เหตุอย่างเดียวกัน แต่ได้ผลต่างกัน (เหตุคือจามเพราะพริกป่น คนหนึ่่งจมูกขาดวิ่น คนหนึ่งได้ราชสมบัติและราชธิดา)

เหตุอย่างเดียวกัน แต่ได้ผลต่างกัน (เหตุคือจามเพราะพริกป่น คนหนึ่่งจมูกขาดวิ่น คนหนึ่งได้ราชสมบัติและราชธิดา)

ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ เพราะใจเป็นจุดเริ่มต้นของความคิด และความคิดจะก่อให้เกิดการกระทำ ใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสุด ทีจะบันดาลให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ใจของคนที่ผ่องใสนั้น ไม่ว่าจะคิด พูด หรือ ทำสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีพลัง และความเพียรไม่มีที่สิ้นสุด ตรงกันข้ามกับสภาพจิตใจที่ขุ่นมัวไม่ผ่องใส ย่อมทำลายความสำเร็จทั้งหมดให้มลายหายสูญไป เพราะหากใจไม่ผ่องใสแล้ว จะคิด พูด หรือทำสิ่งใดก็ยากที่จะสำเร็จ แม้เรื่องที่ง่ายแสนง่ายก็ไม่มีทางทำได้ หรือไม่มีโอกาสทำให้สำเร็จ แม้บุคคลนั้นจะมีฐานะดี ความรู้สูงตำแหน่งหน้าที่สูง หรือมีความสามารถมากเพียงไร แต่ถ้าขาดความเชื่อมั่น ขาดพลังใจอันสูงส่ง ขาดความเพียรพยายามแล้ว ศักยภาพในตัวแม้มีมากมายเพียงไร ย่อมไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏใน อสิลักขณชาดก ความว่า

“เหตุอย่างเดียวกัน เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง แต่เป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นเหตุอย่างเดียวกัน มิใช่ว่าจะเป็นผลดีไปทั้งหมด และมิใช่ว่าจะเป็นผลร้ายเสมอไป”

บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่พูดว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี หรือทำชั่วได้ดีมีถมไปนั้น เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะไม่ช้าผลแห่งการกระทำก็ย่อมปรากฏแก่ผู้กระทำ เพียงแต่ผลจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่วจะเป็นงาไม่ได้ ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้น อย่าได้พลาดพลั้งไปทำกรรมชั่ว อันจะนำความเดือดร้อนมาให้ในภายหลัง

อันที่จริงเมื่อเราทำดีย่อมได้ผลดีทันที เป็นความดีที่เกิดขึ้นในใจโดยไม่ต้องรอเวลาเลย โดยเฉพาะการทำความดีที่มีเป้าหมายสูงสุดนั้น คือเพื่อให้ใจของเราปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง การที่บุคคลหวังจะได้ผลออกมาเป็นรูปธรรมนั้นต้องอาศัยเวลา เพราะกรรมไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาปแต่ละอย่างนั้น ย่อมให้ผลไม่เหมือนกัน เพราะแม้การทำในสิ่งเดียวกัน แต่ต่างเวลา ต่างบุคคล ต่างสถานที่ ก็ทำให้ผลของกรรมนั้นแตกต่างกันไป ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของการกระทำ ในสิ่งที่เป็นของสมมติว่าเป็นความดีในโลกแล้ว ยิ่งให้ผลต่างกันมาก ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตกาล เรื่องมีอยู่ว่า

* ครั้นนั้น มีพราหมณ์ท่านหนึ่งเป็นผู้ตรวจลักษณะดาบของพระเจ้าโกศล เมื่อใดที่ช่างเหล็กนำดาบมาถวายพระราชา เขาจะสูดดมดาบ แล้วชี้ถึงลักษณะดีหรือเลวของดาบนั้นๆ ถ้าเขาได้ทรัพย์สินจากมือของช่างดาบพวกใด เขาจะกราบทูลพระราชาว่า ดาบของช่างนั้นสมบูรณ์ด้วยลักษณะ ประกอบด้วยมงคล แต่หากเขาไม่ได้ผลประโยชน์ เขาจะติเตียนดาบของช่างพวกนั้นว่า อัปลักษณ์

วันหนึ่งมีช่างดาบคนหนึ่ง เมื่อทำดาบแล้ว ได้ใส่พริกป่นอย่างละเอียดในฝักแล้วนำดาบมาถวายพระราชา พระราชารับสั่งให้พราหมณ์พิจารณาดาบนั้น เมื่อพราหมณ์ชักดาบออกมาดม พริกป่นเข้าจมูก ทำให้เขาจามทันที จมูกจึงถูกคมดาบเฉือนขาดทำให้เป็นที่รู้กันทั่วในหมู่สงฆ์

ต่อมาภิกษุทั้งหลายพากันยกเรื่องนี้ขึ้นสนทนาในโรงธรรมสภา และได้กราบทูลถามพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พราหมณ์นั้นจมูกขาดวิ่น เพราะดมดาบ แม้ในกาลก่อนก็เคยขาดวิ่นมาแล้วเช่นกัน” จากนั้นทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าว่า

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระองค์ทรงมีพราหมณ์เป็นผู้ตรวจลักษณะดาบ ทำนองเดียวกันกับเรื่องในปัจจุบันทุกอย่าง แปลกตรงที่ว่า พระราชาได้รับสั่งให้หมอรักษาพราหมณ์จนจมูกหายเป็นปกติ โดยทำจมูกเทียมใส่แทน

พระเจ้าพาราณสีไม่มีพระโอรส ทรงมีเพียงพระธิดาพระองค์เดียว และทรงเลี้ยงหลานอีกพระองค์หนึ่ง เมื่อพระราชธิดาและพระราชภาคิไนยเจริญเติบโตขึ้น ต่างมีพระทัยปฏิพัทธ์ต่อกัน พระราชาจึงตรัสเรียกอำมาตย์พลางรับสั่งว่า “เราจะยกราชสมบัติให้หลานของเรา และจะยกธิดาให้เขาอภิเษกสมรสกัน”

ต่อมาพระองค์ทรงดำริใหม่ว่า หลานของเราก็เป็นญาติของเรา เราจะสู่ขอราชธิดาอื่นมาให้เขา แล้วเราจะยกธิดาของเราให้พระราชาองค์อื่น ด้วยอุบายนี้ หลานของเราจะเป็นเจ้าของราชสมบัติทั้งสองพระนคร พระองค์ดำริดังนั้นแล้ว ทรงปรึกษากับอำมาตย์ทั้งหลายและรับสั่งว่า ควรแยกคนทั้งสองนั้นเสีย โดยให้พระราชภาคิไนยประทับที่ตำหนักหนึ่ง ส่วนพระราชธิดาประทับที่อีกตำหนักหนึ่ง

เมื่อทั้งสองพระองค์มีพระชนม์ ๑๖ พรรษาทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ต่อกันยิ่งขึ้นไปอีก พระราชกุมารทรงดำริว่า เราจะทำอย่างไรดี จึงจะพาธิดาของเสด็จลุงออกจากพระราชวังได้ เมื่อคิดอุบายได้แล้ว จึงรับสั่งเรียกหญิงแม่มดมา แล้วประทานสิ่งของมีค่าพันกหาปณะแก่นาง เมื่อนางกราบทูลถามว่า “ทรงให้หม่อมฉันทำอะไร” จึงรับสั่งว่า “ท่านจงอ้างเหตุอะไรก็ได้ ที่ทำให้เสด็จลุงของฉันอนุญาตให้พระธิดาออกจากพระราชวังได้”

หญิงแม่มดกราบทูลว่า “หม่อมฉันจะเข้าเฝ้าพระราชา แล้วจักทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ กาลกิณีกำลังกุมพระธิดาอยู่ หม่อมฉันขอพาพระธิดาขึ้นราชรถไปทำพิธีล้างมลทิน แล้วให้พวกทหารมีอาวุธครบมือติดตามไปด้วย เพื่อเข้าสู่ป่าช้า หม่อมฉันจะให้คนที่ตายแล้วนอนบนเตียง ตัวหม่อมฉันจะอยู่บริเวณนั้นซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธี แล้วให้พระราชธิดาประทับนั่งเหนือเตียงชั้นบนขึ้นไปอีก ให้ทรงสรงสนานด้วยน้ำหอมประมาณ ๑๕๐ หม้อ เพื่อกำจัดกาลกิณีออกไป

ครั้นหม่อมฉันกราบทูลเช่นนี้แล้ว ในวันที่หม่อมฉันจะไปป่าช้า ให้พระองค์ถือพริกป่นไปด้วย และรีบไปป่าช้าก่อนผู้ใด ให้พระองค์เสด็จไปที่แท่นพิธีนั้น แล้วทำเป็นตายนอนอยู่บนเตียงที่เขาคลุมนั้น เมื่อหม่อมฉันมาถึงบริเวณนั้น ก็จะวางเตียงซ้อนทับพระองค์ไว้ เสร็จแล้วก็เชิญพระราชธิดาให้ประทับนั่งบนเตียงชั้นบนนั้น ขณะนั้นให้พระองค์เอาพริกป่นใส่พระนาสิก ทำให้จามสองสามครั้ง ทันทีที่พระองค์จาม หม่อมฉันจะทิ้งพระราชธิดาไว้ แล้วหนีไป เมื่อถึงตอนนั้น พระองค์จงพาพระธิดาหนีไปเถิด” พระราชกุมารตอบตกลงตามแผนการของแม่มดทุกประการ

เมื่อแม่มดเข้าไปกราบทูลพระราชา พระราชาทรงอนุญาต และแม่มดก็ไปกราบทูลแผนการทั้งหมดนั้นให้พระราชธิดารับรู้ด้วย พระราชธิดาก็รับคำ ในวันที่จะไปทำพิธีในป่าช้า แม่มดได้ให้สัญญาณพระภาคิไนย แล้วมุ่งสู่ป่าช้าพร้อมด้วยทหารจำนวนมาก แม่มดได้พูดขู่ให้พวกทหารทั้งหมดที่ไปด้วยกันเกิดความหวาดกลัวว่า “เมื่อเราวางพระธิดาบนเตียง คนตายที่อยู่ใต้เตียง จะจามขึ้นมา และจะลุกจากเตียง หากเขาเห็นผู้ใดก่อน ก็จะจับผู้นั้นทันที พวกท่านจงระวังตัวให้ดีอย่าประมาท”

เมื่อพระภาคิไนยไปถึงป่าช้าก่อน ทรงบรรทมตามแผนการนั้น ต่อมา เมื่อแม่มดมาถึงก็อุ้มพระธิดาขึ้นสู่แท่นพิธี วางพระธิดาลงบนเตียง ขณะเดียวกันนั่นเอง พระราชกุมารก็เอาพริกป่นใส่จมูกแล้วก็จามทันที แม่มดแกล้งร้องเสียงดังลั่น วิ่งหนีไปก่อนคนอื่น พวกทหารทุกคนต่างพากันทิ้งอาวุธหนีตามไปด้วย

จากนั้นพระราชกุมารได้พาพระราชธิดาไปสู่นิเวศน์ของพระองค์ เมื่อพระราชารู้เรื่องราวทั้งหมด ทรงดำริว่า อันที่จริงเราก็เลี้ยงนางไว้เพื่อยกให้หลานอยู่แล้ว เหมือนทิ้งเนยใสลงในข้าวปายาส พระองค์จึงมอบพระธิดาให้หลานในเวลาต่อมา และยังมอบราชสมบัติให้หลานเป็นพระราชาองค์ต่อไปอีกด้วย

วันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์นักดูดาบนั้นมาเข้าเฝ้าพระราชา เขายืนตรงแสงพระอาทิตย์ส่อง จมูกเทียมจึงละลายตกลงบนพื้น เขาได้แต่ยืนก้มหน้าด้วยความละอาย พระราชาเห็นดังนั้นก็ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอย่าคิดมากไปเลย ธรรมดาการจาม เป็นผลดีแก่คนหนึ่งแต่กลับเป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่ง ท่านจามจมูกขาด ส่วนฉันจามได้ธิดาของเสด็จลุง แล้วยังได้ราชสมบัติ เหตุอย่างเดียวกันนั่นแหละ เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง แต่กลับเป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นเหตุอย่างเดียวกัน ใช่ว่าจะเป็นผลดีไปทั้งหมด แต่ก้มิใช่ว่าจะเป็นผลร้ายไปทั้งหมด”

พระศาสดาได้ตรัสความความดีความชั่วที่โลกสมมติกันแล้ว ว่าเป็นการไม่แน่นอนด้วยเรื่องนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า “พราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนั้น ได้มาเป็นพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนี้ ส่วนพระราชาผู้เป็นภาคิไนยในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคตนั่นเอง”

เราจะเห็นว่า เรื่องราวต่างๆ ที่โลกสมมติกันขึ้นนั้น เป็นของไม่แน่นอน บางคนทำเรื่องหนึ่งกลับได้อีกเรื่องหนึ่งเป็นผลตอบแทน ที่ไม่แน่นอนนั้นเป็นเพราะเหตุการณ์ สถานที่ และบุคคลแตกต่างกัน แต่ผลจะเป็นไปอย่างไรก็ตาม ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของตน ถ้าทำดีย่อมได้ผลดี ทำชั่วย่อมได้ผลชั่วแน่นอน การทำความดีนั้นต้องเริ่มที่ใจของเราก่อน แม้ผลของความดีจะยังไม่ปรากฏแก่ตัวเราเอง แต่เทวดาและผู้มีญาณย่อมรู้ถึงการกระทำของเรา และที่สำคัญความดีที่เราทำไปจะไม่มีวันสูญหายไปไหน จะติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายของเราตลอดเวลา ดังนั้นอย่าไปกังวลว่า ทำไมยังไม่เห็นผลของความดี หากเราทำถูกหลักวิชาแล้ว ย่อมได้รับผลดีแน่นอน ให้ทุกคนตั้งใจทำความดีกันต่อไป

* มก. เล่ม ๕๖ หน้า ๔๙๑

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16591
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *