วกล่าวคาถาว่า อาตมาจะสั่งสอนโยมทุกหนทุกแห่ง ทั้งในบ้าน และในป่า ขอโยมจงอย่าโกรธนะ”
นายแจวเรือนั้นเป็นคนมักโกรธ ไม่รับฟังเหตุผลอยู่แล้ว ครั้นได้ฟังดังนั้น ก็ถามว่า “นี่หรือค่าจ้างที่ท่านบอกว่าจะให้ เราไม่เห็นได้ประโยชน์ตรงไหนเลย” ด้วยความโกรธจึงผลักดาบสล้มลง แล้วก็นั่งทับอกเอามือตบหน้าท่าน ในขณะที่กำลังทำร้ายดาบสด้วยความโกรธนั้น ภรรยาผ่านมาเห็นจึงห้ามปราม ก็ถูกนายแจวเรือทำร้ายอีก พวกชาวบ้านห็นจึงพากันจับตัวถวายพระราชาเพื่อลงโทษต่อไป
พระศาสดาตรัสสรุปว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดาบสนั้นได้ถวายโอวาทพระราชาแล้วได้รับพระราชทานหมู่บ้านชั้นดี แต่ให้โอวาทไม่ถูกกาลกับคนพาล คือนายแจวเรือจ้าง จึงต้องประสบกับเคราะห์กรรม เพราะฉะนั้น ผู้จะให้โอวาทควรให้กับบุคคลที่เหมาะสมเท่านั้น”
เราจะเห็นว่า แม้บัณฑิตในกาลก่อนยังเคยพลาดพลั้ง เพราะกล่าวโอวาทที่ไม่เหมาะกับเวลาและบุคคล โอวาทที่เหมาะสมที่สมควรนั้น ต้องก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง พระองค์เองทรงเป็นผู้ที่เปิดเผย ไม่ปกปิดความผิดพลาดในกาลก่อน ยังนำมาตรัสแสดงเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับพุทธสาวก เพื่อเป็นแบบอย่างในการที่จะให้โอวาทที่เหมาะสมกับบุคคลที่เหมาะสม ถูกที่ ถูกกาลเทศะ และถูกบุคคลจึงจะเกิดผลที่ดีงาม ดังนั้น ก่อนที่พวกเราจะพูดจาอะไรกับใคร ก็ดูให้พอเหมาะพอดี จะได้เกิดประโยชน์เกิดผลดีกับทุกๆ ฝ่าย
* มก. เล่ม ๕๙ หน้า ๑
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16511
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน