
หยุดนิ่งแหละก่อเกื้อ บารมี
สุดยอดชาร์จแบตเตอรี่ หมดเชื้อ
ยิ่งหยุดยิ่งทับทวี บุญเพิ่ม
บุญใหม่นี้จักเอื้อ อวยให้สุขอนันต์
ตะวันธรรม
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอ
สบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเราทั้งเนื้อทั้งตัว
ให้มีความรู้สึกสบายๆ ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง แล้วก็
รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ใน
กลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
อย่างเบาสบาย
บุญพลังแห่งความสุขและความสำเร็จ
นึกถึงบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่ง
ถึงปัจจุบันชาตินี้ มารวมเป็นดวงบุญใสๆ กลมรอบตัวเหมือน
ดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
ความสว่างอย่างน้อยก็เหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันแล้วก็
สว่างเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ ของเรา
ในกลางดวงบุญจะเป็นบุญธาตุ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความ
สุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา ตั้งแต่ปุถุชนจนกระทั่งเป็น
พระอริยเจ้า บุญธาตุที่กลั่นมาจากการทำความดี ทั้งทาน ศีล
ภาวนา เป็นต้น ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม ที่เราได้ให้
วัตถุทาน จนกระทั่งให้วิทยาทาน อภัยทาน ธรรมทาน เป็นต้น
ทุกๆ บุญเลย ศีลที่เรารักษา ภาวนาที่เราเจริญ คือฝึกใจหยุด
นิ่ง กับบุญที่อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ* เช่น ชวนคนมา
ทำความดี หรือทำความเห็นให้ตรงต่อหนทางพระนิพพาน เป็นต้น
บุญนี่แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จใน
ชีวิตของเรา จะติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของทุกกายเลย
ทั้งกายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม
กายอรูปพรหม กระทั่งถึงกายธรรม ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่๗
ที่มีความใสความบริสุทธิ์ โตใหญ่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง เช่น
ดวงบุญที่อยู่ในกายมนุษย์หยาบของเรา เวลามาเกิด กาย
ละเอียดก็มาพร้อมกับดวงบุญนี้ เมื่อผ่านครรภ์บิดามารดาออก
มาเป็นกายมนุษย์ ดวงบุญก็จะปรุงแต่งให้เรามีสมบัติติดมาด้วย
รูปสมบัติ จะมีรูปกายตามกำลังแห่งบุญ ถ้ามีวิบัติเจือ
กายมนุษย์หยาบก็จะพิการ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าได้รูปสมบัติที่ดี
ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง ก็จะได้ร่างกายที่สมส่วน แข็งแรง มีโรค
น้อย อายุขัยยืนยาว มีวรรณะผ่องใส อายุ วรรณะ สุข พละ
รวมประชุมอยู่ในรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติ ก็ตั้งแต่อาหารหวานคาว เสื้อผ้า ที่อยู่
อาศัย ทรัพย์สินเงินทอง พวกพ้อง บริวาร ยารักษาโรค ลาภ
ยศสรรเสริญ เป็นต้น
คุณสมบัติ ก็คือมีดวงปัญญาที่สอนตัวเองได้ มีความรู้ดี
ความสามารถดี มีความประพฤติดี เปรื่องปราดแทงตลอดใน
ศาสตร์ทั้งปวงทั้งทางโลกและทางธรรม
*บุญกิริยาวัตถุ๑๐
๑.ทานมัยบุญที่สำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒.สีลมัยบุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓.ภาวนามัยบุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔.อปจายนมัยบุญที่สำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อม
๕.ไวยยาวัจจมัยบุญที่สำเร็จด้วยการขวนขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
๖.ปัตติทานมัยบุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗.ปัตตานุโมทนามัยบุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘.ธัมมัสสวนมัยบุญที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙.ธัมมเทสนามัยบุญที่สำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกรรมบุญที่สำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง(เชื่อว่าบาป-บุญมี,
นรก-สวรรค์มี,ชาตินี้-ชาติหน้ามี,เชื่อหลักไตรลักษณ์อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา)
สมบัติทั้งสามนี้จะติดมาในดวงบุญกับกายมนุษย์หยาบเป็น
ชนกกรรมนำไปเกิดตามกำลังแห่งบุญ ถ้าเราสั่งสมบุญตอน
เป็นกายมนุษย์หยาบ บุญก็ติดตรงกลางนั้นเป็นดวงใสๆ แต่
ชนกกรรมนั้นจะค่อยๆ หมดไป เนื่องจากเป็นบุญเก่า เหมือน
พลังอาหารที่จะส่งผลให้เรามีชีวิตอยู่ในโลก ถ้าใช้เพื่อเป็นบุญ
ต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติ ก็จะมีดวงบุญดวงใหม่ติดอยู่ในกลาง
กายซ้อนๆ กันอยู่
เมื่อกำลังบุญเก่าหมดก็หมดอายุขัย กำลังบุญใหม่ก็ติดอยู่
ในกลางกายส่งต่อไปถึงกายมนุษย์ละเอียด เมื่อเดินออกจากฐาน
ต่างๆ คำว่า “เดิน” ไม่ได้หมายถึงก้าวเท้าเดินนะ แต่หมายถึง
เคลื่อนหลุดออกไปตามฐานต่างๆ จากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๖
(ที่ระดับสะดือ) ฐานที่ ๕ (ปากช่องคอ) ฐานที่ ๔ (เพดานปาก)
ฐานที่ ๓ (กลางกั๊กศีรษะ) ฐานที่ ๒ (ที่หัวตาหญิงซ้ายชายขวา)
ฐานที่ ๑ (ปากช่องจมูก) หลุดออกไปก็เป็นกายมนุษย์ละเอียด
ไปแสวงหาที่เกิดใหม่ เมื่อไปอยู่ในภพภูมิไหนที่เหมาะสมตาม
กำลังแห่งบุญกายนั้นดับไป ก็จะมีดวงบุญอีกกายหนึ่งตามภพภูมิ
นั้นบังเกิดขึ้นแทน
เช่น บังเกิดในเทวโลกจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เกิดแล้วโต
ทันที เรียกว่า โอปปาติกะ ดวงบุญที่อยู่ในกายทิพย์ก็จะเปิดขึ้น
ใช้ เมื่อใช้แล้วเราก็จะได้กายเป็นทิพย์ มีเครื่องประดับ มีทิพย
สมบัติ มีวิมาน พวกพ้อง บริวาร อะไรต่างๆ เหล่านั้นเป็นต้น
ซึ่งมาจากบุญที่เราสั่งสมมาตอนเป็นกายมนุษย์หยาบ ดวงบุญ
จะติดอยู่ตรงกลางเป็นดวงใสๆ
ถ้าจะได้นิพพานสมบัติ บุญนี้ก็ส่งผลไปถึงกายธรรม บุญ
อยู่ในกลางกายธรรมก็พรึบขึ้นมา ก็จะดูดเห็นจำคิดรู้เราตกศูนย์
ไปสู่กายนั้นพรึบ เป็นกายพระอริยเจ้าตามกำลังแห่งบารมี เช่น
เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
เป็นต้น นี่คือ มนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ
อานิสงส์การเป็นผู้นำบุญ
บุญเกี่ยวกับเรื่องกฐิน ถ้าคิดด้วยตัวเอง มีกุศลศรัทธาด้วย
ตัวเอง สอนตัวเองได้ บอกตัวเองได้ ชักชวนตัวเองได้ เป็นแหล่ง
กำเนิดแห่งความคิด คำพูด แล้วก็ทำด้วยตัวเอง กำลังบุญนี้จะ
แรงกล้ามาก และถ้าไปชวนคนอื่นเขาทำด้วยก็จะมีบุญที่จะเป็น
ผู้นำ ไปชวนคนทำความดี มีพวกพ้องบริวาร ที่เราชวนมานั่น
ก็ตามกำลังบุญ ถ้ามาด้วยความปีติยินดี ปลื้มใจ ดีใจ บุญก็ได้
เต็มที่
ถ้าถวายวัตถุทาน จตุปัจจัยไทยธรรม ก็จะมีทรัพย์ไปตาม
กำลังแห่งบุญ ถ้าประธานก็จะได้เป็นผู้นำของชุมชนตามกำลัง
แห่งบุญ เช่น ถ้าเทียบสมัยนี้กำลังบุญส่งเป็น อบต.บ้างเป็น
ผู้ว่า เป็นปลัดกระทรวง เป็นรัฐมนตรี เป็นนายก เป็นพระราชา
ในแต่ละยุคสมัยบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นเพราะผลบุญที่
เกิดจากการเป็นผู้นำบุญชวนคนทำความดี จะมีพรรค มีพวก
มีบริวารสมบัติเกิดขึ้น
ในเทวโลกก็จะมีบริวารมาก มีทิพยสมบัติมาก เป็นเทวดา
ที่มีศักดิ์ใหญ่ ไปไหนก็จะได้รับความเคารพเลื่อมใส หลีกทางให้
บุญที่เป็นผู้นำที่คิดด้วยตัวเอง แต่ถ้าคนอื่นเขาชวนทำแต่ทำ
เต็มที่ กำลังบุญก็จะหย่อนมาหน่อย ถ้าจากนายกก็มาเป็นรอง
นายก อย่างนี้เป็นต้น แต่ที่จะไม่ประสบความสุขความสำเร็จ
ในชีวิตนั้นเป็นไม่มี เพราะสั่งสมบุญกันไปอย่างนี้
โดยเฉพาะบุญกฐินซึ่งเป็นกาลทาน ปีหนึ่งมีครั้งเดียว
เป็นการสนับสนุนให้พระที่ออกพรรษาแล้วได้อานิสงส์เต็มที่
ตามพระวินัย เราไปทอดกฐินทำให้พระสมปรารถนา เราก็จะ
สมปรารถนาด้วย ก็จะมีทรัพย์มาก ได้เกิดในร่มเงาพระพุทธ
ศาสนา แล้วก็มีทุกสิ่งที่ผู้มีบุญในกาลก่อนเขามีกันตามกำลัง
แห่งบุญ
การได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา
การได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา ก็จะทำให้เราได้ศึกษา
เรียนรู้คำสอนจากท่านผู้ที่ฝึกตนพัฒนาตนจนกระทั่งหลุดพ้น
จากกิเลสอาสวะ ได้รับความรู้จากผู้ที่หมดกิเลสแล้ว ก็จะทำให้
เราได้ความรู้ที่แท้จริง ทำให้การดำเนินชีวิตถูกต้องปิดอบายไป
สวรรค์ มีสุขในปัจจุบันและก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามไป
ด้วย เพราะทำตามคำสอนของผู้ที่ดำเนินชีวิตถูกต้อง นำใจมา
สู่ตำแหน่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเวลาจะคิดก็คิดถูกต้อง พูด
ถูกต้อง ทำถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องดีงามก็จะบังเกิดขึ้นกับตัวเอง
แต่ถ้าไม่ได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาก็จะได้ความรู้ที่
ไม่สมบูรณ์ เป็นความรู้ที่ถูกต้องน้อย ผิดพลาดมาก ความผิด
พลาดก็จะทำให้ดำเนินชีวิตผิดพลาดซึ่งก็จะมีอบายภูมิรองรับ
เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น การเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาถือว่ามีบุญ
มาก ทีนี้จะเกิดอย่างนี้ได้ก็จะต้องมีสายบุญกับพระพุทธศาสนา
เช่น มาบวชหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นคฤหัสถ์
เป็นญาติโยม อย่างนี้เป็นต้น สายบุญนี้ก็จะเชื่อมโยงกับพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบังเกิดขึ้นที่ไหนเราก็จะไปเกิดที่นั่นหรือ
ไปเกิดอยู่ในความรู้ของพระองค์ แม้ท่านดับขันธปรินิพพานไป
แล้ว แต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ก็ตกทอดมาถึงพระสงฆ์
ซึ่งทรงจำศึกษาเอาไว้ เป็นตัวแทนของท่านก็เป็นประหนึ่งท่าน
ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เราก็จะได้ศึกษาเรียนรู้ดำเนินชีวิตได้ถูก
ต้อง เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แปลว่าเราก็ปิดอบาย
เปิดประตูสวรรค์ให้กับตัวเอง มีสุขในปัจจุบันแล้วก็จะได้สมบัติ
ทั้งสามติดไปทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน ถ้ามุ่ง
ไปที่สุดแห่งธรรมก็จะก้าวเดินทางต่อไปถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะ
ฉะนั้นบุญเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องสั่งสม ทำบ่อยๆ เพราะ
เราใช้บุญเก่าหมดเปลืองไปบ่อยๆ บุญใหม่ก็ต้องสั่งสมบ่อยๆ
เรามีช่วงโอกาสสั่งสมบุญ เฉพาะตอนเป็นกายมนุษย์หยาบ
เท่านั้น ซึ่งในยุคนี้ก็เป็นช่วงสั้นๆ เราไม่ได้มาเกิดในยุคของ
มนุษย์ที่มีอายุยืนเป็นหมื่นปี หรือหลายหมื่นปี เพราะฉะนั้น
ช่วงสั้นๆ นี่แหละเป็นช่วงสั่งสมบุญ แต่ช่วงเสวยผลบุญนั้น
ยาวนานตามกำลังแห่งบุญ แต่ถ้าเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยสั้น
มันก็มีช่วงสั้นในการสั่งสมบุญ การอยู่ในเทวโลกก็จะสั้นกว่าผู้
ที่ได้สั่งสมบุญยาวนานในสมัยกัปไขขึ้นที่มีอายุยืนยาว นี่ก็เป็น
เรื่องที่เราโชคดีที่มาเกิดอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาเรียน
รู้ในสิ่งเหล่านี้ ที่ไม่มีในคำสอนของความเชื่ออื่นๆ
ดังนั้น การเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนานี้ จึงเป็นบุญลาภ
และมีความสำคัญกับตัวเราอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นให้ลูกทุกคน
นึกถึงบุญที่เราทำผ่านมา ด้วยใจที่ปลื้มปีติยินดี ใจเราจะได้
ใสๆ บริสุทธิ์ จนกระทั่งความบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ เป็นดวงใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปคือ ทำให้ดวงบุญนี่ใสในใสหนัก
ยิ่งขึ้น โดยการหยุดใจในกลางดวงบุญนั้น หยุดในหยุด นิ่งใน
นิ่งกลางดวงบุญนั้น จากนิ่งหลวมๆ ก็มานิ่งแน่น คือนิ่งอย่าง
นั้นจนกระทั่งความคิดอื่นดึงใจเราหลุดไปไม่ได้ใจของเราก็จะได้
ใสบริสุทธิ์ อยู่ตรงกลางกาย ดวงบุญยิ่งใสในใสเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
สมบัติต่างๆ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ
สรรเสริญ สุข มรรคผล นิพพาน ก็จะบังเกิดขึ้นกับเราเร็วขึ้น มี
ปริมาณมากขึ้น ทั้งปริมาณ คุณภาพ คุณค่า เหมือนผู้มีบุญใน
กาลก่อนอย่างนั้น ยิ่งใสในใส ใสในใส หนักเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ยิ่ง
มีอานุภาพมากขึ้น โตใหญ่เพิ่มขึ้น ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งขยายดวง
บุญไม่มีหยุดยั้ง ดวงบุญจะขยายโตขึ้น ใสขึ้น จากดวงเล็กๆ
ที่ติดที่กลางกายก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ
จะปกครองดูแลตรงไหน ถ้าดวงบุญครอบ
ครองในเขตนั้นก็จะเป็นใหญ่ในเขตนั้น ถ้าดวง
บุญโตท่วมประเทศก็จะเป็นใหญ่ในประเทศ ถ้า
ท่วมโลกก็จะเป็นใหญ่ในโลก ถ้าท่วมไปถึงทวีป
ทั้ง ๔ ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเลยโตใหญ่
กว่านั้นเข้าไปอีกก็จะเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า
กระทั่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นดวง
ใสๆ แล้วก็จะกลั่นลำดับส่วนไปเป็นบารมี
บารมี
เราได้ยินบ่อยๆ ว่า มีบารมีอย่างนั้นอย่างนี้
แต่คำว่า “บารมี” นี้มีลักษณะอย่างไร เราก็ต้อง
รู้จัก มันจะอยู่ในกลางดวงบุญ เป็นจุดกึ่งกลาง
จากดวงบุญโตๆ ก็จะกลั่นไปเรื่อยๆ เช่น
ดวงบุญโตเท่าคืบหนึ่ง จะกลั่นไปเป็นดวงบารมี
สักปลายนิ้วก้อย และกว่าบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ ๓๐ ทัศ
จะบริบูรณ์ ก็ต้องสั่งสมเพิ่มพูนไปเรื่อยๆ จะ
เป็นชั้นๆ ไป บารมีก็จะกลั่นต่อไปเป็นรัศมี
ลำดับส่วนไปเรื่อยๆ เป็นกำลัง เป็นฤทธิ์
เป็นอำนาจ เป็นสิทธิ เป็นเฉียบขาด เป็นชั้นๆ
เข้าไป
สิทธิเฉียบขาดก็มีอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นตัวของตัวเอง
ได้อย่างสมบูรณ์ ถ้ายังไม่เต็มที่ก็หย่อนลงมา
ถ้าสิทธิเฉียบขาดในเมืองมนุษย์ก็เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ มันจะหย่อนๆ กันมาอย่างนี้ แต่
ทั้งหมดเริ่มจากดวงบุญใสๆ นี่แหละจ้ะ คือ
สิ่งที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้กันไป ฝึกฝนกันไป
เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ภายหลังจากที่เราทำบุญไปแล้วก็ต้องมา
ตามระลึกนึกถึงแล้วก็ปลื้มใจทุกครั้งว่า เราตัดสินใจถูกแล้วที่
เราได้สั่งสมบุญที่ผ่านมา แม้ทรัพย์กว่าจะหามาได้ด้วยความ
ยากลำบาก หรือกว่าจะตั้งกองกฐินกันมาได้มันก็ไม่ใช่ง่าย ต้อง
เหน็ดเหนื่อยออกเรี่ยวออกแรงอะไรต่างๆ เหล่านั้น เราทำได้
ใจก็ปลื้ม เวลาทำก็ปลื้มปีติ สุขใจ ดีใจ หลังจากทำแล้วนึกถึง
ทีไรก็ปลื้ม เราทำถูกหลักวิชชาในแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ มองออก
ว่าตรงไหนเป็นแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ ตรงไหนไม่ใช่ แม้จะ
ทำทั่วไปก็จะต้องรู้ว่าบุญหลักควรจะทำที่ใคร บุญรองถัดลงมา
ควรทำที่ใคร ไม่อย่างนั้นคำว่า ทักขิไณยบุคคลแหล่งแห่ง
เนื้อนาบุญจะไม่มี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแทงตลอดในเรื่องเหล่านี้ในขณะ
ที่มนุษย์ยังมีกิเลสอยู่แทงไม่ตลอด ความรู้จึงยังไม่สมบูรณ์ก็จะ
เห็นเฉพาะที่ดวงตาเขาเห็นเท่านั้น ดวงตาภายนอกเห็น แต่พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้ามีดวงตาภายใน ธรรมจักษุ เห็นได้รอบตัวใน
เวลาเดียวกัน ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เห็นตลอดเส้นทางเกี่ยว
กับเรื่องบุญ จะก่อกำเนิดอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร จะส่งผลอย่างไร
ถึงจุดหมายปลายทาง
เพราะฉะนั้น พระองค์ก็จะแยกออกว่าบุญนี่ต้องทำ ควร
ทำกับใคร กับอะไร ดังนั้นคำว่า “เนื้อนาบุญ” คือ แหล่งแห่ง
ความบริสุทธิ์ พลังบริสุทธิ์อยู่ที่ตรงนั้น ท่านก็จะสั่งสอนด้วย
พระมหากรุณา ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้ง
หลายอย่างแท้จริง ท่านไม่ปรารถนาอะไรเลย
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ไปทางไหนว่าตรงนี้
เป็นเนื้อนาบุญ ให้ไปทำตรงนั้นก่อน ส่วนที่อื่นที่ไม่ใช่เนื้อนาบุญ
ก็ทำด้วย จะสงเคราะห์โลกก็ทำด้วย เพราะเราต้องอยู่กับ
มนุษย์ ต้องเกื้อกูลกัน แต่ต้องรู้ว่าเนื้อนาบุญอยู่ตรงไหน แล้ว
ก็ทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปจึงจะสัมบูรณ์
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็ให้ลูกทุกคนตรึกนึกถึงบุญว่า เรา
ทำถูกหลักวิชชาแล้ว ทำกับเนื้อนาบุญ ทำกับพระเดชพระคุณ
หลวงปู่ฯ ทำกับคณะสงฆ์ตามวัดวาอารามต่างๆ ซึ่ง
มีความสำคัญที่เกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนา ทำกับวัดที่กำลัง
จะล่มสลายให้ฟื้นฟูกลับมาใหม่ ที่เราได้สมมติเรียกว่า “กฐิน
สัมฤทธิ์” เราฟื้นขึ้นมาอีก เหมือนวัดที่กำลังโคม่า เหมือนคน
โคม่าปลุกให้ฟื้นคืนมาใหม่ ให้เป็นที่พึ่งกับมนุษย์และเทวดาใหม่
เป็นที่พึ่งแก่นักบวชแก่บรรพชิตใหม่
บุญเหล่านี้มีอานิสงส์ มีอานุภาพอันไม่มีประมาณทั้งสิ้น
เทวดาเขามองเห็น เขาชื่นชมอนุโมทนาสาธุการ บัณฑิต
นักปราชญ์ที่เป็นผู้รู้มองเห็นก็ชื่นใจ ปีติใจ เราก็นึกถึงบุญอย่าง
นี้นะ
วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๑๗ www.dhamma01.com
น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ