วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก สติปัฏฐาน ๔

ง่ายแต่ลึก เล่ม ๒ บทที่ ๘ : สติปัฏฐาน ๔

ที่ ปลายทางนั่นนั้น ไม่ไกล
สุด แหล่งอยู่ภายใน สุดรู้
แห่ง กลางของกลางใส นั่นแหละ
ธรรม จักชี้แก่ผู้ ถึงแล้วกายธรรม
ตะวันธรรม

          (เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ……..)
          …คราวนี้เรามาทบทวนทางเดินของใจสักนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นทาง
ไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลกทุกๆ คนรวมทั้งตัวเราด้วย พระ
เดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบ
วิชชาธรรมกาย ท่านได้สอนเอาไว้ว่า มีทั้งหมด ๗ ฐานที่ตั้ง
ซึ่งอันนี้เราศึกษาไว้ให้รู้จักเท่านั้นนะ ซึ่งทั้ง ๗ ฐานมีความ
สำคัญทั้งนั้นคือ
          ฐานที่ ๑ ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา
          ฐานที่ ๒ เพลาตา ตรงหัวตาที่น้ำตาไหล หญิงซ้ายชายขวา
          ฐานที่ ๓ กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
          ฐานที่ ๔ เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก
          ฐานที่ ๕ ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
          ฐานที่ ๖ กลางท้องในระดับเดียวกับสะดือของเราโดย
สมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือ
ทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับ
ปลายเข็ม ตรงนี้เรียกว่า ฐานที่ ๖ ถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้
เป็นกายมนุษย์หยาบ ใสบริสุทธิ์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่
ธรรมดวงนี้สำคัญมาก ถ้าหากว่าผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ชีวิตก็
จะรุ่งเรือง ถ้าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ชีวิตก็ร่วงโรย ถ้าธรรมดวง
นี้ดับ ชีวิตของเราก็ดับไปด้วย
          ฐานที่ ๗ อยู่เหนือฐานที่ ๖ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติ
เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน และนำไปทาบตรงจุดตัดของ
เส้นด้ายทั้งสองสูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่า ศูนย์กลางกาย
ฐานที่๗
          ฐานที่ ๗ นี้สำคัญมาก เพราะเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ
ที่ตื่น
          ถ้าจะไปเกิดก็จะต้องไปตามฐานต่างๆ เริ่มต้นจากฐาน
ที่ ๗ ไป ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ แล้วก็ไปเกิดใหม่ ถ้าจะไม่เกิดจะ
ต้องเดินเข้าไปข้างในโดยเริ่มต้นที่ฐานที่ ๗ เช่นเดียวกัน โดย
เอาใจมาหยุดนิ่งทำความรู้สึกที่ตรงนี้ที่เดียว พอถูกส่วนจะตก
ศูนย์ไปฐานที่ ๖ แล้วจะไปยกเอาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย
มนุษย์หยาบลอยขึ้นมาที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
          เป็นดวงใสๆ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ บางทีก็เล็กกว่านี้
บางทีก็เท่านี้ บางทีก็ใหญ่กว่านี้ แล้วแต่กำลังบุญบารมีของ
แต่ละคน แต่เราจำตอนนี้คร่าวๆ ว่า โตเท่ากับฟองไข่แดงของ
ไก่ จะกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ ใสบริสุทธิ์ประดุจ
เพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย มีแสงอยู่ในตัว บางที
ก็ใสเหมือนน้ำใสๆ บ้าง บางทีก็ใสเหมือนกระจกคันฉ่องส่อง
เงาหน้าบ้าง บางทีก็ใสเหมือนเพชร หรือยิ่งกว่านั้น
          ธรรมดวงนี้จะมาพร้อมกับความสุขภายใน ซึ่งเป็นอิสระ
กว้างขวาง เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อน ประณีต นุ่มนวล ละมุน
ละไม แตกต่างจากความสุขที่เราเคยเจอและหลงเข้าใจว่าเป็น
ความสุขที่แท้จริง ที่จริงมันเป็นความเพลินกับสิ่งใหม่ๆ เมื่อ
หายเห่อจากสิ่งเก่าแล้วก็จะเพลินกับสิ่งใหม่ๆ ที่ไร้สาระ โดย
ไม่รู้จักเพียงพอนี่แหละ อยากได้ อยากมี อยากเป็น
          ธรรมดวงนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านเรียกว่า ดวงธัมมา
นุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือบางครั้งก็เรียกว่า ดวงปฐมมรรค คือ
หนทางเบื้องต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน เราจะปฏิบัติธรรมแบบ
ไหนก็ตาม ถ้าใจยังไม่หยุด ไม่นิ่ง ก็จะยังไม่เข้าถึงธรรมดวงนี้
          ถ้ายังไม่ถึงธรรมดวงนี้ก็ไปนิพพานไม่ได้ ธรรมดวงนี้จึง
เป็นประดุจประตูไปสู่พระนิพพาน จะเป็นดวงใสๆ ใจจะนิ่ง
ตั้งมั่น นุ่มนวล ควรแก่การงาน ละเอียดอ่อน ประณีต จะหยุด
นิ่งอย่างนี้เข้าไปเรื่อยๆ แล้วก็จะเข้าไปถึงดวงธรรมต่างๆ ที่
อยู่ภายในตามสติปัฏฐาน ๔ ที่ให้ตามเห็นกายในกาย เวทนา
ในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ทั้ง ๔ อย่างจะประชุมรวม
กันอยู่ที่เดียวกัน แต่ว่าแยกส่วนกัน กายส่วนกาย เวทนาส่วน
เวทนา จิตส่วนจิต ธรรมส่วนธรรม
          กายก็จะมีกายต่างๆ ซ้อนกันอยู่ภายใน มีกายมนุษย์
ละเอียดที่หน้าตาเหมือนตัวเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง
ท่านชายเหมือนท่านชาย ทุกๆ กายจะนั่งสมาธิ ขาขวาทับ
ขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตัก ฝ่ามือจะดึงชิดตัวสัมผัสกายนิดหนึ่ง กายตรง
ทุกกาย
          แล้วจะมีกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ-ละเอียด กาย
รูปพรหมหยาบ-ละเอียด กายอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด กาย
ธรรมโคตรภูหยาบ-ละเอียด กายธรรมพระโสดาบันหยาบ-ละเอียด
กายธรรมพระสกทาคามีหรือพระสกิทาคามีหยาบ-ละเอียด กาย
ธรรมพระอนาคามีหยาบ-ละเอียด แล้วก็กายธรรมพระอรหัต
หยาบ-ละเอียด ทั้งหมด ๑๘ กาย รวมทั้งกายมนุษย์หยาบที่
เรานั่งเข้าที่นี้
          แบ่งกายออกเป็น ๒ ภาค คือ
          ๑ กายที่ตกอยู่ในไตรลักษณ์
          ๒ กายที่พ้นไตรลักษณ์
          กายที่ตกอยู่ในไตรลักษณ์ ตั้งแต่ กายมนุษย์หยาบ-
ละเอียด กายทิพย์หยาบ-ละเอียด กายพรหมหยาบ-ละเอียด
กายอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด
          กายที่พ้นจากไตรลักษณ์ ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูขึ้นไป
คือ กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระ
สกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และกายธรรมพระอรหัต
มีทั้งหยาบทั้งละเอียด
          กายที่เป็นเป้าหมาย คือ กายธรรมอรหัตตผล หน้าตัก
๒๐ วา สูง ๒๐ วา ทุกกายจึงเป็นเหมือนรถหลายๆ ผลัดที่
ส่งต่อๆ กันไป จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ท่านได้ตาม
เห็นกายในกายอย่างนี้แหละ คือมองไปเรื่อยๆ เห็นกายนี้ก็ดู
ไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ดูไปเห็นไป
และไปให้ถึงกายสุดท้าย เมื่อใจนิ่งสนิท มันจะถอดออกเป็น
ชั้นๆ เหมือนเราดึงดาบออกจากฝักดาบ ดึงไส้หญ้าปล้องออก
จากกัน ถอดเป็นชั้นๆ อย่างนั้น
          กายที่ละเอียดกว่าจะซ้อนอยู่ในกายที่หยาบกว่า ทุกกาย
จะสุกใสโตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ และกายที่จะพาเราไปสู่ฝั่ง
พระนิพพานได้คือ กายธรรม นับตั้งแต่กายธรรมโคตรภูขึ้น
ไป กายธรรมโคตรภูขึ้นไปจะไปได้ชั่วคราว แต่ถ้ากายธรรม
อรหัตตผลไปได้ถาวร มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็จะเป็น
ชั้นๆ กันเข้าไปอย่างนี้
          กายธรรม คือกายที่สำคัญมาก เพราะประกอบด้วยธรรม
จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

          จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะ
ปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ

           มีธรรมจักษุ คือ เห็นได้รอบทิศในเวลาเดียวกัน ซ้าย ขวา
หน้า หลัง ล่าง บน อดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วแต่จะน้อมไป
อย่างไร แต่เห็นได้ในเวลาเดียวกัน มีญาณทัสสนะ ตั้งแต่กาย
ธรรมเป็นต้นไปจะมีญาณทัสสนะเกิด ต่ำจากกายธรรมโคตรภู
ลงมา รู้ได้ด้วยวิญญาณ คือ รู้แจ้งด้วยวิญญาณ
          กายธรรมนี้จึงสำคัญมาก มีลักษณะเหมือนกันทุกกายเลย
ทั้งกายธรรมโคตรภู โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหัต
จะมีลักษณะเหมือนกัน คือประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ
ครบถ้วนทุกประการ เกตุดอกบัวตูม ใสเกินใส งามไม่มีที่ติ แต่
ขนาดจะแตกต่างกัน
          กายธรรมโคตรภู อย่างใหญ่ที่สุดก็น้อยกว่า ๕ วา เล็ก
ไม่มีประมาณ
          กายธรรมพระโสดาบันหน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
          กายธรรมพระสกิทาคามีหน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา
          กายธรรมพระอนาคามีหน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
          กายธรรมพระอรหัตหน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา
         กายจะโตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ของใหญ่จะซ้อนอยู่ในของ
เล็กอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตามเห็นกายในกายก็คือ ตามเห็นกัน
ไปอย่างนี้
          ในกลางกายก็มีเวทนา เวทนาในที่นี้ไม่ได้แปลว่า สงสาร
แต่เวทนาตัวนี้คือ การเสวยอารมณ์ อารมณ์สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่
ทุกข์ แต่กายยิ่งโตใหญ่ ยิ่งละเอียด จะมีแต่สุขล้วนๆ เพิ่มขึ้น
ไปเรื่อยๆ บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น จิตในจิตก็อยู่ในกลางกายนั่นแหละ
ธรรมในธรรม อยู่ในที่เดียวกัน แต่คนละส่วน แยกส่วนกันไป
          ทั้งหมดนี้จะต้องเริ่มต้นที่ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ก่อน แล้วแต่ละกายก็จะถูกเชื่อมด้วยดวง ๖ ดวง คือ ดวงธัมมา
นุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ
ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ๖ ดวง นี้จะซ้อนกันเข้าไปสู่ภายใน ชุดละ
๖ ดวง เชื่อมกายแต่ละกาย แล้วก็กลั่นใจเราให้บริสุทธิ์ละเอียด
จนกระทั่งอายตนะหรือความละเอียดเท่ากันก็จะดึงดูดเข้าหากัน
          นี่คือภาคทฤษฎีหรือภาคปริยัติ ที่เราจะต้องศึกษาทำความ
เข้าใจให้ดี แต่ในแง่ของการปฏิบัตินั้น มันอยู่ที่หยุดกับนิ่งอย่าง
เดียวตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ หมายความว่า
ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ นอกจากหยุดนิ่งเฉยๆ เรื่อย
ไป นิ่งอย่างเดียว ให้ตั้งมั่น ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนเลย
          นิ่งแล้วถึงจะสว่าง สว่างแล้วถึงจะเห็น
เพราะฉะนั้น ให้ทำหยุดกับนิ่งอย่างเดียว อย่าทำอะไรที่
นอกเหนือจากนี้
          คำว่า “หยุด” นี่ถอดออกมาจากพระโอษฐ์ของพระบรม
ศาสดา ที่ตรัสกับองคุลีมาล เมื่อองคุลีมาลถือดาบไล่จะไปตัด
นิ้วของท่านแต่ก็ทำท่านไม่ได้ พอจะไล่ทันท่านก็วื้ดออกไปจน
กระทั่งไม่ทัน ทั้งๆ ที่เดินธรรมดาอย่างนั้น กระทั่งองคุลีมาล
เหนื่อย แล้วร้องบอกว่า “สมณะหยุด สมณะหยุด”
          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “สมณะหยุดแล้ว”
          คำว่า “หยุด” นี้ลึกซึ้ง ไม่ได้หมายถึงอาการที่เราหยุดยืน
อยู่กับที่ หรือเฉพาะหยุดทำบาปทั้งปวง แต่หมายถึง หยุดใจ
ภายในนิ่งๆ นี้ด้วย จนกระทั่งหยุดในหยุดเข้าไปตามลำดับ
          หยุดเคลื่อนไหว
          หยุดทำบาป
          หยุดใจนิ่งไม่เขยื้อนที่กลางกาย
          หยุดในหยุดเข้าไปเรื่อยๆ
         คือทำอย่างเดิม เฉยๆ หยุดเรื่อยไป นี่ลึกซึ้งอย่างนี้คำว่า
หยุด
         ไม่ใช่มีความหมายแค่ว่า หยุดกาย หรือหยุดทำบาป
ทั้งปวงแค่นั้น แต่หยุดอย่างนี้ด้วย
          เพราะฉะนั้น หยุดจึงเป็นตัวสำเร็จที่จะทำให้เราเข้าถึงสิ่ง
ที่มีอยู่ในตัวของเราดังกล่าว คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต แล้วก็ธรรมในธรรม หยุดนี้แหละสำคัญมากๆ

         ทีนี้หยุดแรกนี่มันยากสักนิดหนึ่ง แต่ยาก
ไม่มาก ง่ายพอดีๆ ยากพอสู้ ขึ้นอยู่กับการ
ฝึกฝน ให้เรามีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลาง
มากๆ เหมือนนักบินมีชั่วโมงบินเยอะๆ เรา
ก็ต้องฝึกวางใจเบาๆ ในทุกอิริยาบถ ให้ใจคุ้น
เคยกับกลางท้อง กับฐานที่ ๗ ให้มากที่สุด แต่
อย่าไปกังวลกับฐานที่ ๗ มากเกินไป

          เมื่อเราเริ่มต้นฝึกใหม่ๆ อย่ามัวไปควานหาฐานที่ ๗ หรือ
กังวลกลัวว่าจะไม่ตรงฐานที่ ๗ เป๊ะ ซึ่งแน่นอน เมื่อเราฝึกฝน
ใหม่ๆ ก็อาจจะตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง ก็ช่างมัน ให้เราทำความ
รู้สึกว่า อยู่ในกลางท้องแค่นี้พอ และหลังจากนั้นเราจะนึกเป็น
ภาพหรือจะไม่นึกเป็นภาพก็ได้ แล้วแต่อัธยาศัยของเรา

วิธีนึกเป็นภาพ

          หากเป็นคนช่างฟุ้ง ชอบคิดโน่น คิดนี่ ก็ควรจะนึกเป็น
ภาพ ภาพที่ควรนึกคือ องค์พระ ดวงแก้วใสๆ หรือพระเดช
พระคุณหลวงปู่ฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัย
เป็นวัตถุอันเลิศ อันประเสริฐ ที่จะทำให้ใจเราสูงส่ง หรือจะ
เป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือเพชรสักเม็ดใสๆ
กลมๆ
           ให้เราเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง นึกไว้ในกลางท้อง ให้
เป็นเครื่องหมายว่าบริเวณนี้คือ ฐานที่ ๗ เป็นที่ยึดที่เกาะของ
ใจเรา เหมือนหลักที่เราปักเอาไว้ ใจเหมือนม้าพยศ แต่เรา
ผูกม้าไว้กับหลักด้วยเชือกคือ สติมันจะพยศแค่ไหน พอมัน
เหนื่อยเดี๋ยวมันก็หมอบอยู่ตรงหลักนั่นแหละ
          ภาพในตัวก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราชอบคิดโน่นคิดนี่ เราก็
เปลี่ยนเรื่องคิดเสียใหม่ มาเป็นเรื่ององค์พระ เรื่องดวงใสๆ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ มหาปูชนียาจารย์ ดวงอาทิตย์ ดวง
จันทร์ ดวงดาวในอากาศ หรือเพชรสักเม็ด เลือกเอาอย่างใด
อย่างหนึ่งนะ เอาอย่างเดียว อย่าสับสน โดยทดสอบดูว่า ใจ
เราชอบอย่างไหน นึกแล้วสบาย แล้วก็ต้องนึกอย่างสบายๆ
อย่าไปบีบเค้นภาพ มันจะทำให้ปวดลูกนัยน์ตา มึนศีรษะ อย่าง
นี้ผิดหลักวิชชา
           ต้องเป็นภาพที่เรานึกแล้วสบายใจ องค์พระจะเอาองค์
ไหนก็ได้ที่เราคุ้นเคย มีความเคารพ มีความเลื่อมใส จะเป็น
พระเครื่อง หรือพระพุทธรูป พระบูชาอะไรก็เอา สร้างด้วย
วัตถุอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นพระแก้วใสๆ ได้จะดี ใจจะได้ใส นี่
กรณีที่ชอบนึกถึงพระนะ
          หรือใครถนัดนึกถึงดวง เราก็นึกถึงดวงใสๆ กลมๆ
เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอย่างนี้ก็ได้ นึกเท่าที่
เรานึกได้ ชัดแค่ไหนก็แค่นั้น อย่าพยายามไปบีบไปเค้นให้มัน
ชัด เพราะเราต้องการแค่เป็นหลักที่ยึดที่เกาะของใจเรา ไม่ให้
ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น ให้มาคิดเรื่องนี้เรื่องเดียว
          แล้วก็ประคองภาวนาในใจไปเรื่อยๆ ให้เสียงภาวนาดัง
ออกมาจากในกลางท้อง อย่างสบายๆ

วิธีหยุดนิ่งเฉยๆโดยไม่นึกภาพ

           ถ้านึกเป็นภาพแล้วมันอดจะกดลูกนัยน์ตาลงไปดูในท้อง
ไม่ได้ แล้วก็ปวดลูกนัยน์ตาทุกที มันมึน มันซึม มึนศีรษะเลย
พลอยทำให้เบื่อ นั่งแล้วพอนึกไม่ออกก็ยิ่งบีบเค้น ยิ่งเค้นก็ยิ่ง
ปวดหัวตัวร้อน ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ต้องนึกเป็นภาพเลย วางใจนิ่งๆ
อย่างเดียว นิ่งอย่างสบายๆ
          และเหมาะสำหรับคนที่ช่างสงสัย ชอบสงสัย เวลาที่ใจ
นิ่งแล้วดวงผุดขึ้นมาก็ดี หรือองค์พระผุดขึ้นมาก็ดี มักจะมีความ
คิดว่า เอ๊ะ! คิดไปเองหรือเปล่า หรือเห็นจริง ก็วนไปวนมาอยู่
แค่นี้ ซึ่งไม่รู้จะคิดไปทำไม มีหน้าที่ให้ดูเฉยๆ ก็ไม่ดู ก็ชอบ
ไปใช้ความคิด
          ถ้าอย่างนี้แล้วก็ให้นิ่งเฉยๆ ทำความรู้สึกว่า ใจอยู่ใน
กลางท้อง ภาวนา สัมมา อะระหัง เรื่อยไปเลย จะกี่ครั้งก็ได้
จนกว่าใจจะหยุดนิ่งเฉยๆ ถ้าถูกส่วนแล้วมันจะทิ้งคำภาวนาไป
หรือมีความรู้สึกไม่อยากจะภาวนาต่อ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้
ก็ไม่ต้องหวนกลับมาภาวนาใหม่ ให้นิ่งอย่างเดียวนะ
          ไม่ว่าจะนั่งแบบไหน จะนึกเป็นภาพ หรือไม่นึกเป็นภาพ
ก็ตาม เมื่อใจนิ่งถูกส่วนแล้ว มันจะปล่อยทั้งสองวิธี ภาพก็ปล่อย
ไป แล้วใจก็จะตกศูนย์วูบลงไป สิ่งที่เราสมมติเบื้องต้นก็หายไป
สิ่งที่เป็นจริงก็จะปรากฏเกิดขึ้นมาเป็นดวงใสๆ
          นี่คือสิ่งที่เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจ ฝึกฝนจนชำนาญ ต้อง
ทำบ่อยๆ เนืองๆ ทำครั้งสองครั้งแล้วจะให้ได้ผล มันไม่ได้
หรอก
          แล้วเมื่อไรจะได้เห็นสักที?
          นานไหมกว่าจะได้เห็น?
          มันก็แล้วแต่เราเราอยากได้เร็วมันก็เห็นเร็ว
          อยากได้ช้ามันก็เห็นช้าแล้วแต่เรา
          แล้วแต่เราคืออย่างไร คือใจหยุดเมื่อไร มันก็ตกศูนย์ไป
เมื่อนั้น สว่างเมื่อนั้น เห็นเมื่อนั้น ใจยังไม่หยุด มันก็ช้า
เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนให้เรามีสติ สบาย สม่ำเสมอ
ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน นึกบ่อยๆ
          ใจเรานึกได้ทีละอย่าง เราเอาอะไรมาใส่ในใจแล้วคิดบ่อยๆ
ซ้ำๆ สิ่งนั้นก็คล่องขึ้น ง่ายขึ้น นึกถึงพระก็เห็นพระ นึกถึงผี
ก็เห็นผี นึกถึงคนก็เห็นคน นึกถึงสัตว์ก็เห็นสัตว์ นึกถึงสิ่งของ
ก็เห็นสิ่งของ ต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา นึกอะไรก็เห็น
อย่างนั้นได้ทีละอย่าง ถ้าเรานึกถึงแต่พระ พระ พระ หรือดวง
ใสๆ ไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ อย่างนี้ก็หยุดได้เร็ว เข้าถึงได้เร็ว
แล้วเวลาเลิกนั่งอย่าเพิ่งลุกจากที่ ให้หมั่นสังเกตดูว่า วัน
นี้เราทำถูกหลักวิชชาไหม ตึงเกินไปไหม ตั้งใจมากเกินไปไหม
ย่อหย่อนเกินไปหรือเปล่า เราก็ปรับเอานะ ต้องปรับไปเรื่อย
ปรับปรุงใจของเราไปตลอดเวลา ฝึกฝนกันไปเรื่อยๆ
           ทุกคนจะเข้าถึงได้ด้วยความเพียรและทำอย่างถูกหลัก
วิชชา
          คนที่ทำไม่ได้ คือ คนตาย คนบ้า และคนที่ไม่ได้ทำ คนดีๆ
อย่างเราซึ่งเข้าใจเป้าหมายชีวิต ถ้าตั้งใจทำกันจริงๆ แล้วก็ต้องได้
ถ้าคนอย่างเราไม่ได้ แล้วใครในโลกจะได้ เพราะเราเป็นผู้มี
บุญที่สั่งสมกันมาอย่างดีแล้ว จึงมาได้ยินได้ฟัง มีกุศลศรัทธา
ได้มาปฏิบัติ ถ้าทำถูกหลักวิชชา ขยัน มีสติ สบาย สม่ำเสมอ
หมั่นสังเกต ก็จะสมหวังกันอย่างแน่นอน
          อย่าได้ลดละความเพียร อย่าได้ท้อถอย อย่าได้เบื่อหน่าย
เพราะนี่คืองานที่แท้จริงของเรา เป็นกรณียกิจ เป็นกิจที่จะต้อง
ทำให้ถูกวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์
          เมื่อเข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไปเราก็ฝึกฝนอบรมใจ
ของเราไป เลือกเอา ๒ วิธี จะนึกเป็นภาพหรือไม่นึกเป็นภาพ
ก็ได้ ทำกันไปอย่างนี้นะ
          เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น เป็นใจให้ลูกทุกคนได้ปฏิบัติธรรม
ขอให้ลูกทุกคนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว สมหวังดังใจ
อย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ด้วยดีกันทุกคน ต่างคนต่างนั่งกัน
ไปเงียบๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มกราคม, วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 2 บทที่ 8 www.dhamma01.com

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *