
หากลูกละเอียดแล้ว เมื่อใด
งานหยาบเสร็จเร็วไว เมื่อนั้น
หากลูกเถลไถล เรื่องหยุด
งานหยาบชะลอขั้น สำเร็จให้ห่างไกล
ตะวันธรรม
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอ
สบายๆ ทำใจของเราให้เบิกบาน สดชื่น ให้ไร้กังวล แล้วก็
ค่อยๆ หยุดใจไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้อง
ของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ
ว่า อยู่ในกลางท้องของเรา ทำความรู้สึกว่าใจเราอยู่ตรงนั้น
หรือไปรับรู้อยู่ที่ตรงนั้นที่เดียวอย่างเบาสบายๆ คล้ายๆ ขน
นกที่ค่อยๆ ล่องลอย แล้วก็ตกไปสัมผัสที่แผ่นพื้นน้ำเรียบๆ
ใจต้องนุ่มนวลละมุนละไมอย่างนั้นนะ ตรงนี้เป็นหลักสำคัญ
ทีเดียว ถ้าทำเป็นเดี๋ยวใจก็จะรวมลงได้อย่างง่ายๆ ต้องค่อยๆ
ประคับประคองใจเบาๆ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับลูกนัยน์ตา
แต่ทำความรู้สึกนิดหนึ่งว่า อยู่ในกลางท้อง กลางกายของเรา
แล้วก็นึกว่าตัวของเราเป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย
แล้วก็นิ่งๆ อย่างเดียว อย่างสบาย
วิธีนึกภาพ
จะนึกเป็นภาพองค์พระ ดวงแก้ว เพื่อช่วยให้ใจหยุดนิ่ง
ในกลางตัวไปด้วยก็ได้ ซึ่งการนึกถึงองค์พระ ดวงแก้ว ดวงใสๆ
พวกเพชรพลอยใสๆ ก็ไม่ใช่ของยากอะไร ให้นึกธรรมดาๆ
เหมือนเรานึกถึงดอกบัว ดอกกุหลาบ ของที่เราคุ้นเคย ขันล้าง
หน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน นึกถึงลูกปิงปอง ผลส้ม ส้มโอ
แตงโม มะพร้าว หรือของที่เรารัก คนที่เรารัก เห็นไหมจ๊ะ เรา
ยังนึกได้เลย มันก็ไม่ได้ยากอะไร นึกคล้ายๆ อย่างนั้น
แต่ชัดหรือไม่ชัดนี่อีกเรื่องหนึ่ง เอาว่านึกได้ นึกถึงองค์พระ
หรือดวงแก้วก็เหมือนกันให้ใช้วิธีนึกธรรมดาอย่างนั้น อย่าไป
เน้นมากเกินไป นึกง่ายๆ แต่ให้ต่อเนื่องสำคัญตรงนี้ ที่พลาดกัน
คือมันไม่ต่อเนื่อง คือพอเรานึกได้แป๊บเดียว มันก็ฟุ้งไปเรื่องอื่น
อีกแล้ว ไปเรื่องที่เราคุ้น ทีนี้จะทำอย่างไรจะให้นึกได้ต่อเนื่อง
ก็ต้องนึกบ่อยๆ นั่นแหละ
ภาวิตาพาหุลีกตา
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ไม่มีพรมาจาก
สวรรค์ แม้เทวดาล้านองค์หรือพร้อมใจกันทั้ง
สวรรค์จะให้ศีลให้พรเราว่า ขอให้เรานึกดวงนึก
องค์พระได้ ไม่สำเร็จหรอกจ้ะ เขาก็ได้แต่เป็น
กองเชียร์ เหมือนกองเชียร์รอบสนามฟุตบอล
เราจะเชียร์ให้เขาเตะเข้าโกล แค่ไหนก็แล้วแต่
แต่จะเป็นดาวซัลโวได้ก็ต้องอาศัยตัวเองฝึกฝน
ศึกษา เรียนรู้ ทำบ่อยๆ ซ้ำๆ
ภาษาบาลีเขาใช้คำว่า ภาวิตา พาหุลีกตา แปลว่า ต้อง
บ่อยๆ เนืองๆ ถ้านานๆ ทำทีมันก็นานๆ นึกได้ทีหนึ่ง ถ้าทำ
ทีแล้วนึกต่อเนื่องนานๆ มันก็นึกได้นานๆ บ่อยๆ ซึ่งก็เป็น
หลักธรรมดา เพราะฉะนั้นมันอยู่ในวิสัยที่ไม่ง่าย ไม่ยาก ยาก
พอสู้ พอที่เราจะฝึกฝน และก็ง่ายพอที่เราจะเข้าถึงได้ ไม่เหลือ
วิสัย ดังนั้นขึ้นอยู่ที่การฝึกฝนนะลูกนะ
อากาศในฤดูนี้ที่จริงมันน่าจะร้อนแต่พอลมพัดมาเอื่อยๆ
ให้เรา มันสบายใจ คล้ายๆ กับว่าจะเกื้อหนุนให้เราได้เข้าถึงธรรม
ด้วยบุญที่เราได้สั่งสมเอาไว้จึงบันดาลให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้กาย
เราสบาย ใจเราจะได้สงบ เราก็ค่อยๆ ฝึกกันไปนะ
ฝึกไปเรื่อยๆ อย่าท้อ เพราะนี่คือกรณียกิจ เป็นกิจที่เรา
ต้องทำ เป็นงานที่แท้จริงงาน อื่นยังไม่ใช่งานจริงแท้ มันเป็น
งานแค่ทำมาหากิน ได้ทรัพย์มาซื้ออาหารหวานคาว ปัจจัย ๔
เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงสังขาร ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ อยู่ก็เพื่อทำงาน
ที่แท้จริง คือหยุดกับนิ่งนี่แหละ
ตอนนี้เราก็วางใจอย่างสบายๆ ต้องให้ความสำคัญกับ
ตรงนี้ให้มากนะ ให้เห็นคุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อ
วัตถุประสงค์นี้ให้มากๆ มากกว่าอย่างอื่น อย่างอื่นมันไม่ได้
เรื่องได้ราวอะไรหรอก มันก็ซ้ำๆ ซากๆ เหมือนกับที่เรา
ผ่านมาในภพชาติก่อนๆ โน้น
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ควรจะเป็นเหมือนคนเดิมทุกครั้งไป
ควรจะมีอะไรแปลกแตกต่างจากคนเดิมบ้าง ที่เคยทำเหมือน
ชาวโลกทั่วๆ ไปอย่างนั้น เราควรจะมีความแตกต่างบ้าง ด้วย
การมาทำงานที่แท้จริง มาฝึกหยุดฝึกนิ่ง ฝึกไปเรื่อยๆ ทำใจ
ให้สบายๆ
วิธีแก้กดลูกนัยน์ตา
…สมมติว่าเราอดที่จะกังวลศูนย์กลางกายมากเกินไปไม่ได้
คือพยายามอดแล้ว มันก็อดไม่ได้ มันเหมือนเราเสพเสียจนติด
เสพคุ้นกับการกดลูกนัยน์ตา แล้วก็กังวลกับศูนย์กลางกายมาก
เกินไป อดไม่ได้ ก็ให้ทำอย่างนี้นะ
ให้สมมติว่า ศูนย์กลางกายนี้ขยายออกไปสุดขอบภพ หรือ
สุดขอบฟ้าที่ครอบเรา แล้วเหมือนกายของเรา ที่เป็นก้อนเพชร
ใสๆ เข้าไปนั่งอยู่ตรงกลางนั้น นิ่งเฉยอย่างเดียว นึกอย่างนี้
ก็ได้เหมือนกัน ใจสบายที่ไหน เราก็เอาตรงนั้น เพราะตอนนี้
เราขยายศูนย์กลางกายไปสุดขอบฟ้าแล้ว
หน้าที่เราตอนนี้ก็นิ่งอย่างเดียว โดยไม่คำนึงว่า จะเห็น
หรือไม่เห็นอะไร เห็นไม่เห็นก็ไม่เห็นจะเป็นไร ทำใจนิ่งเฉยๆ
ทำตรงนี้ให้ได้กันเสียก่อน ให้นิ่งอย่างสบายๆ นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุน
ละไม ให้ใจใสๆ เฉยๆ อย่างนี้ไปก่อนนะ แล้วมันก็จะค่อยๆ
ปรับไปสู่ภาวะที่ละเอียดเพิ่มขึ้น คือเราจะมีความรู้สึกว่า เริ่ม
โล่ง เริ่มโปร่ง เริ่มเบา สบาย ตัวขยายบ้าง ตัวหายไปบ้าง หรือ
หล่นจากที่สูงลงไปบ้าง มันวื้ดลงไป
มันจะหล่นอย่างไรก็อย่าไปฝืนยับยั้ง อย่าไปตกอกตกใจ
อย่าไปฝืนหิ้วกลับเอาขึ้นมาใหม่ ไม่ต้อง มันอาจจะมีความรู้สึก
เสียวนิดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับหวาดเสียว เหมือนเราขึ้นรถเร็วๆ
นั่งรถเร็วๆ ขึ้นสะพานแล้วมันวื้ดลงไปอย่างนั้น หรือคล้ายๆ
เราโดดน้ำวื้ดลงไป หรือคล้ายๆ ขึ้นเครื่อง แล้วเราเปิดประตู
เครื่องบินแล้วกระโดดวุบลงมาโดยไม่มีร่มกางอย่างนั้น มันก็ต้อง
เสียวบ้างนิดหน่อย เราก็ต้องยอมให้มันเสียว โดยหยุดนิ่งเฉยๆ
เดี๋ยวจะมีรางวัลสำหรับคนที่หยุดนิ่งเฉยๆ ได้ ซึ่งรางวัลนี้
เราจะลืมไม่ลง คงไม่ลืมเลย ปลื้มกันไปทุกชาติ ที่จะเป็นรางวัล
ให้กับเราจากการที่หยุดนิ่งเฉยๆ สบายๆ ต้องทำอย่างนี้นะ
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใจก็จะค่อยๆ เบาสบาย เริ่ม
บริสุทธิ์ เมื่อเราหยุดคิดเรื่องราวต่างๆ จะไปสู่ภาวะแห่งการ
ไม่คิด ซึ่งเราไม่คุ้น แต่ว่าสถานที่นั้นมีจริง เป็นที่ปลอดความ
คิด ปลอดความกังวล ปลอดจากภัยทั้งปวง เป็นแหล่งที่มีแต่
พลังแห่งความบริสุทธิ์ ซึ่งจะเป็นต้นกำเนิดของความคิดที่ดี พูด
ดี ทำดี มีวิบากที่ดี นี่ต้องทำอย่างนี้ ให้นิ่งเฉยๆ สบายๆ
ถ้าจะนึกเป็นภาพ ก็นึกถึงดวงใสๆ องค์พระใสๆ ใสสบาย
ถ้าไม่นึกเป็นภาพ ก็นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม สบายๆ ทำ
อย่างนี้นั่งแล้วจะไม่ปวดหัว ไม่ตึง ไม่เกร็ง ไม่เครียด แล้วเรา
ก็จะได้ค่อยๆ ไปสัมผัสแหล่งแห่งความสุขที่เกิดจากสมาธิ ซึ่ง
แตกต่างจากความสุขทั่วๆ ไปที่เราเคยเข้าใจว่ามันเป็นความสุข
ดูหนัง ดูละคร ดูทีวี การละเล่น การเที่ยวเตร่ ได้พูดคุยกับ
คนที่ถูกอกถูกใจ รู้ใจ ได้อ่านหนังสือดีๆ หรือได้ดูแหวนเพชร
ดูเพชรดูพลอยอะไรเหล่านั้น มันก็ปลื้มนิดๆ ปลื้มเล็กๆ แต่
นี่ปลื้มใหญ่ ปลื้มอลังการ ถ้าเราเข้าไปสัมผัสแหล่งแห่งความ
บริสุทธิ์ของใจ
แล้วจะมีข้อสังเกตว่า เวลาที่ใจสงัดจากกาม อกุศลธรรม
จากบาปทั้งปวงนั้น ใจจะบริสุทธิ์ มีคุณภาพ มีความสุข เบิกบาน
แช่มชื่น ใจมันจะนิ่ง นุ่ม เบา สบาย เบิกบาน อยู่คนเดียวก็ยิ้มได้
สดใส แล้วความสดใสภายในก็จะขยายออกมาสู่ระบบประสาท
กล้ามเนื้อ ทุกส่วนของร่างกาย มันขยายออกมา ทำให้ผิวพรรณ
วรรณะผ่องใส เหมือนดอกไม้ที่สดใส ก็แปลว่าน้ำหล่อเลี้ยง
ข้างในดี จึงทำให้ดอกไม้สดใส ใบไม้เขียวชอุ่ม กายมนุษย์ก็
คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าใจใสๆ กายก็จะใสตามไปด้วย ซึ่งมันขึ้น
อยู่กับการฝึกฝนทุกวันนะลูกนะ เราก็ค่อยๆ ฝึกไป
เราไม่ใช่คนเก่ง เราจะเอาความเก่งมาใช้อย่างนี้ไม่ได้ ฝึก
แบบนักเรียนอนุบาลนั่นแหละ ค่อยๆ สั่งสมความสงัดจากกาม
จากอกุศลธรรม จากบาปทั้งปวง ด้วยการทำใจนิ่งๆ นุ่มๆ
ละมุนละไม สบ๊าย สบาย ไม่ต้องคิดอะไรเลย เฉยๆ
สุขอย่างนี้แหละ ที่มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเขาไม่ให้โอกาส
ตัวเองมาศึกษา มาเรียนรู้ มาฝึกฝน แต่ว่าไปสนใจเรื่องอื่นที่
เขาโหมกระหน่ำโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ เรามีเชื้อ
อยู่แล้ว มันมีอายตนะแล่นไปรับสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้นใจ
ก็จะถูกหล่อหลอมให้นึกคิด พูด ทำในสิ่งที่เขาอยากจะให้ทำ
อย่างมนุษย์ผู้ผลิตรายการทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา กาย
หยาบเขาก็เหมือนหุ่น เหมือนเราอย่างนี้แหละ เขามีความคิด
คำพูด และการกระทำ แต่แหล่งที่มาของความคิดของเขาตรง
นั้นไม่บริสุทธิ์ ดำมืดเลย มันกระตุ้นให้คิดอยู่เรื่อยๆ แล้วก็
บังคับให้คิด พูด ทำ แล้วก็ให้เพลินกับการนึกคิดเหล่านั้น และ
ให้เข้าใจผิดว่าเป็นความสุข แถมมีเครื่องล่อคือได้ทรัพย์ ได้รับ
การยกย่อง ชื่นชม สรรเสริญไปด้วย
พอเกิดความเข้าใจผิด แล้วก็เพลินในสิ่งเหล่านี้ มันก็ทำต่อ
เนื่องกันไป โดยขาดความรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสังคม
ว่า สิ่งที่ตัวคิด ตัวพูด ตัวทำนั้นจะมีผลต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไร
จากตัวเราจะขยายไปสู่โลกอย่างไร ไม่ได้คำนึงถึง ก็จะไปคำนึง
ถึงเม็ดเงินบ้าง การยกย่อง การชื่นชม การสรรเสริญกันไปบ้าง
โลกมันเป็นอย่างนี้นะลูกนะ
เพราะฉะนั้น แหล่งที่มาของความคิดตรงนั้นไม่บริสุทธิ์
จึงกระตุ้นให้คิดไม่บริสุทธิ์ พูดไม่บริสุทธิ์ ทำไม่บริสุทธิ์ แล้ว
ตัวเองก็ไม่รู้ว่าไม่บริสุทธิ์ด้วย พอมันขยายออกมาสู่การกระทำ
หยาบๆ ก็พลอยไม่บริสุทธิ์ พอไปกระทบกับอายตนะของ
บุคคลอื่น ที่เขามีตา มีหู จมูก ลิ้น กายใจ มันก็ดูดเข้าไปอยู่
ในใจเขา ก็เท่ากับว่าเราเสียบปลั๊กแห่งอกุศลธรรมไปในใจของ
เพื่อนมนุษย์ มันก็ไปกระตุ้น ให้คิด ให้พูด ให้ทำอย่างนั้น วนๆ
กันไป โลกก็เดือดร้อน
เพราะฉะนั้น โลกยังขาดแคลนความรู้ประสบการณ์ภายในที่
ถูกต้อง และความเข้าใจชีวิตว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมาย
ของชีวิต จึงจำเป็นที่ลูกๆ ทุกคนผู้มีบุญจะต้องฝึกตนให้เข้าถึง
แสงสว่างภายในซึ่งมีอยู่แล้วให้เข้าถึงดวงธรรมภายใน ถึงพระ
รัตนตรัยในตัว จนกระทั่งเรามีความผาสุก เบิกบาน สดชื่น ตื่น
แล้ว เมื่อเราสว่างโลกก็จะได้สว่างตามไปด้วย เพราะเราก็จะ
ขยายความรู้นี้ ประสบการณ์นี้ ถ่ายทอดไปยังมวลมนุษยชาติ
โดยเริ่มต้นจากผู้ที่ใกล้ชิดก่อน และต่อไปพอเห็นหน้าตาเป็น
มนุษย์ เราก็จะขยายไปสู่มวลมนุษยชาติ
การทำอย่างนั้น ก็คือการให้ธรรมทานนั่นเอง การให้ความ
รู้อันบริสุทธิ์ ความรู้ที่แท้จริงของชีวิตแก่เพื่อนมนุษย์ เป็นการ
ให้ที่สุดยอด เป็นยอดสุดของการให้ ยิ่งกว่าการให้เสื้อ ให้ผ้า
ให้อาหาร ซึ่งมันอยู่ไม่นาน ใช้ไปก็ผุพังไป แต่ให้ธรรมทานให้
ความรู้ให้คำแนะนำที่ดีนี่อยู่นาน จะอยู่กับตัวของเรานานข้าม
ชาติทีเดียว เพราะว่าเขาได้ไปแล้ว เขาก็เอาไปใช้ได้ตลอดชาติ
ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป มีความสุขไปยาวนานทีเดียว
ส่วนเสื้อผ้าอาหารมันแป๊บเดียวก็พังแล้ว อาหารพอเข้าไป
จากอาหารใหม่ ก็เป็นอาหารเก่า เสื้อผ้าใหม่ก็เป็นเสื้อผ้าเก่า
นี่แหละนะลูกนะ เราจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ
ให้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา อย่างถูกหลักวิชชา แล้วด้วยกำลัง
ใจอันสูงส่ง ที่จะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงให้ได้ ด้วยกำลังเรี่ยวแรง
แห่งความเพียรของเรา ความตั้งใจจริงของเรา กับหลักวิชชา
ที่ถูกต้อง ฝึกไปเรื่อยๆ จากมืดก็จะมาสว่าง จากนั่งแล้วทึบๆ
อึดอัด ก็จะมาโล่ง โปร่ง เบา สบาย ขยายออกไป อยู่ที่หยุดกับ
นิ่งอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น หลักของชีวิตมีแต่หยุดกับนิ่งเท่านั้น หยุด
กับนิ่งแล้วความสว่างจึงจะเกิด เป็นแสงแห่งความบริสุทธิ์ ถ้า
ไม่หยุดไม่นิ่งมันมืด พอมืดมันก็ไม่รู้สิ เมื่อไม่รู้เรื่องราวชีวิต
ของเราจึงยังเป็นความลับสำหรับเรา แล้วก็เป็นข้อสงสัยทำให้
เกิดความคลางแคลงใจในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ในเรื่องกฎ
แห่งกรรม ในเรื่องบาปบุญคุณโทษอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพราะ
ฉะนั้นหยุดนี่แหละสำคัญ ฝึกเอาไว้นะ
ลูกทุกคนเกิดมาเพื่อที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดประโยชน์ต่อ
โลกไม่ใช่แค่มัวแต่ทำมาหากิน มีครอบครัว เลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน
แล้วก็ตายไป เรามีเป้าหมายยิ่งกว่านั้น คือมาช่วยสถาปนาสิ่ง
ที่ถูกต้องให้บังเกิดขึ้นในโลกนี้ ก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไป อย่าง
ผู้มีชัยชนะ ไปอย่างผู้ที่มีความปีติ เบิกบาน และภาคภูมิใจใน
การที่ได้ใช้ร่างกายนี้ ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และต่อ
ชาวโลก เหมือนอ้อยที่เขาคั้นเอาความหวานเหลือแต่ชานก็เอา
ทิ้งไป แล้วก็เอาความหวานเป็นบุญเป็นบารมีของเราติดตัวเรา
ไปในภพเบื้องหน้า ซึ่งจะเป็นที่พึ่งของเราต่อไปในอนาคต
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๒๖ www.dhamma01.com
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ