อานุภาพเนรุบรรพต (หงส์โพธิสัตว์ละทิ้งเนรุบรรพต เพราะแม้จะมีค่ามากสักปานใด ก็ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่อันเหมาะสม)

อานุภาพเนรุบรรพต (หงส์โพธิสัตว์ละทิ้งเนรุบรรพต เพราะแม้จะมีค่ามากสักปานใด ก็ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่อันเหมาะสม)

เวลาในโลกมนุษย์เพียงวันละ ๒๔ ชั่วโมงนั้น เป็นเวลาที่น้อยมาก ยิ่งวันเวลาผ่านพ้นไป สังขารร่างกายของเราก็ยิ่งเสื่อมไปตามลำดับ เหมือนพระอาทิตย์ที่เดินทางมาจนเริ่มบ่ายคล้อยทุกขณะ และเหลือเวลาอีกไม่นาน ก็ต้องอัสดง นี่คือความเป็นจริงของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมราชา หรือยาจกเข็ญใจ ต่างต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ทุกคน ขอให้ทุกคนตระหนักว่า ในขณะที่สังขารร่างกายกำลังเดินทางไปสู่ความเสื่อมสลายทุกลมหายใจควรต้องเป็นไปเพื่อการสร้างบารมีเท่านั้น เราต้องบำเพ็ญทั้งทาน ศีล และภาวนาไม่ให้ขาดแม้แต่วันเดียว โดยเฉพาะการทำใจให้หยุดนิ่งนี้เป็นวัตถุประสงค์หลักของการเกิดมาของมนุษย์ทุกๆ คน

มีวาระพระบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มงคลสูตร ความว่า

“ปฏิรูปเทสวาโส เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

การอยู่ในประเทศที่เหมาะสม เป็นมงคลอันสูงสุด”

ถิ่นที่อยู่อันเหมาะสมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สภาพแวดล้อมที่ดีนั้น ย่อมมีผลต่อทุกคน โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวจะมีผลต่อการดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ และอุปนิสัยใจคออย่างมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงนำเรื่องราวในอดีตมาตรัสเล่าว่า แม้รุกขชาติที่ปราศจากความรู้สึก ไม่มีวิญญาณ มีเพียงการเจริญเติบโตตามสภาพของมันเท่านั้น แต่หากอาศัยอยู่ใกล้สิ่งใด ก็มักจะเป็นเหมือนสิ่งนั้นด้วย ต้นมะม่วงที่เคยหอมหวานอร่อย อยู่ใกล้ต้นสะเดา ถูกกิ่งและรากเกี่ยวพัน ยังทำให้กลายเป็นมะม่วงที่มีรสขมเหมือนสะเดาได้ จะกล่าวไปไยกับหมู่มนุษย์ที่ยังไม่หมดอาสวกิเลส ถูกอวิชชาปิดบัง จะไม่ถูกสภาพถิ่นที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้

ในยุคปัจจุบัน ถิ่นที่เหมาะสมในการสร้างบารมี และสร้างคนให้เป็นคนดีนั้น นับวันยิ่งลดน้อยลงไปทุกขณะ ส่วนใหญ่มักพบกับสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างบารมี ทำให้สังคมของเราต้องประสบกับปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดเป็นต้น โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ก็คือ ศีลธรรมในดวงใจของมนุษย์ เริ่มลดลงอย่างน่าใจหาย แม้จะยังไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เร็วเท่าที่ใจปรารถนา แต่เราสามารถสร้างสังคมใหม่ให้บังเกิดขึ้น เป็นสังคมในอุดมคติ และเป็นแบบอย่างของชาวโลกได้ นั่นคือ สังคมที่รักการประพฤติปฏิบัติธรรมนั่นเอง

ปฏิรูปเทส ถิ่นที่เหมาะสมในการใช้ชีวิตนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูของเรา ได้ตรัสไว้ว่า ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ คือ อาวาสหรือที่อยู่อาศัยนั้น ต้องเป็นที่สบาย สะดวกทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ เครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง อันจะก่อให้เกิดความสบายใจแก่ผู้อยู่อาศัย และแม้มีที่อยู่อาศัยสบายก็ใช่จะเรียกว่าปฏิรูปเทส อาหารการกินก็ต้องสะดวกสบาย ทุกอย่างเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลต้องเป็นที่สบาย ด้วย ในสภาพที่จะต้องอยู่ร่วมกัน หากผู้ที่อยู่ร่วมกันไม่มีศีลมีธรรม การอยู่ด้วยกันนั้น ย่อมไม่ได้รับความสุขใจเท่าที่ควร พระพุทธองค์จึงตรัสให้ความสำคัญกับบุคคลว่า ต้องมีศีล และทิฏฐิเสมอกัน ประการสุดท้าย ธรรมะต้องเป็นที่สบาย สถานที่นั้นต้องเอื้ออำนวยในการทำให้เราได้มีโอกาสศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมได้อย่างสะดวก เมื่อมีโอกาสได้ลิ้มรสแห่งธรรมแล้ว ชีวิตที่เกิดมาจึงจะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ถิ่นที่เหมาะสมที่กล่าวมานี้ เป็นปฏิรูปเทสที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้นั่นเอง

เหล่าบัณฑิตนักปราชญ์ล้วนแสวงหาปฏิรูปเทสเช่นนี้ หากสถานที่ใด ไม่ใช่ปฏิรูปเทสแล้ว แม้จะมีค่ามากมายมหาศาลสักปานใดก็ตาม ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้มีปัญญาทั้งหลาย เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าโดยปรารภถึงถิ่นที่พระภิกษุรูปหนึ่งได้ไปพบมา เรื่องมีอยู่ว่า

* ภิกษุรูปนั้นเรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระบรมศาสดาแล้ว ได้ไปแสวงหาที่ปฏิบัติธรรม ท่านเดินทางไปจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อชาวบ้านเห็นอิริยาบถของท่านก็เลื่อมใส ต่างพากันอาราธนาให้ท่านอยู่ประพฤติปฏิบัติธรรมที่หมู่บ้านนั้น ลงทุนสร้างบรรณศาลา และถวายสักการะแด่ท่านมากมาย ต่อเมื่อมีกลุ่มอื่นที่เป็นพวกสัสสตวาทะมา ชาวบ้านได้ฟังคำสอนพวกนั้น ต่างพากันทิ้งคำสอนเดิมจนหมดสิ้น

ครั้นมีอีกกลุ่มเข้ามาซึ่งมีคำสอนแตกต่างกัน ก็จะพากันทิ้งความเชื่อเดิม แล้วหันมานับถือกลุ่มใหม่อีก เมื่อกลุ่มของชีเปลือยเข้ามา ก็ทิ้งกลุ่มเดิมไปนับถือชีเปลือยอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ทำให้ภิกษุรูปนั้นอยู่อย่างลำบากใจ ปฏิบัติธรรมได้ไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน ครั้นออกพรรษาท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดพระเชตวัน กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแด่พระบรมศาสดาทราบว่า “ข้าพระพุทธเจ้าอยู่อย่างเป็นทุกข์ในสำนักของบุคคลที่ไม่รู้สิ่งที่เป็นคุณ และไม่ใช่คุณ” พระพุทธองค์สดับเช่นนั้น จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในสมัยก่อน แม้เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน แม้เพียงวันเดียวก็ยังไม่ยอมอยู่ในถิ่นที่ไม่รู้สิ่งที่เป็นคุณ เป็นโทษ” จากนั้นทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์อุบัติในกำเนิดหงส์ทอง อยู่รวมกันเป็นครอบครัวที่เขาจิตกูฏ โดยอาศัยจิกกินข้าวสาลีที่เกิดเองในป่าหิมพานต์ พระโพธิสัตว์เป็นผู้นำมีคุณธรรม มีปัญญา เอาใจใส่ดูแลครอบครัวอย่างมีความสุขกันทุกๆ ตัว แม้น้องสุดท้องของพระโพธิสัตว์แม้จะยังเล็ก ไม่ค่อยรู้เรื่องราวในชีวิต แต่ยังจัดได้ว่า เป็นสัตว์ที่ทรงภูมิปัญญาทีเดียว ทุกท่านคงได้ข้อคิดว่า ครอบครัวที่มีบุญบารมี แม้จะพลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานบ้าง แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีความสุขตามอัตภาพนั้นๆ ผู้มีบุญมีคุณธรรมอยู่ที่ใด ที่ตรงนั้นย่อมมีแต่ความสุข เหล่าญาติพี่น้องบริวารก็พลอยมีความสุขไปด้วย

วันหนึ่ง ฝูงหงส์พากันไปหากินในป่าหิมพานต์นั้น แล้วบินกลับมายังภูเขาจิตกูฏเช่นทุกวันที่ผ่านมา แต่ในระหว่างทางวันนั้นเอง ฝูงหงส์ได้เห็นภูเขาทองลูกหนึ่ง เป็นภูเขาทองคำทั้งลูก มีรัศมีเปล่งปลั่งแผ่ซ่านออกมาสวยงามมาก มีชื่อว่า เนรุบรรพต จึงพากันบินไปเกาะอยู่บนยอดภูเขานั้น เหล่าสัตว์ที่อยู่ในที่นั้นมีหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นนก กระต่าย หรือสัตว์ ๔ เท้านานาชนิด ต่างอาศัยอยู่ในนั้น ทันทีที่เข้ามาสู่อาณาบริเวณของภูเขาทองนั้น สรรพสัตว์ทุกตัวจะกลายเป็นสีทองทั้งหมด เพราะอานุภาพแห่งแสงสีทองของภูเขานั้น

น้องสุดท้องของพระโพธิสัตว์ไม่รู้สาเหตุที่ตนเองและเหล่าสัตว์ทั้งหลายกลายเป็นสีทอง เกิดความสงสัยขึ้นในใจ จึงเอ่ยถามพี่ชายว่า “ฝูงกาก็ดี แม้แต่พวกเราที่เป็นสุวรรณหงส์ที่ประเสริฐกว่านกทั้งหลายก็ดี ทั้งสิงโต ทั้งเสือ นก หมาไนต่างก็เป็นสีทองเหมือนกัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” พระโพธิสัตว์ตอบว่า “ผู้คนทั้งหลายเขาเรียกภูเขานี้ว่า เนรุ เป็นภูเขาที่เลิศกว่าภูเขาทั้งหลายในโลกนี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เข้ามาในภูเขานี้จะมีสีสวยหมด” น้องชายได้ฟังดังนั้นแล้ว ด้วยความที่เป็นผู้มีปัญญา เป็นบัณฑิต รู้จักคิดหาเหตุผลด้วยความรู้ของตนว่า แม้ภายนอกทุกตัวจะมีสีสวยงามเหมือนกันหมด แต่เมื่อคุณธรรมภายในมีไม่เสมอกัน สถานที่นี้แม้จะมีค่ามากสักปานใดก็ตาม ก็ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่อันเหมาะสม จึงได้กล่าวขึ้นว่า

“ณ ที่แห่งใดมีแต่ความไม่นับถือ ดูหมิ่นสัตบุรุษ หรือมีการนับถือคนเลว คนดีไม่ควรอยู่ แต่ในที่ใด เขาบูชาคนขยัน คนกล้าหาญ และคนดี สัตบุรุษทั้งหลายจะไปอยู่ในที่นั้น ไม่เป็นเรื่องแปลก เขาเนรุนี้ จะไม่คบคนเลว คนชั้นสูง และคนขนาดกลาง เขาเนรุทำสัตว์ให้เหมือนกันแต่เพียงภายนอกเท่านั้น เอาเถิด พวกเราจะละทิ้งเขาเนรุนั้นเสีย แม้อยู่ในที่นี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด” จากนั้นฝูงหงส์ต่างลงจากเนรุบรรพตนั้น มุ่งตรงไปยังภูเขาจิตกูฎซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่อย่างมีความสุข เพราะทุกตัวล้วนมีศีล มีปัญญาที่หาได้ยาก

ครั้นพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า หงส์ตัวน้องสุดท้องซึ่งเป็นตัวที่ทรงปัญญานั้น ได้กลับมาเกิดเป็นพระอานนท์เถระพุทธอุปัฏฐากผู้เป็นเอตทัคคะ คือ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในการอุปัฏฐากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านยังเป็นพหูสูตทรงจำคำสอนของพระพุทธองค์ได้มากที่สุด ส่วนสุวรรณหงส์ตัวพี่นั้น ได้มาเกิดเป็นพระพุทธองค์เอง

เราจะเห็นว่า แม้ถิ่นที่อยู่อาศัยจะมีราคามากมายมหาศาล ใช่ว่าจะเป็นที่ต้องการของผู้มีปัญญา หากสถานที่แห่งนั้นไม่เป็นปฏิรูปเทสที่เอื้ออำนวยต่อการทำความดี นี้คือความสำคัญของการอยู่ในที่ที่เหมาะสม หากเราได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมทุกประการแล้ว การใช้ชีวิตและการสร้างบารมีของเราย่อมดำเนินไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ขอให้ทุกคนมาช่วยกันสร้างถิ่นที่เหมาะในการทำความดี ให้บังเกิดแก่สังคมโลกให้มากที่สุด โลกเราจะได้เข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพที่แท้จริง

* มก. เล่ม ๕๙ หน้า ๔๖

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16529
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *