พระอรหันต์ของโลก

พระอรหันต์ของโลก

การเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ต่างมีเป้าหมายสูงสุดอย่างเดียวกัน คือ เพื่อจะฝึกฝนอบรมจิตใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ แล้วอาศัยธรรมกายศึกษาวิชชาธรรมกาย กำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป จะได้พ้นจากความทุกข์เข้าถึงความสุขที่แท้จริงไปสู่อายตนนิพพาน ซึ่งมีแต่สุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปนเลย เสวยวิมุตติสุขอย่างเดียว คือ สุขที่เกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นความสุขที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ นี่คือเป้าหมายของชีวิต  ดังนั้น เราจะต้องมุ่งแสวงหาความสุขที่แท้จริงกันทุกคน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จูฬโคปาลสูตร  ความว่า
“อยํ โลโก ปรโลโก       ชานตา สุปฺปกาสิโต
ยญฺจ มาเรน สมฺปตฺตํ     อปฺปตฺตํ ยญฺจ มจฺจุนา
สพฺพํ โลกํ อภิญฺญาย     สมฺพุทฺเธน ปชานตา
วิวฏํ อมตทฺวารํ            เขมํ นิพฺพานปตฺติยา
ฉนฺนํ ปาปิมโต โสตํ       วิทฺธสฺตํ วินฬีกตํ
ปามุชฺชพหุลา โหถ        เขมํ ปตฺเถตุ ํ ภิกฺขโว
โลกนี้ โลกหน้า เรารู้อยู่ จึงประกาศไว้ดีแล้ว เราเป็นผู้ตรัสรู้เอง รู้ชัดโลกทั้งปวง ซึ่งแออัดด้วยมาร ทั้งที่เป็นโลกอันมัจจุไปไม่ถึง เรารู้ได้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ได้เปิดประตูอมตะอันปลอดโปร่ง เพื่อบรรลุพระนิพพาน กระแสมารผู้ลามก เราตัดแล้ว กำจัดแล้ว ทำให้ปราศจากความฮึกเหิมแล้ว พวกเธอจงเป็นผู้มากไปด้วยปราโมทย์ ปรารถนาพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนเกษมเถิด”

* พระบรมศาสดาของเรา ทรงปรารถนาให้พวกเราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน แม้ในสมัยที่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้มุ่งแสวงหาทางพ้นทุกข์ ทรงใช้เวลาในการบำเพ็ญเพียรอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ที่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ คำว่าตรัสรู้ธรรม หมายถึง การที่พระองค์ได้เข้าถึงกายธรรมอรหัต เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัต ได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงอาศัยธรรมจักษุ และญาณทัสสนะของพระธรรมกาย ตรัสรู้อริยสัจ ๔  ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะได้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการนี้ตามความเป็นจริง บัณฑิตทั้งหลายจึงเรียกตถาคตว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และตถาคตก็ปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้เข้าถึงกายธรรมอรหัตนี่แหละ“

คำว่า อรหํ เป็นเนมิตตกนาม พระมารดาไม่ได้ตั้งชื่อให้พระพุทธองค์ แต่เป็นพระนามที่เกิดขึ้นมาเอง พร้อมกับการที่พระองค์ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ที่ว่าเป็นพระอรหันต์ หมายถึง เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส เพราะทรงเข้าถึงกายธรรมอรหัต ที่เป็นเหตุให้ขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ แต่คนทั่วไปยังถูกอวิชชาครอบงำอยู่ มีกิเลสเครื่องร้อยรัดมากมาย และกิเลสในกายของแต่ละคนก็มีความหยาบ และละเอียดแตกต่างกันไป ตั้งแต่กายมนุษย์หยาบก็มีอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิที่หมักดองอยู่ในใจ ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลายไปได้ หากเป็นกายทิพย์ มีโลภะ โทสะ โมหะ กิเลสในกายรูปพรหม คือ ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสในกายอรูปพรหมก็เบาบางลง มีกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัยห่อหุ้มอยู่

เมื่อใจหยุดนิ่งหนักขึ้นไป กิเลสในกายต่างๆ เหล่านั้นก็หลุดร่อน และเข้าไปถึงกายธรรมโคตรภูที่ใสเป็นแก้วใสเป็นเพชร มีลักษณะคล้ายพุทธปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ใสเกินใส สวยเกินสวย งามกว่ากายต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  เมื่ออาศัยกายธรรมโคตรภูพิจารณาอริยสัจ ๔ ในกายมนุษย์ละเอียดด้วยการทำใจหยุดนิ่ง  เมื่อบริสุทธิ์มากจิตก็หลุดร่อนจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จิตก็ตกศูนย์วูบ ถูกดูดเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นแล้ว ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ ๓ อย่าง

วิธีการที่ทำให้ละได้ คือ หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง เข้าไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ และอาศัยกายธรรมพระโสดาบันพิจารณาอริยสัจ ๔ ในกายทิพย์ ก็เข้าถึงกายพระสกิทาคามี จิตมีความละเอียดอ่อน สามารถละกามราคะ และพยาบาทขั้นหยาบได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นพระสกิทาคามีบุคคล อาศัยกายธรรมพระสกิทาคามีพิจารณาอริยสัจ ๔ ในกายรูปพรหม ทำให้สามารถปล่อยวาง ละขาดจากกามราคะ และพยาบาทขั้นละเอียด ใจไม่ติดในกิเลสเหล่านั้นอีกต่อไป จิตก็ตกศูนย์เข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับกายธรรมพระอนาคามี เป็นผู้มีจิตเที่ยงตรงต่อหนทางพระนิพพาน หากละโลกไปแล้วก็ไม่ต้องลงมาเกิดกันอีก สามารถที่จะฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งอยู่บนพรหมโลก จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้เช่นกัน

เมื่อจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระอนาคามีแล้ว อาศัยกายธรรมพระอนาคามีพิจารณาอริยสัจ ๔ ในกายอรูปพรหม พอละเอียดหนักเข้าก็สามารถละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาได้ทั้งหมด สังโยชน์ ๑๐ เบื้องต่ำเบื้องสูงก็หลุดหมด จิตจึงตกศูนย์วูบเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัต เป็นพระอรหันต์ผู้ห่างไกลจากกิเลสแล้ว ปราศจากความทุกข์ มีแต่สุขล้วนๆ ที่เรียกว่า เป็นเอกันตบรมสุข  เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ ตอนที่ได้ตรัสรู้กายธรรมอรหัตนี่แหละ

เพราะฉะนั้น คำว่า อรหํ หรืออรหันต์นั้น เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีความหมายมาก เพราะกว่าจะได้คำนี้มา พระบรมศาสดาต้องทุ่มเทสร้างบารมีมามาก อย่างน้อย ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป และกว่าจะตรัสรู้ได้ ต้องมีวิริยอุตสาหะ เอาชีวิตเป็นเดิมพันกันเลยทีเดียว ที่พระพุทธองค์ทรงพระนามว่า อรหํ ก็เพราะบำเพ็ญสมาธิภาวนา ตั้งมหาปณิธานอย่างแรงกล้า ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ทรงตั้งพระหฤทัยมั่นว่า “แม้เนื้อเลือดในสรีระของพระองค์จะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่หนังเอ็นกระดูกก็ตามที หากไม่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์จะไม่ยอมลุกจากที่เป็นอันขาด”

จากนั้น พระองค์ทรงนั่งสมาธิรุดไปข้างหน้าด้วยน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยว ในที่สุดก็ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณสมดังพระประสงค์ ยามต้นได้บรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ว่าสร้างบารมีมากี่อสงไขย กี่ภพกี่ชาติ ทรงรู้เห็นหมด ยามที่สองทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หยั่งรู้ความจุติ และความเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ ยามที่ ๓ ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ สามารถกำจัดกิเลสอาสวะที่หมักดองอยู่ในใจ สังโยชน์เบื้องต่ำ เบื้องสูง ที่เอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น สวมซ้อน ร้อยไส้ ให้หลุดร่อนออกจากใจได้หมด ทรงรู้แจ้ง เห็นแจ้ง เห็นด้วยธรรมจักษุและญาณทัสสนะของธรรมกาย

เมื่อพระองค์หยุดนิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัต ได้เข้าถึงตรงนี้แล้ว คุณวิเศษทั้ง ๕ อย่าง คือ  จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ ฃวิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ  จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลโก คือ แสงสว่าง ก็จะบังเกิดขึ้นมาเป็นลำดับๆ  อะไรที่เป็นความมืดมน หรือลี้ลับของโลกและชีวิต ก็ถูกเปิดเผยขึ้น พระองค์จึงเป็นประทีปธรรมเอกของโลก และจักรวาล ที่นำความสว่างไสวมาสู่ดวงใจของมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

สิ่งเหล่านี้จะดับได้ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ การที่จะไม่ให้เกิดอีกต่อไป ไม่ให้มีภพมีชาติ ต้องขจัดอวิชชาที่เป็นมูลรากที่ทำให้เกิดทั้งหมด ซึ่งเรียกว่า สมุทัยนั่นเอง ในการดับเหตุแห่งทุกข์ท่านให้คำว่า นิโรธ ซึ่งแปลว่า หยุด หลวงปู่วัดปากน้ำท่านก็ยืนยันว่า หยุดเท่านั้นแหละจึงจะสำเร็จ หยุดเป็นตัวสำเร็จ จะดับอวิชชาซึ่งเป็นกิเลสตัวสำคัญได้ ต้องทำใจหยุดอย่างเดียว หากดับอวิชชาได้ อันอื่นๆ ก็ดับหมด  เมื่อพระบรมศาสดาของเราชนะกิเลสเหล่านั้นได้แล้ว ทรงเปล่งอุทานหลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณว่า

“ดูก่อนนายช่างผู้ทำเรือน เราท่องเที่ยวอยู่ในสงสารมาเป็นเวลายาวนาน เวียนตายเวียนเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน การเกิดนำความทุกข์มาให้เรามากมาย ไม่รู้จักจบสิ้น นายช่างคือตัณหา บัดนี้เราเจอตัวท่านแล้ว ท่านหมดโอกาสที่จะมาสร้างเรือนคือ อัตภาพร่างกายของเราอีกต่อไปแล้ว กระดูกซี่โครงของท่าน คือ กิเลส เราก็หักได้เสียแล้ว มิหนำซ้ำยอดปราสาท คือ อวิชชา เราก็รื้อทำลายหมดสิ้นแล้ว จิตของเราปราศจากเครื่องปรุงแต่ง ถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหาได้แล้ว”

นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้สมญานามว่า เป็นพระอรหันต์ ทรงอาศัยมหากรุณาธิคุณ นำความสำเร็จนี้มาเผยแผ่พวกเราเข้าถึงพระธรรมกาย เข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะตามพระพุทธองค์ไปด้วย  เพราะฉะนั้นการตรึกระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ก็ดี การเจริญพุทธานุสติ ภาวนา สัมมา อรหัง ก็ดี เป็นสิ่งที่ควรตรึกระลึกนึกถึงบ่อยๆ  เราจะต้องหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอทุกๆ วัน จะได้เข้าถึงพระธรรมกาย หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะตามพระพุทธองค์ไปด้วย

* มก. พุทธคุณกถา เล่ม ๑ หน้า ๑๘๕

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/8007
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *