สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา

การได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการได้สิ่งที่ประเสริฐ ยิ่งกว่าการได้สมบัติใดๆในโลก เพราะมนุษยสมบัติเป็นอุปกรณ์สำคัญ ที่จะทำให้เราได้โลกุตรสมบัติ คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน ถ้าเราสร้างบุญกันเต็มที่ บุญก็จะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ จนกว่าจะได้บรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต และในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะไม่พลัดตกไปในอบายภูมิ จะมีสุคติภูมิเป็นที่ไป  เพราะฉะนั้นให้เร่งรีบสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ ทำความดีให้ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะบุญใหญ่ ที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ที่เราจะต้องรีบลงมือปฏิบัติทันที

มีวาระพระบาลีที่พระสาครเถระกล่าวไว้ว่า
“ผู้ใดพึงบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ยังดำรงพระชนมชีพอยู่ก็ดี พึงบูชาพระบรมธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด แม้พระองค์ท่านนิพพานแล้วก็ดี  เมื่อจิตอันเลื่อมใสของผู้นั้นเสมอกัน บุญก็มีผลมากเสมอกัน  เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำสถูปบูชาพระบรมธาตุของพระชินเจ้าเถิด”

พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า หรือพระธาตุของพระอรหันต์ทั้งหลาย จะมีลักษณะที่พิเศษกว่ากระดูกของมนุษย์ทั่วๆไป เพราะพระอริยเจ้าเหล่านั้นท่านบำเพ็ญภาวนา กลั่นกายวาจาใจ ธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ ในตัวของท่านให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา จนอาสวกิเลสทั้งหลายหลุดล่อนไปจากใจ นอกจากใจจะใสสะอาดแล้ว กาย และพระอัฐิธาตุของท่านซึ่งเป็นธาตุหยาบๆ ที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย  เมื่อสังขารร่างกายถูกเผาไป พระบรมธาตุของท่านจึงมีความบริสุทธิ์เหมือนดอกมะลิตูม หรือใสเหมือนแก้วมุกดาที่เจียรไนแล้ว หรือเหมือนจุณทองคำหลงเหลือให้ผู้มีบุญได้เห็น

* เนื่องจากพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทรงมีพระชนม์เพียง ๘๐ ชันษาก็ดับขันธปรินิพพาน  เพราะฉะนั้น พระองค์จึงดำริว่า ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปไกล  เมื่อเราปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระบรมธาตุ แม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำเจดีย์บูชาด้วยจิตเลื่อมใส จะมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

เพราะฉะนั้น  เมื่อพุทธบริษัททั้ง ๔ ได้ทำการประชุมเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์แล้ว พระบรมสารีริกธาตุ ๗ อย่าง คือ พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ พระรากขวัญ ๒ และพระอุณหิส จะไม่กระจัดกระจายไปไหนจะอยู่รวมกัน ส่วนพระบรมสารีริกธาตุนอกนั้นกระจัดกระจายกันไป มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหักกลาง ขนาดใหญ่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง ซึ่งหลายๆ ท่านคงเคยเห็นพระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นมาบ้างแล้ว

ในพระบาลีได้บันทึกไว้เกี่ยวกับการปฏิบัติ ต่อพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หลังจากที่ได้เสร็จสิ้น การประชุมเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์แล้ว เหล่ามัลลกษัตริย์ต่างรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุมาบูชา ส่วนกษัตริย์จากเมืองต่างๆ พากันยกทัพมาขอเพื่อนำไปสักการบูชาบ้าง กษัตริย์ทั้ง ๘ เมือง ที่ยกทัพมาในสมัยนั้น ได้แก่ พระเจ้าอชาตศัตรูจากแคว้นมคธ กษัตริย์ลิจฉวีเมืองเวสาลี เจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ กษัตริย์ถูลีเมืองอัลลกัปปะ กษัตริย์โกลิยะเมืองรามคาม พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปะ พวกเจ้ามัลละเมืองปาวา และพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา

เมื่อโทณพราหมณ์ได้ฟังเรื่องการวิวาทของกษัตริย์แต่ละเมืองแล้ว ก็ดำริว่า การทะเลาะกันถึงขั้นต้องทำสงคราม เพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุนั้น เป็นการไม่สมควรยิ่ง จึงได้กล่าวสุนทรวาจาทำการไกล่เกลี่ย และตกลงกับพระราชาแต่ละเมืองว่า จะแบ่งพระบรมธาตุให้ไปบูชากันทั้งหมด กษัตริย์ทุกองค์จึงยินยอม

โทณพราหมณ์ สั่งให้เปิดรางทอง และทำการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วน ให้กษัตริย์ทุกๆ พระองค์ ส่วนตนเองได้ถือโอกาสขณะที่ทุกคนเผลอ หยิบฉวยพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาเก็บไว้ในระหว่างผ้าโพก เจ้าเมืองแต่ละพระองค์ได้ไปองค์ละ ๒ ทะนานพอดี รวมเป็น ๑๖ ทะนาน  ขณะโทณพราหมณ์กำลังแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ท้าวสักกะจอมเทพสำรวจดูก็ทรงรู้ว่า โทณพราหมณ์ฉกเอาพระเขี้ยวแก้วไป จึงเสด็จลงจากเทวโลก อธิษฐานอาราธนาพระเขี้ยวแก้วให้เคลื่อนจากผ้าโพกมาประดิษฐานในผอบทองคำ จากนั้นทรงนำไปประดิษฐานไว้ ณ พระจุฬามณีเจดีย์ในเทวโลก พระอินทร์ไม่ได้ขโมย แต่ได้มาด้วยพุทธานุภาพ เพราะพระบรมสารีริกธาตุนี้สมควรกับผู้มีบุญในสวรรค์

ครั้นพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแล้วไม่เห็นพระเขี้ยวแก้ว แต่เพราะตนฉกเอาโดยกิริยาของขโมย จึงไม่กล้าถามใครๆ ได้แต่คิดตำหนิตนเอง ที่ไม่สามารถรักษาพระเขี้ยวแก้วไว้ได้ มองเห็นเพียงทะนานทองคำที่ใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงขออนุญาตนำทะนานนั้นไปบูชา

ส่วน เจ้าโมริยะเมืองปิปผลิวัน ได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานในเมืองกุสินารา จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา เพื่อขอพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จะได้นำกลับไปประดิษฐาน เพื่อให้มหาชนได้สักการบูชา จะได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

เนื่องจากโทณพราหมณ์ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปหมดแล้ว เหลือแต่พระอังคารเท่านั้น พวกทูตมาแล้วก็ไม่ยอมให้เสียเที่ยว คิดว่าดีกว่าไม่ได้อะไรกลับไป จึงชักชวนกันกวาดพระอังคารกลับไปบูชา สรุปแล้ว พระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในสมัยแรกๆ มี ๘ แห่ง รวมที่บรรจุทะนานทอง และพระสถูปบรรจุพระอังคารจึงเป็น ๑๐ แห่ง เมื่อกษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับไปแล้ว ต่างทำการก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ และทำการฉลองกันตลอด ๗ วัน ๗ คืน

** อานิสงส์ในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย ถ้าบูชาด้วยจิตเลื่อมใสกันจริงๆ จะบังเกิดเป็นอานิสงส์ใหญ่ เหมือนตัวอย่างของ พระสปริวาริยเถระ   เมื่อท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และได้ระลึกชาติไปดูภาพการสร้างบารมีในอดีตของตัวท่านว่า ได้สั่งสมบุญอะไรไว้บ้างจึงทำให้ได้บรรลุพระอรหัต ท่านได้พบว่าตัวท่านเคยบำเพ็ญบุญ ในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ โดยเฉพาะในยุคสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ท่านได้เกิดเป็นบุตรมหาเศรษฐีประจำเมือง

เมื่อพระบรมศาสดาดับขันธปรินิพพานแล้ว มหาชนได้เก็บพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ไว้ และช่วยกันสร้างมหาเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อุบาสกแก้วท่านนี้ได้ร่วมบริจาคทรัพย์ เพื่อสร้างเรือนครอบพระเจดีย์ด้วยแก่นไม้จันทน์ อีกทั้งได้สักการบูชาพระสถูปนั้น ด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาจนตลอดชีวิต ด้วยบุญกุศลนั้น ทำให้ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลก และมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติใหญ่ในโลกทั้งสอง

ครั้นมาในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าของเรา ท่านได้จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีผู้ใจบุญ เมื่ออายุครบบวชก็ตัดสินใจออกบวชด้วยศรัทธา บวชได้ไม่นานสามารถทำใจให้หยุดนิ่งได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์  และเมื่อระลึกถึงบุพกรรมนี้ ท่านบังเกิดความปีติโสมนัส ถึงกับเปล่งอุทานว่า

“ด้วยอานิสงส์ที่เราได้บูชาพระสถูป ด้วยไพรทีไม้จันทน์ในครั้งนั้น ในภพที่เราเกิดทั้งที่เป็นเทวดาหรือมนุษย์ เราไม่เห็นความที่เราเป็นผู้ต่ำทรามเลย ในกัปที่ ๑,๕๐๐ จากกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ ครั้ง ทรงพระนามว่าสมัตตะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว”

จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า อานิสงส์ของการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้จะทรงพระชนม์อยู่ หรือดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม ผลบุญไม่ต่างกันเลย เพราะพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย ผลบุญของผู้บูชาพระพุทธเจ้าจึงเป็นอจินไตย คือ คำนวณบุญกันไม่ถูกว่า จะได้บุญมากมายเพียงไร เหมือนเม็ดฝนที่ตกลงในจักรวาลที่ไม่มีลมพายุ ยากที่จะคำนวณได้ว่ามีปริมาณเท่าใด

เพราะฉะนั้น ให้ทุกท่านหมั่นบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา และอามิสบูชา สำหรับท่านใดที่มีพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ ให้เก็บรักษาบูชาด้วยความเคารพ ครั้งใดที่เห็นพระธาตุที่ใสบริสุทธิ์แล้ว จะได้เกิดกำลังใจที่จะชำระกาย วาจา ใจของเราให้ใสบริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไป ชีวิตของเราจะได้มีสุคติเป็นที่ไป และใจของเราจะถูกยกให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุจุดสูงสุดของชีวิต คือ ได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันทุกคน

*     มก. อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร เล่ม ๑๓ หน้า ๔๖๐

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/8325
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา”

  1. 🌿🌷น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ
    🏵️🌼💐🌺💮🏵️💮🌺💐🌼🏵️🌷🌿

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *