พระสัพพัญญุตญาณ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้บริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะต้องทำยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เราก็เช่นเดียวกัน ควรดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระพุทธองค์ โดยมุ่งทำความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ เป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นให้เป็นเรื่องรองลงมา เพราะเรายังมีกิจที่จะต้องทำให้รู้แจ้งว่า เราเกิดมาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต เพราะฉะนั้น เราจึงควรหมั่นฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้หยุดให้นิ่งเสมอ กระทั่งเข้าถึงผู้รู้แจ้งภายใน คือ พระธรรมกาย
มีวาระพระบาลีใน อรรถกถามัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ว่า
“พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีคุณใหญ่หลวง สิ่งที่เป็นสิ่งของใหญ่แม้อย่างอื่น ย่อมมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น แผ่นดินใหญ่มีแผ่นดินเดียว สาครใหญ่ก็มีเพียงสาครเดียว ขุนเขาสิเนรุใหญ่ประเสริฐสุดก็มีลูกเดียว อากาศกว้างใหญ่ ก็มีแห่งเดียว ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ก็มีองค์เดียว ท้าวมหาพรหมก็มีองค์เดียว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น ท่านเหล่านั้นอุบัติขึ้นในที่ใด คนเหล่าอื่นย่อมไม่มีโอกาสในที่นั้น เพราะเหตุนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เดียวเท่านั้นอุบัติขึ้นในโลก”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพไม่มีประมาณ ทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง ทรงเป็นสัพพัญญู คือ รู้ทุกสิ่งที่ประสงค์อยากจะรู้ ทรงมีพุทธวิสัยที่เป็นอจินไตย เกินกว่าการนึกคิดคาดเดาของมนุษย์และเทวา อีกทั้งมีพระมหากรุณาที่กว้างใหญ่เกินกว่าจักรวาล สูงส่งเกินกว่าเขาพระสุเมรุ มีพระทัยหนักแน่นยิ่งกว่าแผ่นดิน มีพระปัญญาที่ลึกลํ้ายิ่งกว่ามหาสมุทรใดๆ ทรงยิ่งใหญ่กว่าท้าวสักกะและมหาพรหมทั้งสิ้น เพราะทรงรู้ทุกอย่างด้วยอานุภาพของพระพุทธญาณ ที่แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล
*หลายท่านที่ศึกษาธรรมะแล้ว อาจยังเข้าใจไม่แจ่มแจ้งว่า คำว่า สัพพัญญูพุทธเจ้าหมายถึงอะไร จากการปุจฉาวิสัชนา ระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์นั้นท่านได้กล่าวถึงเรื่องสัพพัญญูพุทธเจ้าไว้ โดยที่พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูรอบรู้ในทุกสิ่งจริงหรือ”
พระเถรเจ้าตอบว่า “ขอถวายพระพร จริง แต่ความรู้ความเห็นของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ปรากฏอยู่เป็นนิตย์ คือ เป็นของเนื่องด้วยการนึก ถึงด้วยจิตอยากรู้สิ่งใด ก็ทรงรู้สิ่งนั้นทันที สิ่งที่เห็นก็เป็นของจริง เพราะทรงรู้ด้วยญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์”
“ข้าแต่พระนาคเสน หากความรู้สิ่งทั้งปวงยังเป็นของต้องแสวงหาอยู่ ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระสัพพัญญูสิ” “ขอถวายพระพร หากมีข้าวเปลือกอยู่ ๑๐๑ เกวียน บุคคลตักออกคราวละ ๕ ทะนาน จึงจะรู้ได้ว่ามีทั้งหมดกี่ทะนาน แต่ขณะจิตของพระพุทธองค์ที่เป็นไปเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ก็สามารถกำหนดข้าวเปลือกได้ว่ามีกี่ทะนาน จิตมีอยู่ ๗ ชนิด ดังนี้
จิตดวงที่ ๑ หมายถึง บุคคลเหล่าใดไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล สมาธิ ปัญญา จิตของบุคคลเหล่านั้นย่อมเกิดช้า เป็นไปช้า เพราะไม่ได้อบรมจิต เช่นเดียวกับบุคคลตัดไม้ไผ่ที่แขนง ซึ่งเกี่ยวกระหวัดรัดรึงหุ้มห่อรกรุงรัง ทำให้ขาดแล้ว ย่อมดึงมาได้ช้า ฉะนั้น
จิตดวงที่ ๒ หมายถึง จิตของพระโสดาบันผู้พ้นอบายแล้ว ผู้ถึงกระแสพระนิพพาน รู้แจ้งพระพุทธศาสนา จิตของพระโสดาบันเกิดไว เป็นไปไวในที่ทั้งสาม แต่เกิดช้า เป็นไปช้าในชั้นสูงขึ้นไป เพราะยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูง เหมือนบุคคลตัดไม้ไผ่แล้ว ลิดข้อลิดปมได้เพียง ๓ ข้อ แต่ยังไม่ได้ตัดยอดเบื้องบนให้ขาด ให้หายรุงรัง ก็ดึงมาได้ช้า
จิตดวงที่ ๓ หมายถึง จิตของพระสกิทาคามี ผู้มีราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงมาก ย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็ว แต่ยังถือว่าเกิดช้า เป็นไปช้าในชั้นสูงขึ้นไป เสมือนบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อได้ห้าข้อให้ขาดแล้ว ก็ดึงมาได้เล็กน้อย แต่ข้างปลายยังรกรุงรังอยู่ ทำให้ดึงมาได้ช้า เพราะเบื้องบนยังรุงรัง ซึ่งเปรียบเหมือนยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูง
จิตดวงที่ ๔ หมายถึง จิตของพระอนาคามีที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่างได้ขาดแล้ว จิตของพระอนาคามีย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็ว แต่เกิดช้า เป็นไปช้าในชั้นสูงขึ้นไป เพราะยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูง เหมือนบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้งสิบให้เกลี้ยงเกลาดีแล้ว ย่อมดึงมาได้เร็วเพียง ๑๐ ปล้อง พ้นจากนั้นก็ยังดึงมาได้ช้า
จิตดวงที่ ๕ หมายถึง จิตของพระอรหันต์ ผู้สิ้นอาสวกิเลสแล้ว ย่อมเป็นจิตที่เกิดเร็ว เป็นไปเร็วในวิสัยของสาวก แต่เกิดช้า เป็นไปช้าในภูมิของพระปัจเจกพุทธเจ้า เปรียบเหมือนบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้งปวงให้ตลอดลำแล้ว ย่อมดึงมาได้เร็ว
จิตดวงที่ ๖ หมายถึง จิตของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีอาจารย์ เกิดได้เร็ว เป็นไปเร็วในภูมิของตนเท่านั้น แต่เกิดช้า เป็นไปช้าในภูมิของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เพราะภูมิของพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น เป็นของใหญ่ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ไม่กลัวน้ำ ย่อมว่ายข้ามแม่นํ้าน้อยได้สบาย แต่ครั้นออกไปถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มองไม่เห็นฝั่ง ก็ว่ายไปได้ช้า หรือไม่อาจข้ามไปได้
จิตดวงที่ ๗ หมายถึง จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้ทรงทศพลญาณ จตุเวสารัชญาณ ประกอบด้วยพุทธธรรม ๑๘ มีญาณไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมเกิดรวดเร็ว เป็นไปรวดเร็วในสิ่งทั้งปวง เพราะจิตบริสุทธิ์ในสิ่งทั้งปวง เหมือนลูกศรที่ไม่มีข้อไม่มีปม เกลี้ยงเกลา ไม่มัวหมอง ซึ่งนายธนูยิงไปที่ผ้าฝ้ายหรือผ้ากัมพลเนื้อละเอียด ลูกศรนั้นสามารถทะลุไปได้อย่างรวดเร็ว เหมือนความคิดของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ที่ทะลุปรุโปร่งไปในสิ่งทั้งปวงได้รวดเร็ว
จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ได้ล่วงเลยจิตทั้งหกไปแล้ว เป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นจิตรวดเร็ว หาเครื่องเปรียบมิได้ เพราะเหตุที่จิตของพระพุทธเจ้า เป็นจิตบริสุทธิ์รวดเร็วนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ได้ จิตของพระพุทธเจ้าขณะทรงทำยมกปาฏิหาริย์นั้น เป็นไปรวดเร็วนัก ไม่มีใครอาจชี้แจงเหตุการณ์ได้ มหาบพิตร ปาฏิหาริย์เหล่านั้น เมื่อเทียบกับจิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ย่อมไม่ได้เสี้ยวหนึ่ง เพราะพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า เนื่องด้วยการนึกด้วยจิตนั้น ทันทีที่นึกก็รู้ได้ตามพระประสงค์
อุปมาเหมือนคนที่มีทรัพย์สมบัติมาก มีเครื่องกินเครื่องใช้ไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะมีแขกมาหาซึ่งเป็นผู้ควรต้อนรับ อาหารทุกอย่างเตรียมไว้แล้ว เพียงคดข้าวออกจากหม้อเท่านั้น แต่แม้ข้าวยังไม่ถูกคดออกมา บุคคลนั้นก็ยังชื่อว่า เป็นผู้มีทรัพย์มากเหมือนเดิม คือ ข้าวปลาอาหารมีพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่บุคคลนั้น จะตักมารับประทานเมื่อไรเท่านั้น
พระสัพพัญญุตญาณก็เช่นเดียวกัน จะเกิดอานุภาพต่อเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอาวัชชนาการถึง คือ ทันทีที่นึก ก็รู้ได้ตามพระประสงค์ เหมือนต้นมะม่วงที่มีผลดกเต็มต้น ยังไม่มีผลหล่นลงมา ขณะรอเวลาให้ผลหล่นลงมา จะบอกว่าต้นไม้ไม่มีผลก็ไม่ได้ เพราะต้นไม้เนื่องด้วยการหล่นลงของผลมะม่วง เมื่อผลหล่นลง คนก็เก็บได้ตามประสงค์ พระสัพพัญญุตญาณ ก็เนื่องด้วยการนึกของพระพุทธเจ้าเช่นกัน หากทรงนึกก็รู้ทันที เช่นเดียวกับพระเจ้าจักรพรรดิ หากทรงนึกถึงจักรแก้ว จักรแก้วก็มาปรากฏทันที
นี่เป็นคำอธิบายย่อๆ เกี่ยวกับความเป็นสัพพัญญู คือ ผู้รู้รอบ รู้กว้าง รู้ไกล และรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสงค์อยากจะรู้ ทรงรู้แจ้งทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันตร์ ไม่มีอะไรปิดบังพุทธญาณอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ แม้จะนำอุปมาอุปไมยมาเปรียบเทียบพอให้เข้าใจก็ตาม แต่อานุภาพของพระสัพพัญญุตญาณนั้นเป็นอจินไตย ยากที่ใครๆ จะกำหนดรู้ได้ ยกเว้นเราได้เข้าถึงพระธรรมกาย ได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย เราย่อมเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้แจ่มแจ้งขึ้น
ฉะนั้น ให้หมั่นปฏิบัติธรรม หมั่นนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธองค์ผู้บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสอาสวะทั้งปวง เมื่อใจเราน้อมไปถึงบุคคลผู้บริสุทธิ์ ย่อมเป็นเหตุให้กาย วาจา ใจของเรา สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสตามไปด้วย เมื่อนั้นเราจะสมปรารถนาในทุกสิ่งกันทุกคน
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/9286
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article