อานิสงส์ถวายศาลาจาตุรมุข

อานิสงส์ถวายศาลาจาตุรมุข (ปราสาทของอุบาสกนันทิยะ)

     จุดหมายปลายทางของทุกชีวิต คือการไปสู่อายตนนิพพาน  พระบรมศาสดาทรงเป็นต้นแบบของบุคคลที่สมบูรณ์แล้ว  ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิตแล้ว ในระหว่างที่ทรงสร้างบารมี  พระองค์ต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏยาวนาน เกิดไปเป็นอะไรต่ออะไรมากมาย  ท่านเห็นว่าชีวิตเป็นทุกข์  ไม่ว่าท่านจะเกิดเป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์  ดังนั้นท่านจึงสละราชสมบัติ แล้วมุ่งแสวงหาหนทางพระนิพพานอันเป็นบรมสุข  ด้วยการทำใจให้หยุดนิ่ง จนได้เข้าถึงกายธรรมอรหัต เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย  คาถาธรรมบทว่า
                 “ จิรปฺปวาสึ ปุริสํ           ทูรโต โสตฺถิมาคตํ
                ญาตี มิตฺตา สุหชฺชา จ       อภินนฺทนฺติ อาคตํ
                ตเถว กตปุญฺญมฺปิ            อสฺมา โลกา ปรํ คตํ
                ปุญฺญานิ ปฏิคณฺหนฺติ         ปิยํ ญาตีว อาคตํ

     ญาติ มิตร และสหายผู้มีใจดีทั้งหลาย  เห็นบุรุษผู้ไปอยู่ต่างถิ่นมานาน เดินทางกลับมาแต่ที่ไกลๆ ด้วยความสวัสดี  ย่อมยินดียิ่งว่า มาแล้ว  ฉันใด  บุญทั้งหลายก็ย่อมต้อนรับบุคคลผู้กระทำบุญไว้  ซึ่งจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า  ดุจหมู่ญาติเห็นญาติที่รักมาแล้ว  ต้อนรับอยู่ฉันนั้น”

     ตามธรรมดาหมู่ญาติอันเป็นที่รักของเรา จากกันไปนานแสนนานเพียงไรก็ตาม แต่ความคิดถึงความผูกพันย่อมมีอยู่เสมอ เราคอยฟังข่าวคราวของหมู่ญาติท่านนั้น ด้วยความใจจดใจจ่อ หากได้ทราบข่าวว่าท่านเหล่านั้นมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น  เราก็พลอยมีความปลื้มปีติยินดีด้วย  และยิ่งเห็นท่านเหล่านั้นกลับมาเยี่ยมเยียน เราก็จะคอยให้การต้อนรับด้วยความเป็นสุขใจ เช่นเดียวกันกับบุญกุศลที่เราได้ทำแล้ว ไม่ได้สูญหายไปไหน  จะคอยส่งผลให้เราอยู่ตลอดเวลา  แม้ในโลกหน้าบุญกุศลก็คอยต้อนรับเราอยู่ เหมือนญาติอันเป็นที่รักคอยการกลับไปของเราเหมือนกัน  ดังเช่นในสมัยพุทธกาล มีเรื่องเล่าว่า

     ในกรุงพาราณสี ได้มีอุบาสกท่านหนึ่งชื่อว่านันทิยะ เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก และเป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ  เขาได้เลี้ยงดูมารดาบิดาด้วยดีเสมอมา พอเติบโตเป็นหนุ่ม มารดาบิดามีความประสงค์จะให้แต่งงานกับหญิงสาวในหมู่บ้านชื่อเรวดี  แต่เนื่องจากฝ่ายหญิงเป็นคนตระหนี่ ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา อุบาสกนันทิยะจึงไม่ปราถนาจะแต่งงานด้วย  มารดาบิดาของเขาจึงออกอุบายแนะนำให้ฝ่ายหญิงตกแต่งบ้านเรือน แล้วนิมนต์พระภิกษุมาฉันที่บ้าน  นางก็ได้ทำตามที่บอก  มารดาบิดาได้เล่าความดีของนางให้ลูกชายฟัง  นันทิยะจึงตอบตกลงแต่งงานกับนาง

     เมื่อแต่งงานกันแล้ว นันทิยะก็มอบหมายให้ภรรยาคอยอุปัฏฐากบำรุงพระภิกษุสงฆ์และมารดาบิดาของตน ตอนแรกนางทำเหมือนมีศรัทธามาก อุปัฎฐากบำรุงอยู่ได้เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น  ก็ปล่อยปละละเลยไม่ขวนขวายที่จะทำอีกต่อไป  เพราะนางไม่ได้ทำด้วยใจที่อยากได้บุญ  แต่ทำเพื่อให้สามีรักตนเองเท่านั้นเอง ต่อมามารดาบิดาของนันทิยะได้เสียชีวิตลง  นันทิยะจึงเป็นมหาทานบดีจัดเตรียมตั้งทานวัตถุสำหรับภิกษุสงฆ์ แจกอาหารแก่คนกำพร้าและคนที่เดินทางไกลผู้เดินทางผ่านมาทางประตูบ้าน

     ในวันหนึ่งอุบาสกนันทิยะได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นอานิสงส์ของการถวายอาวาสที่พักอาศัยแก่ภิกษุสามเณร  จึงให้สร้างศาลา ๔  มุข  มีห้อง ๔ ห้อง  มีเตียงตั่งพร้อมสรรพ  เขาได้มอบถวายที่พักอาศัยทั้งหมดแด่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน  ทันทีที่กล่าวคำถวายที่พักแด่ภิกษุสงฆ์ ความตระหนี่ถูกตัดออกจากใจ  ทิพยปราสาทก็บังเกิดขึ้นทันที  ด้วยบุญญานุภาพของนันทิยอุบาสก  ปราสาทนั้นสว่างไสวไปด้วยรัตนะ ๗ อย่าง  เพียบพร้อมด้วยหมู่เทพนารี กว้างขวางใหญ่โตถึง ๑๒ โยชน์ สูง  ๑๐๐ โยชน์  ผุดขึ้นในเทวโลกชั้นดาวดึงส์  

     วันหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเหาะไปเทวโลก เห็นปราสาทหลังนั้นเข้า  ท่านจึงถามเหล่าเทวดาที่มาประชุมกันว่า “ทิพยปราสาทที่เต็มไปด้วยนางเทพอัปสรนั้น เกิดขึ้นเพื่อใคร  ทำไมช่างงดงามยิ่งนัก”  พวกเทวดาได้กราบเรียนพระเถระไปว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญ ปราสาทนี้เกิดขึ้นด้วยบุญญานุภาพของนายนันทิยะ  ตอนนี้เขายังอยู่ในโลกมนุษย์อยู่เลย เนื่องจากอุบาสกท่านนี้ได้สร้างวิหารถวายพระบรมศาสดาในป่าอิสิปตนะ ส่วนหมู่นางเทพอัปสรที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นั้น เป็นบริวารที่เฝ้ารอนายนันทิยะอยู่”  

     พวกนางเทพอัปสรเมื่อได้เห็นพระเถระก็รีบลงมาจากปราสาท เข้ามากราบเรียนพระเถระว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญ พวกดิฉันเกิดในที่นี้ด้วยหวังว่า  จะช่วยกันอุปัฏฐากบำรุงนายนันทิยะ แต่ไม่เห็นนายนันทิยะมาเลย รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน  รบกวนพระคุณเจ้าช่วยบอกเขาด้วยว่า ขอให้ท่านสละสมบัติอันเป็นของมนุษย์  แล้วมาเสวยสมบัติอันเป็นทิพย์นี้  เหมือนกับการทำลายถาดดิน แล้วถือเอาถาดทองเถิด”

     พระเถระกลับจากเทวโลกแล้ว จึงเข้าไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ทิพยสมบัติมากมาย  ดังเช่นวิมานทองที่แวววาวไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ และนางอัปสรผู้มีหน้าตาอิ่มเอิบงดงาม สามารถจะบังเกิดขึ้นรอคอยผู้ทำบุญทำความดี ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในมนุษยโลกนี้หรือพระเจ้าข้า”  พระพุทธองค์จึงตรัสกับท่านว่า “โมคคัลลานะ ทิพยสมบัติที่เกิดขึ้นเพื่อนายนันทิยะในเทวโลก เธอได้เห็นแล้วมิใช่หรือ”  “เห็นแล้ว พระเจ้าข้า”  

     พระพุทธองค์ทรงอธิบายให้พระโมคัลลานะฟังว่า “โมคคัลลานะ เหมือนอย่างที่ใครๆ เห็นญาติผู้เป็นที่รักของตนเอง ซึ่งจากไปเสียนาน กลับมาจากต่างถิ่นด้วยความสวัสดี ย่อมปีติใจว่า ญาติของเรามาแล้วๆ  กุลีกุจอต้อนรับกันเป็นการใหญ่ ฉันใด  เหล่าเทวดาทั้งหลายก็เช่นกัน  ต่างเตรียมเครื่องบรรณาการ  และเครื่องสักการะที่เป็นทิพย์คอยต้อนรับชายหญิง ผู้สั่งสมบุญมาอย่างดีแล้วในโลกมนุษย์ ผู้ละไปแล้วสู่ปรโลก ฉันนั้น”  

     เพราะฉะนั้น บุญจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้จะอยู่ในโลกนี้หรือละโลกไปแล้ว บุญก็ยังคอยตามส่งผลให้เราเสมอ เป็นเพื่อนแท้ในการเดินทางข้ามภพข้ามชาติ บุญจะเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขความสำเร็จทั้งมวล อุปสรรคต่างๆ นานาที่บังเกิดขึ้น  ก็จะมลายหายสูญไป  ด้วยกระแสธารแห่งบุญที่เราได้สร้างไว้อย่างดีแล้ว  ฉะนั้น ให้เราหมั่นสั่งสมบุญกันเยอะๆ เราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่กี่ปีก็จะต้องละจากโลกนี้ไป อย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไป  แล้วต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง  

     เหมือนอย่างพระบรมโพธิสัตว์ของเรา ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านได้ผจญพญามารเพียงลำพัง แม้เทวดาทั้งหลายก็หนีไปสุดขอบจักรวาล ในยามนั้นไม่มีใครช่วยเลย  มีแต่บุญบารมีที่สั่งสมไว้อย่างเดียว ที่เกื้อหนุนพระองค์อยู่เบื้องหลัง  พระองค์ไม่ได้สะทกสะท้านหวั่นไหว หรือตกอกตกใจอะไรเลย ท่านเพียงแต่ทำใจหยุดอยู่ภายในกลางตัว นึกอาราธนาเอาบุญบารมี ๓๐ ทัศ  ที่สั่งสมไว้อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว  มาเป็นอาวุธต่อสู้กับพญามาร จนสามารถเอาชนะได้

     เราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ต้องหมั่นบำเพ็ญบุญกุศลอย่าให้ขาด ดำเนินตามรอยบาทของพระองค์ เพราะบุญกุศลที่เราสั่งสมดีแล้วนี้ จะคอยส่งผลทั้งในภพนี้และภพหน้า ในภพนี้เมื่อบุญส่งผลทำให้เรามีโภคทรัพย์สมบัติเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย  เอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น สุขภาพร่างกายจะแข็งแรง มีอายุยืนยาว มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด  จะเดินทางไปแห่งหนตำบลใดก็ตาม จะได้รับการต้อนรับอย่างดี  เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เหล่าเทวดาจะคอยปกปักรักษาคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา
 
* มก. เล่ม ๔๒ หน้า ๔๑๙

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/11852
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *