มงคลที่ ๒๑ ไม่ประมาทในธรรม – ความไม่ประมาท

มงคลที่ ๒๑ ไม่ประมาทในธรรม – ความไม่ประมาท

มนุษย์ทุกชาติทุกศาสนา ล้วนปรารถนาให้โลกมีสันติสุขที่แท้จริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบว่า วิธีการที่จะทำให้โลกเกิดสันติสุขที่แท้จริงนั้น จะต้องให้ทุกคนในโลกเข้าถึงสันติสุขภายในก่อน คือ เข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คน ธรรมกายเป็นแหล่งกำเนิดของความสุข ความบริสุทธิ์ เป็นแหล่งของสติ แหล่งของปัญญา เมื่อเข้าถึงแล้ว มนุษย์จะมีความคิด คำพูด และการกระทำที่ดี มีจิตเปี่ยมด้วยเมตตาปรารถนาดีต่อกัน จะมีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน เมื่อนั้นสันติสุขที่แท้จริงก็จะบังเกิดขึ้นในโลก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน สติปัฏฐานสูตร ว่า

หนทางนี้เป็นทางสายเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศก และปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง หนทางสายนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ มีการพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เมื่อมีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ ย่อมกำจัดอวิชชา และโทมนัสในโลกได้

พระพุทธองค์ทรงสอนสัตวโลก ให้ปฏิบัติตามหลักใน สติปัฏฐาน ๔ ซึ่งสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องการความบริสุทธิ์หมดจดจากสรรพกิเลส จะต้องทำความเพียรให้แก่กล้า มีสติสัมปชัญญะ วางใจเป็นกลางๆ ไม่ให้ติดอะไรในโลกนี้ ไม่ให้ยินดียินร้าย เพราะว่าของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

สรรพสัตว์ และสรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ล้วนตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ที่ทรงสอนเช่นนี้ เพื่อให้เราไม่ติด ไม่ยึดมั่นถือมั่น จะได้ละวาง ปล่อยหลุด ปล่อยพ้น มุ่งเข้าหาสิ่งที่เป็นนิจจัง เป็นสุขัง และเป็นอัตตา ท่านให้พิจารณาอย่างหนึ่ง เพื่อมุ่งเข้าหาอีกอย่างหนึ่ง

ท่านให้ตามเห็นกายในกายเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อใจปล่อยวางโลกภายนอก ปล่อยวางกายภายนอก คือ กายมนุษย์หยาบ ใจก็มุ่งเข้าไปสู่ภายในตรงฐานที่ ๗ ไปพบดวงธรรมภายใน หยุดนิ่งต่อไปก็จะพบกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ไปตามลำดับ พอถึงกายธรรมเท่านั้น หลุดพ้นจากกายเหล่านี้ทั้งหมด

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ตามเห็นกายในกายเข้าไปอย่างนี้ เพราะฉะนั้น กายธรรมนี่แหละเป็นหลักของพระพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าเริ่มต้นจากธรรมกาย และเมื่อพระองค์เข้าถึงกายธรรมละเอียด ที่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง   ไม่ติดอะไรเลยในภพทั้งสาม มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ พระพุทธองค์จึงปฏิญาณตนว่า ทรงเป็นพระอรหันตสัมมา-   สัมพุทธเจ้า

การที่จะเข้าไปเห็นกายต่างๆ ดังกล่าว มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ ฝึกใจให้หยุดนั่นเอง หยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่าให้คลาดเคลื่อน จะต้องมีสติเสมอ สติ คือ ทำใจหยุดนิ่งอยู่กลางกายไม่ให้เผลอ  ดังนั้น จะต้องเจริญสติให้ใจตั้งมั่นเป็นสมาธิเสมอ เหมือนดังชาวแคว้นกุรุในสมัยพุทธกาล

*ชาวแคว้นกุรุทุกคนล้วนมีจิตใจเข้มแข็ง สภาพภูมิอากาศก็เป็นที่สบาย ที่เรียกว่าเป็นสัปปายะ จึงสามารถรับฟังพระธรรมเทศนาที่ลึกซึ้งได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นความพร้อมในการรองรับธรรมะของชาวกุรุ  จึงทรงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตรให้ฟัง

ชาวกุรุต่างเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ คือ การตั้งสติ กำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง แม้กระทั่งคนรับใช้ยังสนทนากันแต่เรื่องที่เกี่ยวกับสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะเป็นที่ท่าน้ำหรือที่ไหนๆ ชาวเมืองจะไม่พูดกันในเรื่องไร้สาระ ถ้ามีใครถามว่า ท่านยังใส่ใจในการเจริญสติปัฏฐานตลอดเวลาไหม หากคนนั้นไม่ค่อยได้ปฏิบัติหรือตอบไม่ได้ ก็จะถูกติเตียนว่า ชีวิตของท่านเปล่าประโยชน์ แม้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายแล้ว ขอท่านอย่าได้ประมาทอีกเลย พวกเขาจะให้สติ และแนะนำการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานต่อไป

หากตอบว่า ยังใส่ใจในการเจริญสติปัฏฐานอยู่ ชาว กุรุจะกล่าวคำชื่นชมสรรเสริญว่า ชีวิตของท่านประเสริฐแล้ว นับเป็นบุญลาภที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา      มีชีวิตที่ไม่เปล่าประโยชน์  ไม่เพียงแต่ชาวกุรุที่เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้น ที่ตั้งใจในการเจริญสติปัฏฐาน แม้แต่สัตว์เดียรัจฉาน ก็ใส่ใจในการเจริญสติปัฏฐานด้วยเหมือนกัน คือ มีนักฟ้อนคนหนึ่ง ได้จับลูกนกแขกเต้ามาเลี้ยง และสอนให้พูดภาษาคน นักฟ้อนคนนี้ได้อาศัยอยู่ในสำนักของภิกษุณี คราวหนึ่งเขาไปเปิดการแสดงที่เมืองอื่น ได้ลืมลูกนกทิ้งไว้ สามเณรีจึงนำมาเลี้ยง และตั้งชื่อให้ว่า พุทธรักขิต

วันหนึ่ง มันบินไปจับอยู่เบื้องหน้าพระมหาเถรี พระมหาเถรีจึงกล่าวกับมันว่า เจ้าใส่ใจในการทำภาวนาอะไรบ้างไหม  ลูกนกตอบว่า ไม่มีจ้ะ คุณแม่ พระมหาเถรีจึงสอนว่า ผู้ที่อยู่ในสำนักของนักบวช จะปล่อยตัวปล่อยใจนั้นไม่สมควร เจ้าจงใส่ใจในการทำภาวนาคำว่า อัฐิ อัฐิ

ตั้งแต่วันนั้น ลูกนกก็อยู่ในโอวาทของพระมหาเถรี ไม่ว่าจะบินไปที่ไหน ก็ท่องคำว่า อัฐิ อัฐิ ตลอดเวลา เช้าวันหนึ่ง ขณะที่มันกำลังเกาะอยู่ที่ประตู เพื่อรับแดดอ่อนๆ แม่เหยี่ยวก็บินมาโฉบมันไป เหล่าสามเณรีพากันร้องตะโกนว่า พุทธรักขิต ถูกเหยี่ยวโฉบไป  ต่างช่วยกันขว้างก้อนดิน และวิ่งไล่ตาม จนในที่สุดเหยี่ยวก็ปล่อยลูกนก สามเณรีรีบนำนกมาให้พระมหาเถรี

พระมหาเถรีถามว่า พุทธรักขิต ขณะที่เจ้าถูกเหยี่ยวโฉบไป เจ้าคิดอะไร  ลูกนกตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรหรอกคุณแม่ คิดแต่ อัฐิ อัฐิ มีกองกระดูกมา พาเอากองกระดูกไป ไม่นานก็จักเรี่ยราดไปที่ไหนก็ไม่รู้ พระมหาเถรีจึงกล่าวสาธุการว่า ดีแล้วพุทธรักขิต นี้จักเป็นปัจจัยแห่งความสิ้นไปแห่งภพของเจ้า

ลองคิดดู แม้แต่สัตว์เดียรัจฉานในแคว้นกุรุ ยังประกอบด้วยการเจริญสติถึงเพียงนี้ ไม่ยอมเป็นผู้ประมาทในชีวิตแม้มีมรณภัยมาถึง เราทุกคนซึ่งได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ มีชีวิตที่ประเสริฐกว่า มีสองแขนสองขา มีสติปัญญา สามารถทำความดี ได้เต็มที่มากกว่า เราจึงควรดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งใน ปัจฉิมโอวาท ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจักเตือนเธอทั้งหลายว่า
สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน และผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราพิจารณาความเสื่อมไปของสังขารว่า เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องเจอ ทั้งคฤหัสถ์ บรรพชิต หญิงชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ สัตว์ในกำเนิดทั้งสี่ ได้แก่ สังเสทชะ คือ สัตว์เกิดในของชื้นแฉะโสโครก เช่น หนอน อัณฑชะ คือ สัตว์เกิดในไข่ ชลาพุชะ คือ สัตว์เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ โอปปาติกะ คือ สัตว์เกิดผุดขึ้นมา และโตในทันที ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ เช่น เทวดา และสัตว์นรก หรือแม้แต่วัตถุสิ่งของ ตึกรามบ้านช่อง ต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา ทุกอย่างล้วนต้องเสื่อมสลายไปหมด

ถ้าเราหมั่นนึกถึงความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ ก็จะมีสติเตือนตนเองให้ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท มีความขยันหมั่นเพียรในการทำความดีและฝึกใจให้หยุดนิ่ง หมั่นเจริญสติปัฏฐานตามเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เข้าไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดก็จะพบกายธรรมอรหัตซึ่งเป็นกายสุดท้าย เป็นกายธรรมที่ละเอียดที่สุด เป็นเป้าหมายชีวิตของทุกคน

เพราะฉะนั้น ให้ขยันปฏิบัติธรรม สั่งสมแต่ความดี ถ้าเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน ก็ให้ทำงานควบคู่กับการทำใจให้หยุดนิ่งไปด้วย งานทางใจนั้น เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด จะยืน เดิน นั่ง นอน หรือทำภารกิจอะไรก็ตาม เราสามารถฝึกใจให้หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายได้ตลอดเวลา

ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ทุกท่านปฏิบัติธรรมกันอย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน อย่าได้ขาดในการฝึกใจให้หยุดนิ่ง ไม่ว่าเราจะมีภารกิจมากน้อยเพียงไรก็ตาม เราจะไม่เอาภารกิจเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้าง แล้วเลื่อนเวลาของการปฏิบัติธรรมออกไป ทำให้เสียโอกาสในการเข้าถึงธรรม ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันทุกวัน จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริงของพวกเราทุกคน

*มก. มหาสติปัฏฐานสูตร เล่ม ๑๔ หน้า ๒๐๙

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/3320
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๔

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *