หนวดเต่า เขากระต่าย (มหาธนเศรษฐีถูกหญิงงามเมืองปฎิเสธ เกิดความสลดใจ ได้สติ เบื่อหน่ายในเพศฆราวาส)
มีคำกล่าวที่ว่า ชีวิต คือการต่อสู้ แต่การต่อสู้ที่เข้าใจนั้น ยังเป็นความเข้าใจในระดับพื้นฐาน เช่นต่อสู้กันในเชิงธุรกิจ ในเรื่องการทำมาหากิน ต้องแก่งแย่งกัน ชิงดีกัน มีทั้งคู่แข่ง และคู่แค้น ต้องกระทบกระทั่งเบียดเบียนกัน บางครั้งต้องลงมือประทุษร้ายกัน เพราะขาดความอดกลั้น ความยับยั้งชั่งใจ ยามใดที่เราต้องเผชิญกับผู้ไม่ประสงค์ดี เผชิญกับการดูถูกดูหมิ่น ขอให้เราใช้สติปัญญาพิจารณา อย่าหุนหันพลันแล่น อย่าเสียเวลาและความดี ไปราวีกับคนพาล ต้องรู้จักอดทน อดกลั้น ยับยั้งใจตนเองไว้ให้ดี เพราะเราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปต่อสู้หรือเอาชนะใคร เพราะชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนืออื่นใด คือการชนะใจตนเอง เมื่อเราชนะใจของเราแล้ว ชีวิตก็จะมีความสุข ความสมหวัง
ดังนั้นการต่อสู้ที่แท้จริง คือต่อสู้กับกิเลสในใจของเรา ด้วยการฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง เราจะได้ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดิน ด้วยการให้อภัยทาน และเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปันความสุข ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
มีวาระพระบาลีที่ พระเชนตเถระ ได้ภาษิตไว้ว่า
“ทุปฺปพฺพชฺชํ เว ทุรธิวาสา เคหา
ธมฺโม คมฺภีโร ทุรธิคมา โภคา
กิจฺฉา วุตฺติ โน อิตรีตเรเนว
ยุตฺตํ จินฺเตตุ ํ สตตมนิจฺจตํ
การบรรพชากระทำได้ยากแท้ การอยู่ครองเรือนเป็นเรื่องยาก ธรรมะเป็นของลึก การหาทรัพย์เป็นของยาก การเลี้ยงชีพของเราด้วยปัจจัย ๔ ตามมีตามได้ เป็นการยาก ผู้มีปัญญาควรคิดถึงอนิจจตาอยู่เนืองๆ ”
การบรรพชา คือการละเว้นจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะการสละโภคสมบัติ และหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย แล้วออกบวชถวายชีวิต ในพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นสิ่งที่กระทำได้โดยยาก ต้องสั่งสมบุญบารมีมามากจึงจะทำอย่างนี้ได้ แม้การอยู่ครองเรือน ชื่อว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะต้องรับผิดชอบมากมาย ต้องทำทั้งกิจการงานของตนเอง ของญาติพี่น้อง มิตรสหาย ตลอดจนผู้ปกครอง ผู้บังคับบัญชา จนกระทั่งถึงบริวาร ดังนั้นผู้อยู่ครองเรือนจึงรับภาระหลายด้าน ปัญหาต่างๆ ก็ตามมา ต้องคอยแก้ไขกันอยู่เรื่อยๆ ทำให้กลุ้มใจไม่สบายใจ ชีวิตอึดอัดคับแคบ แต่ก็ต้องทนกันไป เพราะการดำรงชีวิตอยู่ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย ลำบากทีเดียว และยากที่จะอยู่ครองเรือนแล้วทำชีวิตให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้
ที่ว่าธรรมะเป็นของลึกซึ้งนั้น เพราะว่ามรรคผลนิพพาน ที่ผู้บวชแล้วจะพึงบรรลุ เป็นของลึกซึ้ง คือรู้เห็นได้ยาก ต้องมีรู้มีญาณที่บริสุทธิ์ ละเอียด ลึกซึ้ง จึงจะรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดได้ ส่วนโภคสมบัติทั้งหลายเป็นสิ่งที่แสวงหาได้โดยยาก ผู้อยู่ครองเรือนเมื่อเว้นจากโภคสมบัติแล้ว ไม่สามารถจะอยู่ครองเรือนได้
การเลี้ยงชีวิตของนักบวชก็ยากลำบาก เพราะต้องยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยปัจจัยตามมีตามได้ในเรือนของฆราวาสผู้แสวงบุญ เพราะถ้าหากผู้สนับสนุนเหล่านั้นอยู่กันอย่างลำบาก รวมทั้งโภคะทั้งหลายก็หาได้ยาก เมื่อเป็นดังนั้นจึงเป็นการลำบากอีกสำหรับชีวิตนักบวช ที่ต้องแสวงหาปัจจัย ๔ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาพึงพิจารณา ถึงความเป็นของไม่เที่ยงอยู่เป็นนิตย์ของสรรพสิ่งทั้งหลาย เมื่อทำอย่างนี้ได้ ก็จะเกิดความเบากายเบาใจ ละความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง จิตจะน้อมไปในการชำระกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นโดยส่วนเดียว ไม่คิดที่จะไปอยู่ครองเรือนให้เกิดทุกข์อีก คิดแต่จะหาหนทางพ้นทุกข์อย่างเดียว แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ชีวิตอาจพลาดพลั้งได้ เหมือนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
* เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงรู้ว่ามีภิกษุรูปหนึ่งอยากลาสิกขา จึงตรัสถามภิกษุนั้น เมื่อรู้ว่าเธอจะลาสิกขา เพราะเหตุผู้หญิง จึงตรัสเล่าเรื่องในอดีตว่า ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า พรหมทัตกุมาร และบุตรของเศรษฐีพระนครพาราณสี มีชื่อว่า มหาธนกุมาร กุมารทั้งสองเป็นสหายกันมาตั้งแต่เล็ก ได้เรียนศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกัน ต่อมาพรหมทัตกุมารได้ครองราชสมบัติ บุตรเศรษฐีก็ได้อยู่ในราชสำนักนั้น ในพระนครพาราณสีมีนางวรรณทาสีคนหนึ่ง เป็นหญิงงามเมือง มีรูปร่างงดงาม บุตรเศรษฐีได้ให้ทรัพย์วันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ เพื่ออภิรมย์อยู่กับนาง แม้ได้ตำแหน่งเศรษฐีแล้วก็ยังให้อยู่เช่นเดิม
ท่านเศรษฐีต้องเข้าเฝ้าพระราชาวันละ ๓ ครั้ง วันหนึ่ง เมื่อเศรษฐีเข้าเฝ้าพระราชาในเวลาเย็น ได้ปราศรัยอยู่กับพระราชาจนพลบค่ำ จึงออกจากราชสำนัก คิดว่า เวลานี้ถ้าเราจะไปบ้านก่อน แล้วมาหาหญิงงามเมืองก็จะไม่สะดวก เราควรไปบ้านของนางก่อน แล้วให้คนรับใช้กลับไปที่บ้าน ส่วนตนไปบ้านหญิงงามเมือง แต่เนื่องจากไม่ได้นำทรัพย์ไปด้วย หญิงงามเมืองคิดว่า ถ้าวันนี้เราให้โอกาส แม้วันอื่นๆ ก็จะมามือเปล่าอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเสื่อมจากทรัพย์ คิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวกับเศรษฐีว่า “พวกเราเป็นวรรณทาสี ซึ่งจะให้เย้าหยอกเล่นเปล่าๆ นั้นไม่ได้ ท่านจงนำทรัพย์ ๑,๐๐๐ มาก่อน” เศรษฐีได้ขอร้องว่า “พรุ่งนี้เราจักนำมาให้ ๒ เท่าเลย” แต่นางไม่ยอมแล้วยังให้พวกทาสีขับไล่ออกไป พวกคนรับใช้ลากคอเศรษฐีออกไปแล้ว ก็ปิดประตูไม่ให้เข้ามา
เศรษฐีเกิดความสลดใจคิดว่า เราได้ให้ทรัพย์แก่หญิงนี้ถึง ๘๐ โกฏิ แต่พอนางเห็นเรามามือเปล่าเพียงวันเดียว ก็ให้คนลากคอเราออกมา โอ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามช่างไม่น่ายินดีเลย คิดดังนี้ก็เกิดความเบื่อหน่าย มองเห็นโทษในเบญจกามคุณ จึงคลายความกำหนัดกลับได้ปฏิกูลสัญญา เบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย เบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ไม่ยอมกลับบ้าน และไม่ไปเฝ้าพระราชาอีกเลย ท่านออกจากพระนคร แล้วเข้าป่าไปบวชเป็นฤๅษี สร้างอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา พิจารณาถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย โดยอาศัยผลไม้ในป่าเป็นอาหาร
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตไม่เห็นมหาธนเศรษฐีเข้าเฝ้า จึงตรัสถามว่า “สหายของเราไปไหน” ครั้นรู้เรื่องราว จึงรับสั่งให้เรียกหญิงงามเมืองมา ตรัสถามว่า “ได้ยินว่า เจ้าไม่ได้ทรัพย์วันเดียวเท่านั้น ก็ให้พวกทาสีลากคอสหายของเราออกไปจริงหรือ” นางรับว่า “จริงเพคะ” พระราชาจึงตรัสว่า “หญิงลามกอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร เจ้าจงไปตามสหายของเรากลับคืนมา ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องตาย”
นางได้ฟังพระราชดำรัสดังนั้น ก็เกิดความกลัว จึงรีบออกจากพระนครไปพร้อมกับบริวารเป็นอันมาก เที่ยวเสาะแสวงหาที่อยู่ของฤๅษี ในที่สุดก็หาจนพบ ได้นมัสการท่านแล้ววิงวอนว่า “ขอท่านได้อดโทษที่ดิฉันได้กระทำด้วยความเป็นคนอันธพาลเถิด ดิฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีก” พระฤๅษีตอบว่า “เราไม่ได้โกรธเธอหรอก เราอดโทษให้ อันที่จริงเราควรขอบใจเธอด้วยซํ้าที่ทำให้เราพบแสงสว่างของชีวิต” นางจึงกล่าวว่า “ถ้าท่านอดโทษให้ดิฉัน ขอจงกลับไปสู่พระนครเถิด เมื่อถึงพระนครแล้ว ดิฉันจักถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด” พระฤๅษีได้ฟังคำของนางแล้วกล่าวว่า “น้องหญิง บัดนี้เราไม่อาจไปกับเจ้า เพราะเราเป็นผู้สละแล้วทุกสิ่ง” แล้วกล่าวเพิ่มอีกว่า
“เมื่อใดผ้า ๓ ชนิดจะพึงสำเร็จได้ด้วยหนวดเต่า ใช้เป็นเครื่องกันหนาวในคราวน้ำค้างตกได้ เมื่อใดเท้าของยุงทั้งหลายจะพึงทำเป็นป้อมมั่นคงดีไม่หวั่นไหว อาจจะทนบุรุษผู้ขึ้นรบได้ตั้งร้อย เมื่อนั้นเราทั้งสองพึงอยู่ร่วมกันได้แน่ เมื่อใดเขากระต่าย จะพึงทำเป็นบันไดเพื่อขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ เมื่อใดหนูทั้งหลายพึงไต่บันไดขึ้นไปถึงพระจันทร์ และขับไล่ราหูให้หนีไปได้ เมื่อนั้นเราทั้งสองพึงอยู่ร่วมกันได้แน่” และกล่าวคำอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อหญิงงามเมืองได้ฟัง ก็รู้ว่าท่านไม่กลับแน่แล้ว จึงขอขมาต่อพระโพธิสัตว์ แล้วกลับเข้าเมือง และได้ทูลเรื่องราวทั้งหมดต่อพระราชา พร้อมกับทูลขอชีวิตของตนไว้
ครั้นพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้จบลง ทรงแสดงธรรมให้พอเหมาะกับจริตอัธยาศัย ภิกษุผู้จะลาสิกขาก็ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนพระฤๅษีได้มาเป็นพระตถาคตนั่นเอง
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ดำรงอยู่โดยยาก การครองเรือนให้ได้ดีเป็นเรื่องยาก การบรรพชาก็ไม่ง่าย แต่หากมีเป้าหมายเพื่อที่จะทำพระนิพพานให้แจ้ง ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะทำได้ เพราะถ้ามีอุดมการณ์มั่นคง เป้าหมายก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม บัณฑิตทั้งหลายจะเพียรพยายามต่อไปจนกว่าจะสำเร็จผล แต่ธรรมดาจิตใจของเรามีขึ้นมีลง คนที่เคยดำเนินชีวิตผิดพลาด จะต้องใช้กำลังใจอย่างมากที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ กำลังใจจะช่วยให้เราก้าวต่อไป เพื่อที่เราจะได้มีแรงใจ และไม่หลงทางอีก
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เราต้องตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกับตัวเรา ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นเรื่องร้ายๆ ให้ใจเย็นๆ เอาไว้ก่อน แล้วมองดูใหม่ มองให้กว้างออกไปไกล ให้ไปปรึกษากับกัลยาณมิตร หรือนั่งหลับตาทำสมาธิภาวนา เอาใจของเรามาไว้ที่ศูนย์กลางกาย เมื่อเราหยุดใจได้ กำลังใจของเราจะเพิ่มพูน ทับทวีขึ้น จะเกิดปัญญาบริสุทธิ์ มองเห็นปัญหาข้อบกพร่อง และพบช่องทางแห่งความสำเร็จ สามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตของเราได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ให้ตั้งใจทำภาวนา และนั่งธรรมะกันทุกๆ คน
* มก. เล่ม ๕๙ หน้า ๕๘๗
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16561
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน