อานิสงส์ให้ข้าวสุนัขกิน

อานิสงส์ให้ข้าวสุนัขกิน (พระติสสะเถระผู้อยู่ในวิหารปูวบรรพต)

     สังขารร่างกายต้องอาบนํ้าชำระให้สะอาดผ่องใสทุกวัน ฉันใด  จิตใจของเราที่ต้องเผชิญกับอารมณ์ภายนอกและกิเลสที่อยู่ในจิตใจ ทำให้ใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ย่อมต้องอาศัยบุญกุศลเป็นเครื่องชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสทุกวันฉันนั้น บุญจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องแสวงหาและหมั่นสั่งสมทุกๆ วัน โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา ฝึกใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  เป็นสิ่งที่สำคัญกับชีวิตมาก เพราะจะเป็นบุญที่ทำให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์ และความสุขที่แท้จริงได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มนาปทายีสูตร อังคุตตรนิกาย ว่า
“มนาปทายี  ลภเต  มนาปํ
ผู้มีปกติให้ของที่ชอบใจ  ย่อมได้ของที่ชอบใจ”

     การให้ เป็นการเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งๆ ขึ้น จากความยากจนเป็นความรํ่ารวย  จากคนตระหนี่ให้เป็นทานบดี จากปุถุชนให้เป็นอริยชน จากคนที่ไม่เป็นที่รักของใคร ให้เป็นที่รักของคนทั้งหลาย  โดยเฉพาะผู้ให้ของที่ถูกใจ ย่อมเป็นที่ชอบใจของผู้รับ  ดังเช่นพระติสสะเถระผู้อยู่ในวิหารปูวบรรพต เรื่องมีอยู่ว่า

     * ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ทรงอุบัติขึ้นในโลก ชาวบ้านชนบทคนหนึ่ง มีอาชีพค้าขายผงมโนศิลา คือผงกำมะถันสีแดงตามหมู่บ้านต่างๆ  วันหนึ่งพ่อค้าได้ออกไปขายผงมโนศิลาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งตั้งแต่เช้า  ขณะที่กำลังเดินขายของด้วยความหิวเพราะยังไม่ได้กินอาหารเช้า ขณะนั้นเองหญิงสาวคนหนึ่งเรียกเขาเข้าไปเพื่อจะซื้อของ พ่อค้าจึงถือโอกาสขอข้าวกับหญิงสาวนั้น นางได้เตรียมข้าวสาลีกับแกงเนื้อและน้ำมันเนยหอมให้เขา  ในขณะเดียวกันสุนัขหิวโซตัวหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาพ่อค้า  ด้วยความกรุณา เขาได้แบ่งข้าวก้อนใหญ่คลุกแกงและน้ำมันให้กับสุนัขนั้น เมื่อสุนัขกินข้าวแล้วแสดงอาการดีใจ ยืนกระดิกหางอยู่ตรงหน้าเขา

     พ่อค้าเห็นสุนัขแสดงอาการดีใจ ตนเองก็รู้สึกเบิกบานใจ จึงตั้งความปรารถนาว่า “เกิดภพใดชาติใด ด้วยบุญนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพึงได้ข้าวสาลีอันสะอาดอย่างดี คลุกด้วยเนื้อมีรสอร่อยและน้ำมันเนย  อีกทั้งขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยเทอญ” ด้วยบุญนั้น เมื่อพ่อค้าละโลกก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอันยิ่งใหญ่สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในมนุษยโลกอีก ๕๐๐ ชาติ

     หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว  ท่านได้ถือกำเนิดในตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านปูวคัลลกะ มารดาบิดาตั้งชื่อว่า ติสสะ ซึ่งแปลว่า ผู้รักษาวงศ์ตระกูลของตน  เมื่อเจริญวัยขึ้น ท่านได้ฟังธรรมเกี่ยวกับทุกข์โทษในฆราวาสและอานิสงส์ของการบรรพชา จึงสละทรัพย์สมบัติ  เข้าไปยังปูวคัลลกวิหารเพื่อขอบรรพชา  เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้ว ท่านตั้งใจบำเพ็ญเพียรไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล ท่านเป็นผู้มีปัญญามากเป็นที่รวมแห่งคลังปริยัติ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศลังกา

     ทุกครั้งที่บิณฑบาต ท่านได้รับสาลีกับแกงเนื้อที่มีรสเลิศและนํ้ามันเนยหอมเสมอ กระทั่งพระเถระอายุได้ ๖๐ พรรษา บุตรอำมาตย์ผู้หนึ่งเกิดความคิดขึ้นว่า “คนส่วนใหญ่พากันลือว่า ข้าวสาลีกับแกงเนื้อและน้ำมันเนยหอมเกิดขึ้นกับพระเถระรูปนี้เป็นนิตย์  เราจะต้องทดสอบเรื่องนี้ดูว่าเป็นจริงหรือไม่”  คิดดังนั้นแล้วจึงพูดกับภรรยาว่า “นางผู้เจริญ พรุ่งนี้ฉันอยากถวายทานแด่พระติสสะเถระที่อยู่วิหารปูวบรรพต  เธอจงหุงข้าวยาคูผสมข้าวสาร  เมื่อใกล้เวลาเพลเธอจงถวายข้าวผสมกับแกงผักตามด้วยน้ำผักดอง”  ครั้นรุ่งอรุณเขารีบไปวิหาร และได้นิมนต์พระเถระด้วยตนเอง จากนั้นท่านก็ไปทำธุระที่อื่นต่อไป

     เทวดาที่สิงอยู่ในเรือนของบุตรอำมาตย์นั้น ได้ยินคำพูดของบุตรอำมาตย์ที่ปรึกษากับภรรยาจึงคิดว่า “บุตรอำมาตย์นี้ไม่รู้ถึงผลบุญที่พระเถระรูปนี้ได้ทำไว้ในกาลก่อน  ซึ่งไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้” จากนั้นได้แปลงตัวเป็นคนแก่ถือข้าวสาลี เนื้อนกยูงและหม้อน้ำมันเนยไปที่บ้านหลังนั้น  เมื่อนางถามว่า “นี่ลุงนำเครื่องประกอบอาหารนี้มาจากไหน”

     เทวดาตอบว่า “แม่หนู สามีของเธอเห็นฉันแล้วพูดว่า ลุง วันนี้ฉันนิมนต์พระติสสะเถระ ท่านจงรับเครื่องประกอบอาหารนี้ไปให้แม่บ้านของฉันปรุงอาหารด้วยเครื่องประกอบนี้  แล้วนิมนต์ให้พระเถระฉันอาหารนี้ด้วย”  นางฟังดังนั้น ก็รีบปรุงข้าวสาลีพร้อมด้วยเนื้ออย่างดี  และเมื่อพระเถระมารับบาตร นางก็นิมนต์ให้นั่ง จากนั้นได้ถวายภัตตาหารที่ปรุงจากข้าวสาลี เนื้อนกยูงและนํ้ามันเนยหอมแด่พระเถระ  ครั้นพระเถระทำภัตกิจแล้วก็กลับไปยังวิหาร

     ฝ่ายบุตรอำมาตย์กลับถึงบ้านก็ถามภรรยาว่า “เธอถวายข้าวแด่พระเถระแล้วหรือ”  นางตอบว่า “ได้จัดข้าวสาลีกับเครื่องประกอบอาหารที่ท่านส่งมาถวายแด่พระเถระแล้ว”  บุตรอำมาตย์ถามว่า “นางผู้เจริญ ฉันไม่ได้ส่งอะไรมา ข้าวสาลี เนื้อนกยูง นํ้ามันเนยหอมนั้นใครเป็นคนส่งมาให้”  หลังจากนางเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด เขารู้ทันทีว่า คงเป็นการกระทำของเทวดาด้วยอานุภาพบุญของพระเถระ กุศลวิบากของบุญที่ทำไว้แล้ว ไม่มีใครห้ามได้จริงๆ ทำให้เขาเกิดปีติเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต่อมาก็ได้เป็นทานบดีผู้ใจบุญได้อุปัฏฐากภิกษุสามเณร  และได้ตั้งใจทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ

     เมื่อถึงวาระที่พระเถระนอนบนเตียงซึ่งเป็นที่ปรินิพพาน ท่านให้ตีกลองประกาศในวิหาร เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายประชุมกันรับรู้การปรินิพพานของท่าน  และเมื่อเหล่าภิกษุมาประชุมพร้อมกันต่างถามถึงบุพกรรมของท่านว่า “พระคุณท่านทำบุญไว้มาก  ความเป็นผู้มีบุญของท่านได้ขจรขจายไปทั่วทวีปลังกา  ผลแห่งบุญนี้เกิดด้วยกรรมอะไร”  พระเถระได้ประกาศกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีต จากนั้นก็ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อจบการให้โอวาทจึงปรินิพพานท่ามกลางหมู่สงฆ์  เมื่อมหาชนได้ฟังบุพกรรมของพระเถระแล้ว ต่างพากันทำบุญมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นต้น เมื่อละโลกมหาชนได้ไปเกิดในเทวโลกกันมากมาย

     การให้แม้เพียงเล็กน้อยแต่กลับมีผลน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง  หากเราให้สิ่งที่เราชอบใจและเขาก็ชอบใจด้วย เราจะเกิดปีติยินดีอย่างยิ่ง และหากเราตั้งจิตปรารถนาด้วยใจที่ปีติเบิกบาน  ย่อมได้รับผลตามที่ปรารถนานั้นทุกประการ  ยิ่งถ้าเราให้ทานอย่างประณีตให้อย่างต่อเนื่อง ความปีติเบิกบานใจย่อมมีตลอดเวลาไม่ขาดสาย ใจของเราจะมีความสุขความสบายใจ  ใจที่มีความสบายย่อมง่ายต่อการฝึกฝนให้หยุดนิ่ง ใจที่หยุดนิ่งถูกส่วน ณ ภายใน ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตัวเราจากปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชน ดังเช่นพระติสสะเถระ

     ดังนั้น หลวงพ่อจึงอยากเชิญชวนให้ทุกคน หมั่นศึกษาและฝึกฝนเรื่องการสร้างบุญสร้างบารมีให้ถึงพร้อม ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา  จนเป็นอุปนิสัยที่ดีติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  เราจะได้มีสมบัติใหญ่ ทั้งมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติและนิพพานสมบัติกันทุกคน จนถึงพร้อมด้วยบุญลักษณะทุกประการ สร้างบารมีได้มากและสะดวกสบายไปจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม ให้หมั่นทำความดีกันเถิด  สักวันหนึ่ง พวกเราจะรู้ถึงผลอันน่าอัศจรรย์ของการทำความดีด้วยตัวของเราเองอย่างแน่นอน 

* หนังสือรสวาหินี ๒/๖๘

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/12114
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *