อานิสงส์สมาทานศีล 5

อานิสงส์สมาทานศีล ๕ (ลูกเรือ 700 คนสมาทานศีลตอนเรือล่ม

     ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกๆคน เพราะหากกายและใจไม่มีความสุขแล้ว ไม่ว่าจะทำภารกิจการงานใด  ก็ยากจะประสบความสำเร็จได้  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะแสวงหาความสุขที่แท้จริงให้ตัวเอง  ในเมื่อร่างกายยังต้องชำระล้างให้สะอาดทุกวัน จิตใจก็จำเป็นต้องมีการชำระให้สะอาด และบริสุทธิ์ผ่องใสทุกวันเช่นกัน  ใจที่ผ่องใสย่อมนำความสุขมาให้  และยังเป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นเครื่องนำพาสัตว์โลกไปสู่สุคติภูมิ และนำทุกชีวิตไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดคืออายตนนิพพาน  ดังนั้น เราต้องหมั่นเจริญสมาธิภาวนา หมั่นฝึกฝนอบรมใจของเราให้หยุดนิ่ง ให้บริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อจะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง และเข้าถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตกันทุกคน

มีวาระพระบาลีใน อิฏฐสูตร ความว่า
     “ดูก่อนคฤหบดี  ธรรม ๕ ประการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ  หาได้โดยยากในโลก  ๕ ประการเป็นไฉน  คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และสวรรค์  ดูก่อนคฤหบดี  ธรรม ๕ ประการนี้แล น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้โดยยากในโลก  เรามิได้กล่าวว่าจะพึงได้ เพราะเหตุแห่งความอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งความปรารถนา  ถ้าธรรม ๕ ประการนี้  น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจหาได้โดยยากในโลก  จักได้เพราะเหตุแห่งความอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งความปราถนาแล้วไซร้ในโลกนี้  ใครจะพึงเสื่อมจากอะไร”

     ความสำเร็จสมปรารถนาในชีวิต ไม่ได้เกิดจากการสวดอ้อนวอน  แต่ต้องประกอบเหตุคือการสั่งสมบุญ แล้วตั้งความปรารถนาอธิษฐานจิต  การอธิษฐานจิตเป็นการวางผังความสำเร็จให้กับชีวิต หากปรารถนนาให้แรงอธิษฐานเกิดผลโดยพลัน ต้องหมั่นสั่งสมบุญไว้มากๆ  บุญที่เราสั่งสมจะกลายเป็นดวงบุญดวงบารมีที่สุกใสสว่างมีอานุภาพ คอยส่งฤทธิ์ส่งเดชให้เราสมปรารถนาในทุกสิ่ง

     การอธิษฐานที่ถูกวิธี ไม่ใช่ไปอธิษฐานกับภูเขา ต้นไม้ เจ้าทรง ผีสิง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การทำเช่นนั้นเป็นการอ้อนวอนที่ไม่เกิดผลดีกับตัวเรา  มีแต่จะทำให้กลายเป็นคนเลื่อนลอย  หวังพึ่งแต่สิ่งภายนอกเท่านั้น  หากเราระลึกนึกถึงบุญกุศล และความบริสุทธิ์ที่เราได้สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน รวมทั้งอานุภาพของพระรัตนตรัยที่ไม่มีประมาณ  นึกถึงสิ่งประเสริฐเหล่านี้ แล้วอธิษฐานจิต ตั้งความปรารถนาในสิ่งที่ดีงาม  ในที่สุดเราจะสมปรารถนาข้ามพ้นอุปสรรคทุกอย่าง และประสบความสำเร็จอย่างเป็นอัศจรรย์ ดังเช่นพระบรมศาสดาครั้งที่ยังเป็นสุเมธดาบส ซึ่งเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์จากสมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้ว  ท่านนึกถึงอธิษฐานบารมีทันทีว่า “ภูเขาหินศิลาแท่งทึบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือนด้วยลมและแดด ย่อมตั้งอยู่ในที่เดิมฉันใด  ท่านต้องไม่หวั่นไหวในความตั้งใจจริงตลอดกาลทุกเมื่อ ฉันนั้น”

     การอธิษฐานเป็นการตั้งความปรารถนาที่เกิดจากฉันทะ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์  โดยการอ้างถึงความดีที่ได้ทำมาแล้ว เพื่อเป็นเหตุหนุนนำให้เกิดความสำเร็จ เป็นการอ้างสิ่งที่มีอยู่จริงมาช่วยตนให้สำเร็จ เปรียบง่ายๆ คือการอ้อนวอนเสมือนขอให้คนอื่นมาช่วย ซึ่งอาจช่วยได้บ้างหรือไม่ได้บ้างตามแต่อารมณ์และความสามารถของคนที่จะมาช่วยเรา แต่การอธิษฐานเป็นการทำด้วยตนเอง  พึ่งตนเองให้เป็นไปตามที่เราต้องการ

     การอ้อนวอน คือ การอยากได้โดยไม่ประกอบเหตุ  และไม่ประกอบความเพียรในทางที่ชอบที่ถูกต้อง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากความอยากนมีมากๆ ก็จะกลายเป็นความโลภซึ่งมีกิเลส คือ ตัณหาเป็นเครื่องหนุน สำหรับบุคคลที่มีคุณงามความดี เขาย่อมไม่กลัวหรือกังวลต่อภัยใดๆ  เพราะมั่นใจในผลแห่งความดีที่ได้ทำมา  หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น  บุญหรือคุณความดีที่ทำมา ย่อมช่วยให้เขาพ้นจากภัยต่างๆ ได้ หรือถ้าเป็นภัยร้ายแรงถึงชีวิต  เขาย่อมไม่กลัว และไม่สะทกสะท้านต่อมรณภัย  เพราะคุณความดีเปรียบเสมือนนาวาธรรมย่อมนำเขาไปสู่สุคติอย่างแน่นอน  ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต

     * สมัยหนึ่ง ผู้คนเป็นจำนวนมาก ต่างค้าขายทางทะเลโดยใช้เรือลำใหญ่  ครั้งหนึ่งขณะที่เรือออกทะเลไปได้ ๗ วัน เกิดพายุใหญ่ได้ชัดคลื่นใส่เรือ ทำให้เรืออับปาง ทุกคนในเรือต่างพากันนึกถึงเทวดาของตน ได้แต่ร้องให้คร่ำครวญอ้อนวอนต่างๆนาๆ  ขณะนั้นนั่นเอง บุรุษคนหนึ่งคิดได้ว่า เรามาประสบภัยร้ายแรงเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดช่วยเราได้แน่ นอกจากความดีที่ทำมา เขาจึงรีบนึกถึงความดี อีกทั้งนึกถึงสรณะและศีลอันบริสุทธิ์ที่ตนรักษามา  ไม่หวาดกลัวต่อพญามัจจุราชอีกต่อไป ด้วยรู้ว่าความดีของตนเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งแก่ตนและจะพาไปสู่สุคติได้  จึงนั่งขัดสมาธิประดุจพระฤๅษี

     มหาชนเห็นอาการของบุรุษนั้นต่างถามว่า “ทำไมไม่กลัว”  ท่านตอบว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  เราไม่กลัวภัยนี้  เพราะในวันที่ขึ้นเรือ  เราได้ถวายทานแด่หมู่ภิกษุสงฆ์ อีกทั้งได้รับสรณะและศีล  เราจึงไม่กลัวตาย”  มหาชนจึงถามว่า “ข้าแต่นาย ก็สรณะและศีลสมควรแก่พวกข้าพเจ้าหรือไม่”  ท่านตอบว่า “สมควรอย่างยิ่ง ธรรมเหล่านี้ย่อมสมควรแก่พวกท่าน”  มหาชนจึงขอสรณะและศีลกับมหาบุรุษนั้น

     เนื่องจากคนบนเรือเป็นจำนวนมาก  มหาบุรุษจึงแบ่งคนเป็นกลุ่มๆ ละร้อยคน  รวม ๗ กลุ่ม  ต่อจากนั้นก็ให้สมาทานศีล ๕  มหาชนกลุ่มแรกได้ยืนรับสรณะและศีลขณะน้ำท่วมถึงข้อเท้า กลุ่มที่ ๒ ยืนอยู่ในน้ำที่ท่วมถึงเข่า กลุ่มที่ ๓ ยืนอยู่ในน้ำที่ท่วมถึงสะเอว  กลุ่มที่ ๔ ยืนในน้ำที่ท่วมถึงสะดือ กลุ่มที่ ๕ ยืนอยู่ในน้ำในระดับหน้าอก กลุ่มที่ ๖ ยืนอยู่ในน้ำที่ท่วมถึงคอ  และกลุ่มที่ ๗ เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับศีลในขณะที่น้ำกำลังไหลเข้าปาก  เมื่อมหาบุรุษให้ทุกคนรับศีล ๕ แล้ว ก็ประกาศว่า “สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่งของพวกเราไม่มี ขอพวกเราทั้งหลายจงรักษาศีลให้บริบูรณ์เถิด”

     เมื่อคนเหล่านั้นละโลก ก็ได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ เพราะอาศัยศีลที่ตนรับไว้ก่อนตาย วิมานของเทวดาเหล่านั้น บังเกิดขึ้นเป็นหมู่เป็นคณะเดียวกัน  มีวิมานทองของมหาบุรุษผู้เป็นอาจารย์มีประมาณร้อยโยชน์อยู่ในท่ามกลางวิมานทั้งหมด  เทพที่เหลือเป็นบริวารของเทพบัณฑิตอาจารย์นั้น  ผู้คนทั้งหมดรอดจากอบายภูมิ ก็ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่เกิดจากการสมาทานศีลนั่นคือ เกิดจากอำนาจบุญ ไม่ได้เกิดจากการอ้อนวอนแต่อย่างใด

     พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้อ้อนวอน  แต่สอนให้พึ่งตนเอง โดยนึกถึงคุณความดีที่ตน ทำไว้ดีแล้วและตั้งจิตอธิษฐานจิต ประพฤติมั่นในทางแห่งความดีนั้น  ทั้งนี้ต้องประกอบเหตุ คือ มีบุญกุศลเป็นต้นทุนก่อน  พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้พุทธบริษัทระลึกว่า  ผู้มีศรัทธา พึงอ้อนวอนโดยชอบอย่างนี้ว่า  ขอเราจงเป็นเช่นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเถิด เพราะท่านเสมือนเป็นตราชู เป็นมาตรฐานของภิกษุสาวก  ถ้าเป็นหญิงผู้มีศรัทธา ก็พึงอ้อนวอนขอให้เป็นเช่นภิกษุณีเขมาและอุบลวรรณาเถรี และถ้าเป็นอุบาสกก็ขอให้เป็นเช่นจิตตคฤหบดี หรืออุบาสิกาก็ขอให้เป็นเช่นอุบาสิกาขุตชุตตรา เป็นต้น

     พวกเราเป็นนักสร้างบารมี ควรจะทำอย่างบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย  ที่ท่านได้ทำไว้เป็นแบบอย่าง ยามประสบทุกข์ภัยในชีวิต ก็ให้นึกถึงความดีที่เราได้ทำไว้ดีแล้ว ทุกครั้งที่มีโอกาสทำความดีก็ให้อธิษฐานจิตกำกับเสมอ  อธิษฐานบารมีของเราจะได้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำความดีสร้างสิ่งที่ดีงามมากมายให้เกิดขึ้นแก่โลก เราควรหมั่นระลึกถึงความดีเหล่านั้น  บุญกุศลจะได้เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา  เมื่อใจเป็นบุญกุศล  นึกคิดปรารถนาสิ่งใดก็จะสมปรารถนา ฉะนั้นให้ตั้งใจทำความดีให้เต็มที่  แล้วเราจะสมปรารถนากันทุกๆ คน

* มก. เล่ม ๒๔ หน้า ๑๕๑
 

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/12050
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *