วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ความละเอียดภายใน

วิธีนั่งสมาธิ จากหนังสือ ง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๑๘ ความละเอียดภายใน
วันคืนควรชื่นแล้ว ด้วยธรรม
หากลูกหมั่นตอกย้ำ ค่ำเช้า
นึกถึงแต่ถ้อยคำ ของพ่อ
ใจตรึกพระพุทธเจ้า อย่างนี้ละเอียดใส
ตะวันธรรม

       เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไป
ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้า
ตักพอสบายๆ
       หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับ
ตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
หลับตาให้สบายๆ แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ ว่างเปล่าจากอารมณ์
ทั้งหลาย
      แล้วก็ให้สมมติว่า ร่างกายของเรานั้นตั้งแต่ภายในกะโหลก
ศีรษะ ในปาก ลำคอ ทรวงอก แล้วก็กลางท้อง ปราศจาก
อวัยวะภายใน ไม่มีมันสมอง ปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ ไส้ใหญ่
ไส้น้อย เป็นต้น สมมติว่าเป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงๆ เป็นโพรง
ภายใน คล้ายท่อแก้วใสๆ
       ให้เป็นทางไหลผ่านของกระแสธารแห่งความบริสุทธิ์และ
ความดีงามที่เราได้สั่งสมอบรมมา ตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดมา
เป็นมนุษย์ สร้างบุญบารมี ๓๐ ทัศ เรื่อยมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
รวมกับอานุภาพอันไม่มีประมาณของพระรัตนตรัย คือ พุทธรัตนะ
ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ และพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลของบิดา
มารดา ครูบาอาจารย์
       ทั้งหมดนี้รวมเป็นกระแสธารแห่งความบริสุทธิ์ ไหลผ่าน
กลางท่อแก้วใสๆ ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินในใจของเราให้หมดสิ้นไป
ตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง อุปกิเลสทั้งหลาย
นิวรณ์ทั้ง ๕ สังโยชน์เบื้องต่ำ เบื้องสูง วิบัติ บาปศักดิ์สิทธิ์
วิบากกรรม วิบากมาร อุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิต ทุกข์ โศก
โรค ภัย สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ให้ละลายหายสูญไปให้หมด
       ให้เหลือแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์
กลางกายฐานที่ ๗ เป็นดวงใสๆ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไน
แล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว ไม่มีไฝฝ้า ไม่มีตำหนิ กลมรอบ
ตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาด
พระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน

ศูนย์กลางกายฐานที่๗

       สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จักว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่
ที่ตรงไหน ก็ให้สมมติว่า หยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึง
ให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไป
ด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม ให้สมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมา
วางซ้อนกัน แล้วก็นำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูง
ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งจะเห็นได้เมื่อใจหยุดนิ่งได้สนิทสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
       เพราะฉะนั้น เราจำง่ายๆ ว่า อยู่ในกลางท้องในตำแหน่ง
ที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือให้ง่ายกว่านี้ไปอีกก็คือ
อยู่ตรงกลางท้อง ตรงตำแหน่งที่เรามีความรู้สึกมั่นใจ พึงพอใจ
สบายใจ แล้วต่อจากนี้ไปก็ไม่ต้องไปกังวลกับศูนย์กลางกายฐาน
ที่ ๗ เลย เพราะเรามั่นใจว่า อยู่ตรงนี้ก็ตรงนี้
       ดวงใสๆ ดังกล่าว ที่อย่างเล็กเท่ากับดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาด
พระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ปรากฏเกิดขึ้นที่ตรงนี้ ตรงกลางท้อง
ของเรา ให้เอาใจที่แวบไปแวบมา คิดไปในเรื่องราวต่างๆ เรื่อง
คน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เป็นต้น
เอาใจมาหยุดนิ่งๆ ที่ตรงกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
ใจตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ให้ได้ตลอดเวลา

ตรึก

       ตรึก ก็คือ การนึกถึงดวงใสๆ อย่างสบายๆ คล้ายๆ กับ
เรานึกถึงสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราคุ้นเคย เช่น นึกเหมือนนึกหน้าแม่
หน้าพ่อ หน้าลูก หรือนึกถึงแหวนเพชร ขันล้างหน้า ดอกไม้
ดอกบัว ดอกกุหลาบ เป็นต้น ให้นึกง่ายๆ อย่างนั้น อย่างนี้
เรียกว่า การตรึก
       ไม่ใช่หมายถึง การเพ่งลูกแก้ว หรือไปเค้นภาพลูกแก้วให้
ทะลักออกมาในกลางท้อง หรือไปควานหาดวงแก้วในที่มืด ให้
นึกอย่างเบาๆ สบายๆ ถึงดวงใสๆ ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่
ตรงกลางดวงใสๆ อย่างนี้เรื่อยไป
       ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น เราก็ดึงใจกลับมาเริ่มต้นใหม่อย่าง
ง่ายๆ อย่าไปหงุดหงิด ในกรณีที่ใจอดแวบไปคิดถึงสิ่งที่เราคุ้น
เคยไม่ได้ อย่าไปบังคับใจ อย่าไปห้าม อย่าไปฝืนต่อต้าน อย่า
ไปรำคาญใจที่ชอบแวบไปคิดเรื่องอื่นเรื่อย ใจมันคุ้นกับอะไรก็
ไปอย่างนั้นก่อน แต่พอรู้ตัวก็ดึงใจกลับมาใหม่ง่ายๆ ให้หยุด
นิ่งๆ กลางดวงใสๆ อย่างนี้

บริกรรมภาวนา

       เมื่อเราตรึกนึกถึงดวงใส องค์พระใสๆ แล้วใจก็ยังอดที่จะ
แวบไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ก็ให้ประกอบบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
ค่อยๆ ประคองใจไป คำภาวนานี้ ไม่ได้หมายถึง การท่องโดย
ใช้กำลัง แต่ให้เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ที่ดังออกมาจากกลาง
ดวงใสๆ คล้ายๆ เสียงสวดมนต์ในใจ ในบทที่เราคล่อง หรือ
เสียงเพลงที่เราชอบ แล้วดังในใจโดยที่ไม่ได้ตั้งใจร้องเพลง
เลย ให้บริกรรมภาวนาว่า สัมมา อะระหัง ตรึกนึกถึงดวงใส
ให้ใจหยุดลงไปที่จุดกึ่งกลางของดวงใสๆ พร้อมกับภาวนา
เรื่อยไปเลย
       ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมา อะระหัง เราก็ยังคงตรึกนึกถึง
ดวงใส ใจหยุดอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของดวงใสๆ ภาวนาเรื่อยไป
จนกว่าใจจะหยุดนิ่งๆ
       เมื่อใจหยุดนิ่ง มันจะทิ้งคำภาวนาไปเอง จะมีอาการ
คล้ายๆ กับเราลืมคำภาวนา แต่ใจนั้นไม่ฟุ้ง มันหยุดนิ่งเฉยๆ
ที่กลางดวงใสๆ หรือมีความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนา ถ้า
เกิดความรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาให้รักษาใจที่
ใสๆ หยุดนิ่งอยู่ที่กลางดวงใสๆ กลางท้องของเรา ที่เรามั่นใจ
ว่า เป็นศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ทำอย่างนี้ แค่นี้ เท่านั้น

อย่าเค้นภาพอย่าบังคับใจ

       ถ้าหากว่าดวงใสๆ มันไม่ชัดเจน ก็อย่าไปพยายามเค้น
ภาพ เค้นใจให้มันชัด ให้มันใส ให้มันสว่าง มีให้ดูแค่ไหน เราก็
ดูไปแค่นั้น จะคุ่มๆ ค่ำๆ รัวๆ รางๆ ก็ช่างมัน ก็ตรึกไปเรื่อยๆ
อย่างสบายๆ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ประคองใจของเราไปเรื่อยๆ
       ถ้าหากว่า นึกไม่ออกก็ช่างมัน เอาใจนิ่งๆ อยู่ที่ตรง
ตำแหน่งที่เรามั่นใจ พึงพอใจ สบายใจในกลางท้องของเรา
นิ่งเฉย แม้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ภาวนา สัมมา อะระหัง
หรือจะไม่ภาวนาก็ได้ ให้นิ่งเฉยๆ อย่างสบายๆ
       มืดหรือสว่าง ไม่ต้องไปสนใจ จะเห็นภาพ หรือไม่เห็น
ภาพ หรือไม่มีอะไรใหม่ก็ช่างมัน อย่าไปหงุดหงิด อย่าไป
รำคาญ อย่าไปฮึดฮัด ให้ทำใจเย็นๆ เบาๆ คล้ายๆ กับตอน
ที่เราเคลิ้มๆ ใกล้ๆ จะหลับ แต่เรายังมีสติรู้ตัวอยู่ ก็ค่อยๆ
ประคองใจให้นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไมไปเรื่อยๆ

ง่วงก็ปล่อยให้หลับ

       แต่ถ้าหากว่า มันจะเผลอหลับ เพราะร่างกายต้องการพัก
ถึงแม้ว่าใจจะสู้ ถ้ามันเผลอ ก็ปล่อยให้หลับไป อย่าไปฝืนนะ
พอฝืนแล้วมันจะไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มันจะสะเทือนถึง
ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
       ถ้าจะหลับก็ปล่อยมัน แต่หลับตรงกลางกายของเรา หลับ
แล้วต้องได้บุญ หลับแล้วใจของเราจะต้องถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ด้วย
เพราะฉะนั้นปล่อย อย่าฝืน มันจะหลับไม่นานเท่าไร พอสดชื่น
มันก็ตื่นเอง
       พอตื่นมานี่ ตรงนี้สำคัญ อย่าผลีผลามลืมตานะ อย่าขยับ
ตัว อย่าเผลอลืมตา ให้นิ่งๆ ตรงที่สดชื่น มันจะอยู่ตรงไหนก็ช่าง
เราก็ยังคงนิ่งเฉยๆ ตรงที่มีความรู้สึกว่า สบาย แม้ว่ามันอาจจะ
ไม่อยู่ที่กลางท้อง อาจจะอยู่ที่ตรงไหนก็ไม่รู้ ข้างนอก ข้างหน้า
นอกตัวเรา หน้าตัวเราก็ช่างมันไปก่อน ตอนนั้นอย่าลืมตานะ
นิ่งๆ เฉยๆ หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนั้นสำคัญ ถ้าประคองใจเป็น
อย่างสบายๆ เพราะตอนเราตื่นใหม่ๆ มันสดชื่น และอารมณ์
ยังเบาอยู่ สบายอยู่ เราก็ยังไม่ลืมตา นิ่งเฉย
       บางคนอาจจะมีความรู้สึกว่า ตัวเราเป็นโพรงกลวงบ้าง
ตัวหายไปบ้าง ตอนนี้อย่าไปกังวลหาศูนย์กลางกายนะ กำลัง
จะดีแล้ว พอไปหาศูนย์กลางกายว่า เอ๊ะ! มันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
จิตก็เลยหยาบขึ้นมา ตอนนั้นไม่ต้องไปหาแล้ว สบายตรงไหน
ก็ตรงนั้นแหละ นิ่งเฉย ปล่อยให้ตัวมันหายไป เราจะพักผ่อน
อย่างลึกๆ มันจะสดชื่นแล้วมีพลัง แล้วก็มีกำลังใจที่จะนั่งต่อ
ไปในวันต่อๆ ไป แล้วเราจะดื่มด่ำกับความสุขที่ละเอียดอ่อน
นั้น ที่มันสบ๊าย สบาย ถ้าตื่นมาแล้วเป็นอย่างนี้ ก็ทำอย่างนี้นะ
       แต่บางคนพอนึกอยากจะให้หลับ คือ ปล่อยมัน หลับก็ช่าง
ไม่หลับก็ช่าง มันเกิดไม่หลับแต่กลับสดชื่น คือ ตัวหายไปเลย ก็
ให้ทำแบบเดียวกัน คือ ให้ดื่มด่ำกับอารมณ์ที่ละเอียด ละเมียด
ละไม ที่ความรู้สึกของร่างกายเราไม่มี นิ่งให้นานที่สุด นานแค่
ไหนก็ช่าง จนกว่าใจจะถอนขึ้นมาเอง ไม่ใช่เราไปนึกอย่างนี้ว่า
เออ มันสบายดี มันน่าจะมีอะไรให้เห็นบ้าง พอคิดแค่นี้จิตเลย
ถอนขึ้นมาเลย
       ตอนนี้อย่าไปใช้ความคิด ทำจิตให้นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ อยู่ที่
ตรงนั้น ตรงไหนก็ได้ ตรงที่สบาย แล้วมันก็จะเพลิดเพลิน สบ๊าย
สบาย เริ่มมีความรู้สึกว่า เออ การนั่งสมาธิมันไม่ยากนะ แล้ว
ก็เป็นการพักผ่อนถึง ๒ ชั้น
       พักตื้นๆ ชั้นหนึ่งตอนที่เราปล่อยให้หลับ กับตอนที่เราตื่น
จากหลับ มันตื่นตัวภายใน เป็นการพักอีกระดับที่ลึกกว่าเดิม
เหมือนเราเดินที่ชายหาดเอาเท้าจุ่มน้ำตื้นๆ ยังชื่นใจ ถ้าลึกๆ
มันจะชื่นใจขนาดไหน ตรงนี้ก็เหมือนกัน เราจะได้เริ่มรู้จักความ
ละเอียดของใจอีกมิติหนึ่ง ถึงแม้ยังไม่ถึงดวงธรรมภายใน ก็จะ
เริ่มรู้ว่า อ้อ มันดี มันประณีตอย่างนี้ แล้วเราก็ทำความคุ้นเคย
กับมันให้นานที่สุด พอถอนมาก็ช่างมัน
       ส่วนวันหลังเรานั่งแล้วไม่ได้อย่างนี้ ก็อย่าไปเสียอกเสียใจ
แล้วเวลาเลิกนั่งก็อย่าเพิ่งไปอยาก อยากให้ได้อย่างนี้ อยากก็
ไม่เอา ไม่อยากก็ไม่มี ทำเฉยๆ อย่างที่แนะนำไว้ตั้งแต่เบื้องต้น

เมื่อย/ฟุ้ง
       ถ้าใครเมื่อย ก็อย่าไปฝืนอิริยาบถ เรานั่ง
เอาธรรมะ ไม่ใช่นั่งเอาท่าสวย เพราะฉะนั้น
เมื่อยเราก็ขยับ ง่วงก็หลับ ฟุ้งก็ภาวนา ถ้าภาวนา
สู้ไม่ไหว ก็ลืมตาดูสิ่งที่ทำให้เราสบาย ดูพระ
พุทธรูป ดวงแก้ว หลวงปู่วัดปากน้ำฯ หรือ
คุณยายอาจารย์ฯ หรืออะไรที่ทำให้สบายใจ
พอสบายใจดีแล้วก็ค่อยๆ หลับตา อย่าหลับตา
ทันที ให้ค่อยๆ หรี่ตาลงทีละน้อยๆ อย่าถึงกับ
ปิดสนิท เหมือนจะเคลิ้มๆ แล้วก็รักษาระดับนั้น
เอาไว้ นิ่งๆ นุ่มๆ สบายๆ

       ไม่หวังว่าจะได้ผลอะไร แต่ให้การเห็นภาพเป็นผลพลอยได้
ที่เกิดขึ้นมาเพราะเราวางใจได้ถูกส่วน สิ่งที่สำคัญก็คือให้คุ้นเคย
กับความประณีต ละเอียด ละเมียดละไมของใจที่เป็นอิสระใน
เบื้องต้น ที่มันหลุดพัวะจากกายหยาบไป เคว้งคว้างเหมือน
อยู่กลางท้องฟ้าในคืนเดือนมืด ท้องฟ้ามืดสนิท มันก็ไม่เห็น
อะไร แล้วเราก็นิ่งให้ใจคุ้นกับความละเอียด ละเมียดละไมที่
นุ่มๆ นิ่งๆ ละมุนละไม แม้ไม่มีอะไรให้ดูก็ช่างมัน นิ่งเฉยๆ
คุ้นอย่างนี้เรื่อยไป มันจะเป็นรางวัลชีวิตให้กับเราทุกๆ ครั้งที่
เรานั่งภาวนา

ก่อนออกจากสมาธิ

       แล้วเวลาเราจะออกจากสมาธิ ก็ค่อยๆ เผยอเปลือกตา
ขึ้นมาเบาๆ ทีละน้อยๆ อย่าผลีผลามลืมพัวะขึ้นมาอย่างนั้น
ไม่เอานะ แล้วก็นั่งนิ่งๆ สัก ๑ หรือ ๒ นาที จนเราคุ้นกับความ
นิ่ง แล้วถ้ารักษาอารมณ์นี้ได้ก็ให้รักษา นานกี่นาทีก็ช่างมัน อาจ
จะได้ ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ก็ขยายเวลาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

       ทำอย่างสบายๆ ให้สม่ำเสมอ ทำไปวันต่อวัน
หากินกันไปวันๆ เหมือนหายใจ เราหายใจเข้าไป
ครั้งหนึ่ง มันอยู่ได้ไม่กี่นาที เดี๋ยวเราก็หายใจออก
ก็อยู่ได้อีกไม่กี่นาทีก็ต้องหายใจเข้า-ออกๆ ใช้
ไปทีละช่วงของเวลา หรือเวลาเรารับประทาน
อาหาร ทานตอนเช้าก็อยู่ได้แค่ถึงเที่ยง ถ้าทาน
ตอนเที่ยงอยู่ได้ถึงเย็น ทานตอนเย็นอยู่ได้ถึง
กลางคืนอย่างนี้ นั่งธรรมะก็เหมือนกัน เราก็ทำ
วันต่อวัน นั่งอย่างธรรมดา สบายๆ ใจเย็นๆ
ไม่ช้าก็จะสมหวังดังใจ

       พอใจเริ่มคุ้นกับความละเอียด และเรามีความสุขกับการ
นั่ง แม้ไม่เห็นอะไร มันก็จะขยายเวลาในการนั่งของเราออกไป
เองด้วยความสมัครใจ เต็มใจ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องพยายาม
       การทำอะไรด้วยใจรัก มีฉันทะ มีความสมัครใจ เต็มใจทำ
มันมีความสุข ไม่ต้องฝืน และเราจะทำสิ่งนั้นได้ดี นั่งสมาธิก็
เหมือนกัน ถ้าทำแล้วรู้สึกเป็นสุข สนุกกับการทำจะนั่งได้นาน
นั่งได้บ่อยๆ และไม่ช้าใจก็จะคุ้นกับความละเอียด
       เมื่อความละเอียดสั่งสมเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน มากพอที่จะนิ่ง
ได้สนิทถูกส่วนไปเอง ตอนนี้แหละเราจะเข้าถึงดวงใสๆ กาย
ใสๆ องค์พระใสๆ ที่มีอยู่แล้วภายใน เข้าถึงองค์พระในองค์พระ
องค์พระท่านก็จะผุดผ่านขึ้นมา คล้ายๆ ผุดจากด้านล่างขึ้นมา
ด้านบน แต่ความจริงท่านผุดขึ้นมาจากตรงกลางกาย
ของเรานั่นเอง จากเห็นองค์เล็กๆ ก็จะค่อยขยายโตขึ้นเท่าตัวเรา
ใหญ่กว่าตัวเรา แล้วก็มีองค์ใหม่ใหญ่กว่าองค์เดิม ใส ละเอียด
ประณีตกว่าเดิม ผุดขึ้นมาทีละองค์ๆ

เมื่อเข้าถึงองค์พระภายใน

       เมื่อเข้าถึงองค์พระภายใน เรารู้สึกว่าใจของเราเกลี้ยงเกลา
เหมือนกับถูกกลั่นให้บริสุทธิ์โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย แล้วก็จะ
ได้สัมผัสความสุขที่เกิดขึ้นจากใจที่บริสุทธิ์เพราะหยุดนิ่ง เมื่อองค์
พระใสสว่างผุดผ่านขึ้นมาเรื่อยๆ องค์พระในองค์พระ องค์พระ
ในองค์พระ เดี๋ยวเราก็ฝันในฝันได้ เห็นองค์พระองค์นี้ ต่อไปเห็น
อีกองค์หนึ่ง ผุดขึ้นมาทีละองค์ๆ ใส ละเอียด สว่าง เนียนตา
ละมุนใจ โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
       เราจะรู้สึกอบอุ่นใจ รู้สึกปลอดภัย มีความมั่นใจอยู่ในตัว
ว่า ชีวิตนี้เราปลอดภัยแล้ว มีชัยชนะ มีสุขในทุกสถานที่ จะมีกิน
หรือไม่มีกินก็มีความสุข ใจจะนิ่งเฉยๆ สบาย เบิกบาน ความ
น้อยอกน้อยใจในบุญวาสนาบารมีว่า เรามีทรัพย์น้อย มียศ
ถาบรรดาศักดิ์น้อยก็หมดไป ใจจะมีแต่ความเบิกบาน แช่มชื่น
ใจฟูอยู่ตลอดเวลา แม้ที่นั่งแค่ ๑ ตารางเมตร อาสนะเดียวที่
เรานั่งอยู่ เราก็สามารถแสวงหาความสุขได้ แสวงหาความจริง
ของชีวิตได้ ความรู้ภายในซึ่งเป็นความรู้ที่แท้จริง เราก็สามารถ
แสวงหาได้ด้วยพระภายใน ซึ่งท่านจะกลั่นกาย วาจา ใจ ธาตุ
ธรรม เห็น จำ คิด รู้ ของเราให้สะอาดไปเรื่อยๆ

       ยิ่งใจใส สมบัติใหญ่ก็จะไหลมา ยิ่งใจอยู่ตูรงกลาง สตางค์
ก็ไหลมา ยิ่งใจอยู่ตรงกลาง จะทำมาค้าขายก็รวย สมบัติใหญ่มา
รวยทั้งสมบัติ โลกียทรัพย์ รวยทั้งบุญบารมี วิมานของเรา
ก็จะใหญ่โตโอฬาร สวยงาม
       ตอนนี้เราได้แค่ไหน เราเอาแค่นั้นก่อน ให้พึงพอใจในสิ่ง
ที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ในตอนนี้ ทำตรงนี้ให้ได้เสียก่อน เดี๋ยวตรง
นั้นเราจะได้เองอย่างแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ เมื่อเข้าใจอย่างนี้
ดีแล้ว ต่างคนก็ต่างฝึกใจให้หยุด ฝึกใจให้นิ่ง ให้ใจใสๆ ในระดับ
ที่เราทำได้นะ
วันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๑๘ www.dhamma01.com

1 thought on “วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ความละเอียดภายใน”

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *