แสนโกฏิจักรวาล
การเจริญสมาธิภาวนาเป็นทางลัดที่สุด ที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ถ้ามีความบริสุทธิ์มาก ความสุขก็เกิดขึ้นมาก ถ้ามีความบริสุทธิ์น้อย ความสุขก็ลดหย่อนลงไป ความบริสุทธิ์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เป็นสิ่งที่สั่งสมได้ถ้าเราเจริญภาวนาทุกๆ วัน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมความสุขความบริสุทธิ์ จะทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตล้วนปรารถนา เหมือนพระบรมศาสดาของเรา ที่ดำรงตนเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลกทั้งหลาย ดังนั้นเราจึงควรหมั่นเจริญภาวนา เพื่อให้ชีวิตของเราเข้าถึงความสุข และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
มีวาระพระบาลีใน มธุรัตถวิลาสินี ว่า
“สตฺตกาโย จ อากาโส จกฺกวาฬา อนนฺตกา
พุทฺธญาณํ อปฺปเมยฺยํ น สกฺกา เอเต วิชานิตุ
หมู่สัตว์ ๑ อากาศ ๑ จักรวาลไม่มีที่สุด ๑ และพระพุทธญาณอันหาประมาณมิได้ ๑ ทั้ง ๔ อย่างนี้ ใครๆ ไม่อาจรู้ได้”
มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ที่เป็นความลี้ลับของโลกและชีวิต ที่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ เพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์นักดาราศาสตร์หรือผู้ที่แสดงตนว่าเป็นผู้รู้ทั้งหลาย ก็ไม่สามารถกำหนดรู้ได้ เพราะอยู่เหนือขีดความสามารถที่จะหยั่งถึงได้ ถ้าอยากรู้ว่าหมู่สัตว์ในโลก และจักรวาลนี้ ทั้งที่เป็นมนุษย์ และไม่ใช่มนุษย์มีจำนวนเท่าไร ก็สำรวจไม่ได้ เพราะสัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์น้ำ กระทั่งสัตว์เลื้อยคลาน ถ้าจะให้นับแล้วก็มากมายก่ายกอง นับอย่างไรก็ไม่หมด อีกทั้งการเวียนว่ายตายเกิดซํ้าแล้วซํ้าเล่า ก็ยังเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดากำหนดรู้ไม่ได้ว่า ตายจากตรงนี้แล้วจะไปบังเกิดที่ไหนต่อ ชาวสวรรค์เป็นอยู่กันยังไงก็ตื้อตันเสียแล้ว อากาศที่เราหายใจมีได้อย่างไร จักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงไหน ยังไม่มีใครตอบได้เลย
เนื่องจากความสามารถที่เกิดจากจินตมยปัญญา และสุตมยปัญญาของมนุษย์มีขีดจำกัด แต่พลานุภาพของใจที่เกิดจากภาวนามยปัญญานี้ เป็นความสามารถที่ไร้ขอบเขต และหาประมาณมิได้ เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราที่ได้รับการเฉลิมพระนามว่า เป็นสัพพัญญู เพราะทรงรู้แจ้งทุกอย่าง เมื่อพระองค์ตรวจดูหมื่นโลกธาตุ ทรงเห็นทะลุปรุโปร่งหมดตั้งแต่สมัยที่ได้ตรัสรู้ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ทรงเป็นโลกวิทู คือ ผู้รู้แจ้งโลก ไม่ว่าจะเป็นความลี้ลับซับซ้อนในโลกนี้ ถ้าพระองค์อยากรู้เรื่องอะไร สิ่งนั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน หรือมีอะไรมาปกปิดไว้ พระองค์จะอาศัยธรรมจักษุ มองเห็นได้ชัด เหมือนนำสิ่งนั้นมาตั้งอยู่ต่อหน้ากันเลยทีเดียว ทรงรู้เห็นกระทั่งความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์ พรหม อรูปพรหม ทะลุไปถึงพระนิพพาน เพราะไม่มีอะไรจะมาปิดบังดวงปัญญาของพระพุทธองค์ได้
พระอานนท์เถระ ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นอริยสาวกที่ใคร่ในการศึกษา ท่านเองเป็นเพียงพระโสดาบันบุคคลเท่านั้น ความรู้ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการฟัง การสนทนาธรรม และไต่ถามปัญหากับพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นความโชคดีของท่านที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับยอดผู้รู้ เมื่อท่านอยากรู้เรื่องอะไรก็ทูลถามพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ไม่ทรงปิดบังอำพราง ทรงตอบปัญหาในทุกๆ คำถาม เพราะคำถามแต่ละเรื่องเป็นเรื่องที่น่าตอบทั้งนั้น ในที่นี้ จะนำคำถามที่ท่านได้ทูลถามถึงความลี้ลับของโลก และจักรวาลมาเล่า เพื่อเพิ่มเติมภูมิปัญญาของทุกท่าน
* ในสมัยหนึ่งหลังจากพระเถระนั่งสมาธิอยู่ตามลำพังแล้ว ท่านเกิดความสังสัยในเรื่องของโลกธาตุขึ้นมา จึงได้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าในอดีตกาล ยืนอยู่บนพรหมโลก เปล่งรัศมีออกจากกาย กำจัดความมืดมนอนธการใน ๑,๐๐๐ จักรวาล กำจัดทิฐิมานะของพวกพรหมแล้วแสดงธรรมิกถาให้เทวดา และมนุษย์ใน ๑,๐๐๐ โลกธาตุได้ยินเสียงของตน แล้วหากเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงสามารถตรัสให้โลกธาตุได้ยินพระสุรเสียงได้เท่าไร พระเจ้าข้า“
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงตอบตรงๆ แต่ตรัสว่า “ขนาดพระสาวกยังทำได้ถึงเพียงนั้น แล้วจะกล่าวไปไยกับพระตถาคตทั้งหลาย ที่ไม่มีใครจะเปรียบปานได้ ดูก่อนอานนท์เธอพูดอะไรอย่างนี้ พระสาวกดำรงอยู่ในญาณเฉพาะส่วน แต่พระตถาคตเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ อีกทั้งบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ มีพระญาณหาประมาณมิได้ เธอพูดอย่างนั้นก็เหมือนกับเอาปลายเล็บช้อนฝุ่นขึ้นมาเปรียบกับฝุ่นในพื้นมหาปฐพี เพราะวิสัยของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง กำลังรู้ญาณของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง กำลังรู้ญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง“
ท่านพระอานนท์ฟังแล้ว ไม่ลดละความพยายามใคร่รู้ จึงทูลถามซํ้าอีก เพราะอยากรู้ว่า พระพุทธองค์ทรงทำได้แค่ไหน ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเช่นเดิม เมื่อกราบทูลถามครั้งที่สาม พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า “เธอเคยได้ฟังหรือไม่ อานนท์ สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ” “ไม่เคยได้ยินพระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้นเธอจงฟังกระทำไว้ในใจให้ดี” จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องโลกธาตุให้ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเรื่องราวเหล่านี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ที่จะไปตรวจดูโลกธาตุ แต่พุทธญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นอัปปมัญญา คือ ไม่มีประมาณ ใครๆ ก็กำหนดไม่ได้
พระพุทธองค์ตรัสว่า “อานนท์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์แผ่รัศมี ส่องแสงทำให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกก็มีเนื้อที่เท่านั้น ในจำนวน ๑,๐๐๐ จักรวาล มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร มีมหาราชผู้ปกครองทวีปอย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลกชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ หมายถึง โลกธาตุอย่างเล็กมี ๑,๐๐๐ จักรวาล
สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุมีเท่าไร ให้นำโลกจำนวนเท่านั้นคูณด้วย ๑,๐๐๐ ก็จะกลายเป็นทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ คือ โลกธาตุอย่างกลางมี ๑,๐๐๐,๐๐๐ จักรวาล ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ มีประมาณเท่าใด ให้นำโลกจำนวนเท่านั้นคูณด้วย ๑,๐๐๐ ท่านเรียกว่า ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ หมายถึง โลกธาตุอย่างใหญ่มี ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิจักรวาล อานนท์ ตถาคตเมื่อมีความจำนงจะพูดให้ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุได้ยินเสียงก็สามารถทำได้ หรือให้ยิ่งกว่านั้นก็สามารถทำได้”
พระอานนท์ทูลถามต่อไปว่า “พระองค์ทรงทำอย่างไร ทั้งติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุจึงได้ยินเสียงของพระองค์ทั้งหมดเลย”
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ตถาคตอยู่ในที่นี้ จะแผ่รัศมีไปทั่วติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ เมื่อสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุเหล่านั้นรู้จักแสงสว่างนั้น ตถาคตก็บันลือเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน ประหนึ่งว่าพูดให้เฉพาะตน นี่แหละคือพุทธานุภาพที่ไม่มีประมาณ ที่ไม่มีใครจะยิ่งกว่าหรือเสมอเหมือน“
ทันทีที่จบพุทธดำรัส พระอานนท์ถึงกับอุทานออกมาว่า “เป็นลาภของเราหนอ เราได้ฟังดีแล้วหนอ พระบรมศาสดาเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพใหญ่หลวงถึงเพียงนี้”
ฝ่ายพระอุทายีได้ยินเสียงของพระอานนท์เปล่งอุทานก็เกิดความรำคาญ จึงกล่าวขัดคอว่า “อาวุโสอานนท์ ท่านฟังในเรื่องที่ตนเองไม่รู้ไม่เห็นอย่างนี้ จะได้ประโยชน์อะไร ทำไมต้องอัศจรรย์ใจเลื่อมใสถึงเพียงนั้นเล่า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าสดับเช่นนั้น จึงตรัสบอกพระอุทายีว่า “อย่าพูดอย่างนั้นเลยอุทายี ถ้าอานนท์จะพึงเป็นผู้ยังไม่สิ้นราคะ ในภพชาตินี้ เมื่อละโลกไปแล้ว ด้วยความที่จิตเลื่อมใสในเราที่ได้ฟังเรื่องแสนโกฏิจักรวาลนี้ เธอจะพึงได้เป็นเทวราชาในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติที่รุ่งเรือง ๗ ชาติ เป็นมหาราชาในชมพูทวีปนี้ ๗ ชาติ แต่อานนท์จักได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และปรินิพพานในปัจจุบันชาตินี้”
นี่เป็นพุทธานุภาพย่อๆ ที่หลวงพ่อนำมาแสดงให้ได้รับรู้กันไว้ว่า โลกและจักรวาลนี้มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มนุษย์ ๖,๐๐๐ กว่าล้านคนบนโลกใบนี้ เปรียบเสมือนเศษเสี้ยวธุลีในเล็บมือของเรา เมื่อเปรียบกับฝุ่นในจักรวาล ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมาย ไม่ว่าจะมีอุปกรณ์ใดๆ ในโลกนี้ที่ว่ามีขีดความสามารถสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะไปพิสูจน์โลก และจักรวาลได้ มีเพียงใจที่หยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถพิสูจน์ได้ และรู้เห็นได้ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง วิชชาความรู้เหล่านี้มีสอนกันแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น จะอาศัยแต่ตำรับตำราเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องศึกษาโดยลงมือปฏิบัติด้วย คือฝึกทำใจให้หยุดนิ่งด้วย ถึงจะไปรู้ไปเห็นได้ เพราะฉะนั้น หลวงพ่ออยากให้ทุกๆ ท่าน มาเป็นนักศึกษาค้นคว้า พิสูจน์กันให้เห็นจริงด้วยการทำใจให้หยุดนิ่งให้ถูกส่วน จนเข้าไปพบกับผู้รู้แจ้งภายในกันทุกๆ คน
* มก. จูฬนีสูตร เล่ม ๓๔ หน้า ๔๓๑
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/8070
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
🏵️🌺🌸💮🌼🌷🌷🌼💮🌸🌺🏵️