พระพุทธคุณ ตอน ผู้รู้แจ้งโลก (พระพุทธองค์ทรงรู้อัธยาศัยของสัตวโลก ว่าใครจะต้องสอนอย่างไร ต้องฝึกอย่างไรจึงจะได้บรรลุธรรม หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวงได้ )
เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพื่อแสวงหาสิ่งที่ทำให้เราบริสุทธิ์ที่สุด บริสุทธิ์จนกระทั่งพบกับตัวตนที่แท้จริง ที่มั่นคงที่สุดไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีความสุขอย่างแท้จริง พระผู้มีพระภาคเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลายต่างพบว่า พระรัตนตรัยเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด และมีอยู่แล้วในตัวของพวกเราทุกคน เป็นธรรมที่สงบ ละเอียด ประณีต จะนึกคิดหรือคาดคะเนไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงเอง ต้องปรับใจให้ละเอียด ให้หยุดนิ่งไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าไปถึงแหล่งแห่งความสุข ความบริสุทธิ์ แหล่งของสติ แหล่งของปัญญา เมื่อนั้นเราจะรู้เห็นทุกสิ่งไปตามความเป็นจริง
มีธรรมภาษิตใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ว่า
ปสยฺห มารํ อภิภุยฺย อนฺตกํ
โย จ ผุสี ชาติขยํ ปธานวา
โส ตาทิโส โลกวิทู สุเมโธ
สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อตมฺมโย มุนิ
บุคคลใดมีความเพียร ข่มขี่มาร ครอบงำมัจจุราชได้แล้ว ได้ถูกต้องธรรมอันเป็นที่สิ้นการเกิด บุคคลเช่นนั้นย่อมเป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้มีปัญญาดี เป็นมุนี ผู้หมดความทะยานอยากในธรรมทั้งปวง
ความรู้ทั้งหลายทั้งมวลในโลกนี้ มีแหล่งกำเนิดอยู่ ณ ที่เดียวกัน คือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า เอกายนมรรค ทางเอกสายเดียว ซึ่งเป็นทางดำเนินไปสู่ความรู้แจ้ง เมื่อเรานำใจกลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ ให้ถูกที่ และถูกส่วน ความเห็นแจ้ง และความรู้แจ้งก็จะบังเกิดขึ้น เราจะรู้แจ้งเห็นแจ้งเข้าไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าถึงต้นแหล่งแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงดำเนินจิตด้วยการหยุดนิ่ง เข้าไปในหนทางเอกสายนี้ จนกระทั่งมีใจหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ชื่อว่า เป็น โลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก
พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกอย่างไร ทรงรู้แจ้งโลกทั้งสาม คือโอกาสโลก ขันธโลก และสัตวโลก โอกาสโลก คือ โลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้งหลาย ประกอบด้วยธาตุต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ซึ่งมีสภาพรองรับกันและกัน ขันธโลก คือ ขันธ์ ๕ หรือสังขารร่างกายเราที่มีอาหารเป็นปัจจัยปรุงแต่ง อาหารแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่ กวลิงการาหาร หมายถึง อาหารที่เรารับประทานเข้าไป ผัสสาหาร คือ การสัมผัสหรือการกระทบ ถ้ามีอารมณ์ดีมากระทบ ก็ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขใจ สบายใจ ถ้ากระทบกับอารมณ์ไม่ดี ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ร้อนใจ ถ้ากระทบกับอารมณ์ ที่เป็นกลางๆ เราก็จะรู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย
เหมือนในอดีตชาติของพระสารีบุตร ที่ท่านเกิดเป็นฤๅษีชื่อ สรทะ ท่านได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอโนมทัสสี ก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ได้ยืนกั้นร่มให้พระองค์ตลอดเวลาที่ทรงเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ๗ คืน ท่านยืนอยู่อย่างนั้น โดยไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้รับประทานอาหาร แต่ก็ไม่รู้สึกหิว เพราะมีปีติเป็นผัสสาหารนั้นเอง
อีกประการหนึ่งคือ มโนสัญเจตนาหาร คือ ความคิดอ่าน หรือเจตนาทางใจ เป็นอาหารที่ทำให้เกิดการคิด การพูด และการกระทำ และประการสุดท้าย คือ วิญญาณาหาร คือ ความรู้แจ้งอารมณ์ พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งว่า หมู่สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหารทั้ง ๔ อย่างนี้
พระองค์ทรงรู้แจ้งสัตวโลก คือ สัตว์ที่อาศัยอยู่ในภพ ๓ ได้แก่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัตว์ที่เกิดในอบายภูมิ ๔ มนุษย์ เทวดา พรหม และอรูปพรหม พระองค์ทรงรู้แจ้งหมดว่า สัตว์จำพวกใดเป็นอย่างไร โปรดได้หรือโปรดไม่ได้ มีอินทรีย์แก่อ่อนอย่างไร ทรงรู้แจ้งถึงอนุสัย และจริตอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย
ด้วยทรงรู้แจ้งถึงจริตอัธยาศัยของสัตวโลกทั้งหลายนี่เอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเป็น อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ คือ ทรงเป็นผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึกได้อย่างดีเลิศ หาใครมาเสมอเหมือนได้ พระองค์ทรงมีกุศโลบายในการสอน ที่พอเหมาะพอดีกับอัธยาศัยของแต่ละคน เหมือนครั้งที่ทรงสอนพระนันทเถระ สมัยที่พระองค์เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระญาติ ในวันที่สาม ซึ่งเป็นวันวิวาห์ของเจ้าชายนันทะ กับนางชนบทกัลยาณี ซึ่งเป็นหญิงที่งามที่สุดในเมืองนั้น พระองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาต แล้วประทานบาตรให้เจ้าชายนันทะถือไว้ จากนั้น เสด็จกลับโดยไม่ได้รับบาตรคืน
ฝ่ายเจ้าชายนันทะ ด้วยความที่เคารพพระพุทธองค์มาก จึงไม่กล้ากราบทูลให้พระองค์ทรงรับบาตรคืน ได้แต่ถือบาตรตามเสด็จพระองค์ไปจนถึงวัดพระเชตวัน เมื่อไปถึง พระบรมศาสดาได้ตรัสถามว่า “นันทะ เธอจะบวชไหม” เจ้าชายนันทะนั้น ความจริงในใจนึกถึงแต่เจ้าสาวตลอดเวลา แต่ด้วยความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกราบทูลว่า “บวชพระเจ้าข้า”
ครั้นบวชแล้ว เจ้าชายนันทะไม่ได้ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ ได้แต่อยู่ไปวันหนึ่งๆ วันหนึ่ง ท่านตัดสินใจบอกเพื่อนสหธรรมิกว่า จะขอลาสิกขา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามถึงสาเหตุที่ต้องลาสิกขา พระนันทะทูลตอบว่า คิดถึงนางชนบทกัลยาณี
พระบรมศาสดาทรงใช้ฤทธานุภาพพาพระนันทะไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อชมความงามของนางเทพอัปสร พลางตรัสถามว่า “นันทะ ระหว่างนางชนบทกัลยาณีกับนางเทพอัปสร ใครน่าดูน่าชมมากกว่ากัน” พระนันทะกราบทูลว่า “นางชนบทกัลยาณีงามสู้นางเทพอัปสรเหล่านี้ไม่ได้เลย” พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “นันทะ เธอจงยินดีในพรหมจรรย์เถิด เราขอรับรองว่า เธอจะได้นางเทพอัปสรถึง ๕๐๐ นาง” พระนันทะจึงกราบทูลว่า “ถ้าพระองค์ตรัสรับรองอย่างนั้น ข้าพระองค์ก็จะไม่ลาสิกขา”
เหล่าภิกษุรู้ข่าวว่า พระนันทะประพฤติพรหมจรรย์ เพราะอยากจะได้นางเทพอัปสร ต่างพากันมาล้อเลียนท่าน เมื่อถูกล้อเลียนบ่อยๆ ท่านรู้สึกละอายใจ จึงหลีกเร้นออกไปบำเพ็ญเพียรรูปเดียว ไม่นานท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หมดความต้องการในนางเทพอัปสรอีกต่อไป พระบรมศาสดาทรงรู้ถึงการบรรลุธรรมของท่าน จึงเปล่งอุทานว่า “ผู้ใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว ย่ำยีกามอันเป็นประดุจหนามแหลมแล้ว ผู้นั้นย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในสุข และทุกข์”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้อัธยาศัยของสัตวโลก ว่าใครจะต้องสอนอย่างไร ต้องฝึกอย่างไรจึงจะได้บรรลุธรรม หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงได้ชื่อว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ คือ ทรงเป็นบรมครูผู้สอนได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีใครเทียบได้ เพราะพระองค์ทรงเข้าถึงแหล่งแห่งปัญญาอันบริสุทธิ์ ด้วยการดำเนินจิตเข้าไปในทางสายกลาง ทางเอกสายเดียว
ดังนั้น ถ้าเราอยากจะรู้แจ้งเห็นแจ้ง อยากมีดวงปัญญาอันบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวลอย่างพระองค์ ต้องทำเช่นเดียวกับที่พระองค์ทำ พระองค์ทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น คือ หมั่นนำใจหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบายๆ หยุดให้ถูกส่วน หยุดในหยุดเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย วิชชา คือ ความรู้แจ้งก็จะเกิดขึ้น เราจะได้รู้เห็นถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง ให้ทุกๆ ท่านขยันปฏิบัติธรรม ชักชวนกันมาเจริญสมาธิภาวนา มาทำใจหยุดใจนิ่งที่บ้านกัลยาณมิตรของเรา และช่วยกันขยายบ้านกัลยาณมิตรกันต่อไป ให้เป็นบ้านแห่งสันติสุขที่สมาชิกได้เข้าถึงความสุขภายใน ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน
* มก. เรื่องพระนันทเถระ เล่ม ๔๐ หน้า ๑๕๕
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/7562
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
น้อมกราบอนุโมทนาบุญ สาธุๆ สาธุครับ
🏵️🌼💐🌸🏵️💮🌷💮🏵️🌸💐🌼🏵️