
ไม่เห็นยากหากได้ หยุดใจ
ปล่อยจิตสู่ภายใน เท่านั้น
หยุดสนิทไม่ทันไร กายเกิด
ละเอียดจนถึงขั้น ผุดแล้วกายในกาย
ตะวันธรรม
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ อย่าถึงกับปิดสนิทเหมือนคนเม้มตา บีบ
เปลือกตานะ พอสบายๆ ถ้าเราหลับตาเป็น ใบหน้ามันจะผ่อน
คลาย พลอยให้ร่างกายผ่อนคลายตามไปด้วย เพราะฉะนั้น
ตรงหลับตานี่สำคัญ เป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกฝนให้ดีทีเดียว
หลับเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายเลย
การนึกบริกรรมนิมิต
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ ที่ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือ
ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือกะประมาณเอา
แล้วใช้ใจนึกเหมือนเรานึกถึงภาพมหาธรรมกายเจดีย์
นึกธรรมดาอย่างนั้น หมั่นนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใสๆ
หรือพระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรารู้สึกถนัด ชอบ
เพราะคุ้นเคยในการนึก ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร นึกเท่าที่เราจะ
นึกให้เห็นได้ เป็นภาพทางใจ ซึ่งมันไม่เห็นทันทีเหมือนภาพ
ที่เราเห็นด้วยลูกนัยน์ตาเนื้อนะ การที่เราลืมตามองดูอะไรมัน
ก็เห็นชัดทันที ถ้าอยู่ใกล้ก็ชัดมาก อยู่ไกลก็ชัดน้อย ของใหญ่
ก็ชัดมาก ของเล็กก็ชัดน้อย
ดวงตาภายนอกเห็นชัดทันที ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่หลับตา
นึกถึงภาพทางใจ ก็จะมี ๒ ประเภท คือ บางคนก็นึกออก
บางคนก็นึกไม่ออก ที่นึกไม่ออกเพราะตั้งใจมากเกินไป ทั้งๆ
ที่เราเคยเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงแก้วลูกกลมๆ
ยิ่งเป็นชาวพุทธ พระพุทธรูปเราก็เคยเห็น ทำด้วยวัสดุต่างๆ
เป็นโลหะบ้าง เป็นอิฐ หิน ปูน รัตนชาติ เป็นต้น
จริงๆ แล้วนึกมันต้องเห็น แต่บางคนนึกไม่ออก ที่นึก
ไม่ออกก็จะเป็นดังกล่าวนั้นแหละคือ ตั้งใจมากเกินไป หรือ
นึกออกแต่ว่าไม่ชัดเจน เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก
เมื่อภายนอกเทียบเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ บางคนนึกออก
ภายในกลางท้องเรา ๒ เปอร์เซ็นต์บ้าง ๕ เปอร์เซ็นต์บ้าง ๑๐
เปอร์เซ็นต์ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ นานๆ ก็จะมีสักคนหนึ่ง ๖๐, ๗๐
บ้าง นี่พูดถึงนักเรียนใหม่นะ ไม่ค่อยจะเจอว่าใครหลับตาแล้ว
เห็นทีเดียว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นอกจากผู้มีบุญที่สั่งสมการปฏิบัติ
ธรรมข้ามชาติมามาก นั่นเรายกเอาไว้ เพราะเขาทำมามาก
ลำ บากมามาก ยากมามาก เมื่อบุญส่งผลมันก็ง่ายมากๆ
เราต้องยอมรับตรงนี้กันก่อนว่า เราอยู่ในประเภทที่นึกได้
ไม่มากนัก ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง เหมือนของที่ตั้งอยู่ในที่มืดบ้าง
สลัวบ้าง เมื่อเรายอมรับอย่างนี้ และเข้าใจว่าการเห็นทางใจ
กับการเห็นด้วยลูกตาเนื้อมันต่างกัน ความทุกข์ใจมันก็จะไม่มี
ความกังวลใจว่ากลัวจะไม่เห็นมันก็หมดไป ความตั้งใจมากเกิน
ไป ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง ก็จะไม่หลงเหลือ ทำความเข้าใจตรงนี้
สักนิดหนึ่ง เสียเวลาตรงนี้นิดหนึ่งสำหรับนักเรียนใหม่
ถ้าไม่บอกอย่างนี้ เดี๋ยวเราจะเผลอเอาลูกนัยน์ตากด
ลงไปดู เผลอไปเค้นภาพจนปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา เค้น
ภาพเพื่อต้องการให้ภาพมันชัดเจน หรือไปควานหาอะไรใน
ที่มืด นี่ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะเป็นอย่างนี้ แล้วก็จะพลอยเบื่อ
หน่ายในการทำ สมาธิ เพราะว่าไม่ได้สุขที่เกิดจากสมาธิ ทำ ให้
เบื่อหน่าย ท้อแท้ ท้อถอย น้อยใจ เข้าใจผิดว่าบุญเรามีน้อย
วาสนาน้อย แต่ความจริงทำไม่ถูกวิธี แล้วไม่เข้าใจธรรมชาติ
ของการเห็นทางใจว่ามันเป็นอย่างไร กับวัตถุประสงค์ของการ
นึกภาพภายในกลางท้อง
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงคือ ต้องการให้ใจมาอยู่กับเนื้อ
กับตัว มาหยุดนิ่งอยู่ภายในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็น
ที่สิงสถิตของพระรัตนตรัยในตัว แต่เราไม่คุ้นเคยกับการทำ
สิ่งเหล่านี้ คุ้นกับการส่งใจไปข้างนอก ไปคิดในเรื่องราวต่างๆ
เราคุ้นอย่างนั้น เราไม่คุ้นที่จะเอาใจไปวางภายใน เพราะฉะนั้น
วัตถุประสงค์ต้องการให้ใจหยุดนิ่งๆ อยู่ภายในกลางกาย เพราะ
ว่าหยุดเป็นตัวสำเร็จ ที่จะทำให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
หรืออย่างน้อยก็เข้าถึงความสุขภายใน ได้เข้าถึงแสงสว่าง
ภายใน ถึงดวงธรรม กายภายใน องค์พระใสๆ เพราะฉะนั้น
หยุดนี่สำคัญตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ นี่คือ
วัตถุประสงค์ของการนึกภาพทางใจไว้ที่กลางกายนะ ต้อง
ทำความเข้าใจให้ดี
แต่เริ่มต้นใจมันยังคงไม่หยุดง่ายๆ อย่างนั้นหรอก
มันได้เป็นบางคน เพราะฉะนั้น เริ่มต้นเราก็ต้องเอาให้
ใจมันอยู่เสียก่อน อยู่ภายในบริเวณกลางท้อง
โดยทำความรู้สึกว่าใจอยู่ตรงนี้ มีดวงแก้วใสๆ มี
พระแก้วใสๆ ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่ใจเราชอบ
ให้รู้สึกว่ามีไปก่อน แล้วก็รักษาความรู้สึกนั้นให้
ต่อเนื่องกันไป อย่าเผลอไปคิดเรื่องอื่น แต่ถ้า
ห้ามไม่ได้ มันจะเผลอไปคิดเรื่องอื่นด้วยความ
คุ้นเคยก็ช่างมัน เพราะเรายังเป็นนักเรียน ยัง
ฝึกฝนอยู่ พอรู้ตัวเราก็กลับมาใหม่
บริกรรมภาวนา สัมมา อะระหัง
พร้อมทั้งบริกรรมภาวนาในใจกำกับไปด้วย บริกรรม
ภาวนาเบาๆ สบายๆ คล้ายกับเสียงบทสวดมนต์ที่เราคุ้น
เคย หรือบทเพลงที่เราเคยได้ยิน เราคุ้นเคย ให้เสียงนั้นดัง
ออกมาจากในกลางท้อง ต้องกลางท้องนะ ซึ่งใหม่ๆ เราจะ
คุ้นกับสมอง จะสวดจะท่องจะภาวนาก็จะคุ้นว่าต้องสมอง เรา
ก็เปลี่ยนความคุ้นมาที่กลางท้อง
บริกรรมภาวนาในใจเบาๆ สบายๆ สัมมา อะระหัง ดัง
ออกมาจากในกลางท้อง บริเวณแถวฐานที่ ๗ ทำ ประหนึ่ง
ว่า เป็นเสียงแห่งความบริสุทธิ์ ที่มาจากแหล่งแห่งอานุภาพ
ที่ไม่มีประมาณ ในอายตนนิพพานที่เรายังไปไม่ถึงโน้นผ่าน
มาในกลางกาย ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินของใจเราให้หมดสิ้นไป
ขจัดทุกข์โศกโรคภัย อุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิต วิบัติ บาป
ศักดิ์สิทธิ์ วิบากกรรม วิบากมารให้หมดสิ้นไป
ภาวนาอย่างมีความสุข แล้วก็สนุกสนานกับการภาวนา
บันเทิงใจ สัมมา อะระหัง เรื่อยไป อย่าไปคิดว่ามันจำเป็น
จำยอมต้องทำอย่างนี้ อย่างนี้มันก็ไม่มีความสุข เพราะคำว่า
สัมมา อะระหัง มีอานุภาพมาก มีความหมายที่สูงส่ง
สัมมา ย่อมาจาก มรรคมีองค์ ๘ ตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิ มีความ
เห็นชอบ เรื่อยไปถึงสัมมาสมาธิ การทำสมาธิชอบ รวมถึง
การประพฤติชอบทั้งกาย วาจา ใจ เป็นต้น ก็คือให้ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบ นี่ความหมายของสัมมาย่อๆ
อะระหัง หมายถึง ห่างไกลจากกิเลส จากความโลภ
ความโกรธ ความหลง สิ่งที่ไม่ดี วิบากกรรม วิบากมาร วิบัติ
บาปศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตที่ผิดพลาดที่ผ่านมาแล้วจะห่างไกลจาก
สิ่งนั้น จนกระทั่งใจนั้นสะอาดบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ในระดับที่เห็น
ความบริสุทธิ์ด้วยใจของเราได้
เพราะฉะนั้น คำว่า สัมมา อะระหัง จึงมีความหมาย
ที่ยิ่งใหญ่และสูงส่ง ทุกคำที่เราภาวนาในใจ ใจเราจะถูกกลั่น
ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ ดิน น้ำ ลม ไฟ
วิญญาณ อากาศธาตุ เห็นจำคิดรู้สะอาดไปหมด
เมื่อความบริสุทธิ์บังเกิดขึ้นในใจแทนที่ความไม่บริสุทธิ์
อานุภาพอันไม่มีประมาณก็จะติดตามมาด้วย ทำให้ใจเรามี
พลังที่จะทำแต่ความดี มีพลังที่จะกล้าละความชั่ว และมีพลัง
ที่จะทำให้ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์ตามคำสอนของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า
ภาวนา กับ การท่อง ไม่เหมือนกัน
แต่ ภาวนา กับคำว่า ท่อง ความหมายจะ
แตกต่างกัน
ท่อง เราต้องใช้กำลังในการนึก การคิด แม้ท่อง
ในใจก็ยังต้องใช้กำลัง แต่ถ้าภาวนา มันละเอียด
ไปกว่านั้น คือ เหมือนเป็นเสียงที่ละเอียดเป็น
สำนึกลึกๆ ที่ดังออกมาเองโดยไม่ได้ใช้กำลังใน
การท่อง อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ภาวนา
ใหม่ๆ เราต้องยอมให้เป็นการท่องไปก่อน เพื่อให้คล่อง
ปากขึ้นใจ แต่ต่อไปมันก็จะปรับของมันไปเอง ไปสู่ในระดับ
ของคำภาวนา คือเป็นเสียงละเอียด สำนึกลึกๆ ที่ดังออกมา
เองจากในกลางท้องของเรา เมื่อเราคล่องปากขึ้นใจแล้ว ก็จะ
ผ่านมาในกลางท้องกลางกายเอง
ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมา อะระหัง อย่าง
นี้ไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่ในกลางท้อง
เรา เพราะเป้าหมายของเราคือฐานที่ ๗ จะอยู่บริเวณแถวๆ
นั้น จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่งเมื่อมันถูกส่วนเข้า คือ ความพอดี
มันเกิดขึ้นเอง ใจก็จะหยุดนิ่งๆ เมื่อใจหยุดนิ่งมันก็จะทิ้งคำ
ภาวนาไปเอง คือหมดความจำเป็นที่จะต้องประคองใจแล้ว
หมดความจำเป็นที่จะเป็นพี่เลี้ยงของใจ ประคับประคองให้
อยู่ที่ฐานที่ ๗ เมื่อถึงที่หมายแล้ว คำภาวนา สัมมา อะระหัง
ก็หมดความจำเป็นที่เราจะใช้ เหมือนเรือจ้างที่แจวมาส่งถึงฝั่ง
แล้วก็จอดที่ริมฝั่ง หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไป ไม่จำเป็น
ที่จะต้องแบกเรือจ้างขึ้นฝั่งไปด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าเราภาวนาถึงจุดแห่งความสมบูรณ์ของ
หน้าที่การประคองใจ หน้าที่ของการเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ใจ
คำภาวนานั้นก็จะเลือนหายไปเอง จนกระทั่งเราเกิดความรู้สึก
ว่าไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งๆ นุ่มๆ อย่างนี้
อย่างเดียว
ความรู้สึกภายในที่พัฒนาไปเมื่อใจหยุดนิ่ง
แล้วคำว่า นิ่ง นุ่ม ละมุนละไม จะรู้จักตอนที่ใจหยุดจริงๆ
นั่นแหละ คือมันนุ่มจริงๆ ใจมันละเอียดอ่อนลงไป ละเอียด
ลงไป ละมุนแต่มีพลัง แล้วพอถึงตอนนี้มันก็จะปรับสภาพ
ความรู้สึกที่ร่างกายที่เคยทึบ ก็จะโล่ง โปร่ง ร่างกายที่เคย
หนักๆ มันก็จะเบา ที่เคยลำบากก็จะสบาย โล่ง โปร่ง เบา
สบาย ที่คับแคบก็จะขยาย
รู้สึกตัวขยายกว้างออกไป เหมือนลูกโป่งที่เราอัดลม
เข้าไป ค่อยๆ พองโตขึ้น แต่ลูกโป่งยังมีข้อจำกัดในการพองโต
มันก็ได้ในระดับหนึ่ง แต่ใจหยุดนิ่งแล้ว อาการพองโตของกาย
และใจมันไม่มีขอบเขต ตั้งแต่พองโตใหญ่กว่าตัวเรา ถ้าเรานั่งที่
บ้านก็ใหญ่กว่าห้อง นั่งในสภาธรรมกายสากลก็ใหญ่ขนาดสภา
ธรรมกายสากลบ้าง ใหญ่กว่านั้นบ้าง จนกระทั่งกลมกลืนไปกับ
บรรยากาศ คือมันขยายหายไปเลย โตอย่างไม่มีขอบเขต ใจก็
จะขยาย ความรู้สึกที่ร่างกายหายไป ไร้น้ำหนัก
แล้วมีความสุขอย่างไม่มีประมาณบังเกิดขึ้น แม้ยังไม่
เห็นอะไรก็ตาม แต่ก็เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มีความเพียรฝึก
ใจให้หยุดนิ่งๆ อย่างถูกหลักวิชชา เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ให้
ความสำคัญต่อการฝึกใจหยุดใจนิ่ง คือ ความสุขจะเกิดขึ้น
กายก็สบาย ใจก็สบาย เบิกบาน เหมือนอยู่กลางอวกาศที่
ไม่มีขอบเขต เคว้งคว้างแต่นิ่ง กว้างขยายไปทุกทิศทุกทาง
เข้าเขตอาณาจักรแห่งความใสของใจ
แต่มีจุดๆ หนึ่งที่นิ่งเป็นหลักของอาการที่ขยายออกไป
รอบตัวนั้น แล้วเราจะเริ่มสัมผัสความใสของใจได้ ที่ได้ยินว่า
ใจใส เราจะเริ่มสัมผัสเหมือนเข้าไปสู่ขอบเขตนั้น พรมแดน
ของความใส อาณาจักรความใสของใจ จะเริ่มสัมผัสตรงนั้น
แล้วใจก็จะนิ่งต่อไปอีก คือ จะนิ่งยิ่งขึ้น จนนิ่งในระดับที่
มันไม่เขยื้อน คือมันนิ่งแน่น แต่แน่นที่ไม่อึดอัด แน่นที่มีความ
สุข คือขอบเขตอาณาจักรนั้นเต็มไปด้วยความนิ่ง สมมติว่า
ตัวขยายไปเท่ากับท้องฟ้า ถ้าเราจะเขียนคำว่า นิ่ง มันโตเต็ม
ท้องฟ้า นิ่งอย่างนั้นแหละ และความรู้สึกของเราก็เลยความรู้สึกที่
อยู่ในโลกใบนี้ ที่มีขอบเขตจำกัด เหมือนเราตัดเส้นรอบวงออกไป
อาณาจักรของใจดูเหมือนว่า มันไปสุดขอบฟ้า ฟ้าที่ไม่มีฝาครอบ
ฟ้าที่ไม่มีขอบเขต และความสว่างก็จะเรืองรองขึ้นมา
แสงสว่างภายในที่น่าอัศจรรย์
บ้างก็เหมือนฟ้าสางๆ ตอนตี ๕ ในฤดูร้อน บ้างก็สว่าง
เหมือน ๖ โมงเช้า สว่างเหมือนเห็นแสงเงินแสงทองในยาม
อรุโณทัย ดวงอาทิตย์ขึ้น ความสว่างนั้นมากับความสุขที่
เพิ่มขึ้น ความสุขจะเพิ่มขึ้นไปตามความสว่าง เป็นแสงสว่าง
ภายในที่น่ามหัศจรรย์ เราหลับตาแล้วมันไม่มืด แสงสว่างที่
ใสเหมือนแสงแก้วที่เนียนตาละมุนใจ ความสว่างจะเพิ่มขึ้น
เรื่อยไป เมื่อใจยิ่งนิ่งยิ่งหยุด ยิ่งหยุดยิ่งนิ่งยิ่งสว่างเพิ่มขึ้น
กระทั่งไปถึงความสว่างประดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เป็น
ความสว่างที่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ความสว่างนั้นก็ใส
บริสุทธิ์ ยิ่งหยุดยิ่งนิ่งยิ่งสว่างกว่านั้นเพิ่มเข้าไปอีก
เราคุ้นเคยกับความสว่างแค่ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ซึ่ง
ถือว่าสว่างที่สุดเท่าที่ตามนุษย์เราจะพึงเห็นได้ แต่แสงสว่าง
ภายในมันยิ่งกว่านั้น มันเป็นความสว่างที่ไม่มีอยู่ในโลกใบนี้
เราไม่คุ้นเคย ไม่ทราบว่าจะใช้คำว่าอะไร เพราะคำว่าเที่ยง
วันในโลกมนุษย์ คือที่สุดแห่งความสว่างของดวงอาทิตย์ เลย
ไปกว่านั้นแสงสว่างมันก็จะหรี่ลงไปเรื่อยๆ แต่นี่มันสว่างกว่า
ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ถ้าจะเทียบก็เหมือนกับเอาดวง
อาทิตย์ยามเที่ยงวันสัก ๒ ดวง มาขยายความสว่างนั้นเพิ่ม
ขึ้น แต่ความไม่แสบตาเคืองตาก็ยังคงเดิม ยิ่งเจิดจ้าก็ยิ่งมี
ความสุข มีความเบิกบาน
เราจะรู้จักคำว่า เบิกบาน เมื่อความสว่างภายในบังเกิด
ขึ้น ในยามที่ไร้น้ำหนัก ไร้ความรู้สึกของความเป็นตัวตนของ
ร่างกาย มันเหมือนอาการขยายของดอกบัวที่ได้รับแสงตะวัน
แล้วคลี่ขยายกลีบเบ่งบาน แต่นั่นเป็นเพียงข้ออุปมาเท่านั้น
แต่นี่คืออาการขยายของใจ ซึ่งแต่เดิมมันเคยคับแคบ อึดอัด
ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตแห่งความโศกเศร้าเสียใจ คับแค้น
ใจ ร่ำพิไรรำพัน เศร้า ซึม เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้มอะไรอย่าง
นั้น แต่อารมณ์เหล่านั้นมันไม่มีหลงเหลืออยู่เลย ไม่รู้จักว่ามี
อารมณ์นั้นเกิดขึ้น มันจะสบายอย่างที่เราก็ไม่ทราบว่าจะไป
เทียบกับอะไร เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรจะสบายเท่า ไม่ว่าเรา
จะประสบความสำเร็จในชีวิตแบบชาวโลกในสิ่งที่เราอยากได้
อยากมี อยากเป็น แล้วเราก็ได้ แล้วเราก็มี แล้วเราก็เป็น แต่
มันก็ไม่ทำให้ใจเราอิ่มหรือพองโตขนาดนี้
ใจนิ่งแน่นจนเห็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างภายใน
ใจเราจะใส จะบริสุทธิ์ ซึ่งมันดึงดูดให้ใจนิ่งแน่นหนัก
ขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงในระดับที่เราเห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่าง
ภายในนั้น บ้างก็เป็นจุดเล็กๆ เหมือนดวงดาวในอากาศ บ้าง
ก็เหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ บ้างก็โตขนาดพระอาทิตย์
ยามเที่ยงวัน บ้างก็ใหญ่กว่านั้น บ้างก็เท่ากับฟองไข่แดง
ของไก่ คือพอถึงแหล่งกำเนิดของแสงที่โตเท่ากับฟองไข่แดง
ของไก่ เราจะนึกอะไรไม่ออกเลยในโลก ที่เราจะไปเทียบ
กับขนาดของแหล่งกำเนิดของแสงสว่างภายในดังกล่าวนั้น
นอกจากฟองไข่แดงของไก่ ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนก็แล้ว
แต่ เมื่อใจหยุดนิ่งเข้าถึงในระดับที่เห็นแหล่งกำเนิดของแสง
สว่างภายในโตขนาดนี้ จะใช้คำนี้ทั้งสิ้น
เข้าถึงดวงที่มีชีวิต
นี่คือความมหัศจรรย์ของใจที่เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วใน
ตัวของทุกๆ คน โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ใสๆ ความใส
ตรงนี้จะชัดเจนกว่าเมื่อกี้นี้ เมื่อกี้นี้เราเข้าเขตอาณาจักรแห่ง
ความใสของใจ แต่พอเราเห็นดวงใสๆ ที่เกิดขึ้นนี้ เราจะเข้าถึง
ความจริงความหมายของคำว่า ใส มันจะเป็นดวงใสๆ บ้างก็
เรียกว่า ดวงแก้ว เพราะว่าไม่รู้จัก แต่ก็ยอมรับว่า เราไม่อาจ
จะเรียกว่าดวงแก้วได้ เพราะดวงแก้วเราก็เคยเห็น เห็นแล้ว
มันก็ธรรมดาๆ มันกลมเหมือนกันจริง แต่นี่มันใสกว่า สว่าง
กว่า สำคัญที่อารมณ์สุขเวทนามันเกิดขึ้น ใจเป็นสุข สุขอย่าง
พูดไม่ออกบอกไม่ถูกทีเดียว
แล้วดูเหมือนดวงนั้นมีชีวิต คือมันขยายได้ และบาง มัน
ฟ่องเบาบาง ยิ่งเรานิ่งแล้วมันชวนดูด้วย ชวนหยุดใจมาอยู่
ตรงนี้ ยิ่งเรานิ่งนุ่มหนักเข้าไปอีก ดวงนั้นจะขยาย แต่ดวงแก้ว
ภายนอกเรามองเท่าไรมันก็โตเท่าเดิม และความรู้สึกว่าดวง
ข้างในกับดวงแก้วข้างนอกนั้นมันกลมไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่
ดวงแก้วข้างนอกเขาก็เจียระไนกลมดิกเลย แต่พอถึงดวงสว่าง
ภายใน ที่เป็นต้นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์
ภายในนั้น เราจะมีความรู้สึกว่าตรงนี้กลมกว่า ดวงแก้วข้างนอก
ดูเหมือนมันยังไม่ค่อยกลม มันก็เป็นความรู้สึกที่แตกต่าง แล้ว
ก็น่าทึ่งน่าอัศจรรย์ทีเดียว
ใจเราก็จะมีปีติ ใจจะสงบนิ่ง เราจะรู้จักคำว่า อุเบกขา นี่
มันเป็นอย่างไร คือใจจะเป็นกลางๆ แต่มีความสุขด้วย อุเบกขา
ที่มีความสุข อุเบกขาบางชนิดมันไม่สุขไม่ทุกข์ แต่พอถึงนิ่ง
ตรงนี้แล้วละก็เป็นดวงใสๆ ใจมันนิ่งเป็นกลางๆ แล้วบริสุทธิ์
มีความสุขมาก กลางดวงธรรมนั้นจะเชิญชวนให้เราเข้าไป
สู่ภายใน จะดึงดูดเข้าไปเพื่อที่จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่ได้รู้
เรื่องมาก่อนเลย แล้วเป็นความรู้คู่กับความบริสุทธิ์ ความรู้คู่
ความสุขก็เกิดขึ้น เราจะมีหลักของใจแล้ว ใจจะมีที่ยึดที่เกาะ
ไม่ว้าเหว่ ไม่เหงา ไม่ซัดส่ายไปที่อื่นเลย
แล้วก็จะชวนให้เราสมัครใจนั่งสมาธิทุกวัน ไม่ฝืน ไม่
พยายามนั่ง เหมือนความรู้สึกเก่าๆ ที่ผ่านมาว่า เราต้องฝืน
เราต้องพยายามที่จะนั่งทำความเพียร แต่นี่ฉันทะมันเกิดขึ้น
เอง คือรักที่จะหยุดใจไว้ตรงนี้ มีฉันทะ วิริยะมันก็ตามมา
ความเพียรจะต่อเนื่อง โดยไม่คิดว่าอะไรเป็นอุปสรรค ใจจะ
จดจ่อทั้งวันทั้งคืนเลย นั่ง นอน ยืน เดิน จะกิน ดื่ม ทำ พูด
คิด หยุดนิ่ง ลิ้มรส เหยียดแขน คู้แขน หรือทำอะไรก็แล้วแต่
มันอยากจะอยู่ตรงนี้อยู่ที่เดียวเลย ใจก็จะตรวจตราอยู่ที่ตรงนี้
จะหยุดจะนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวเราก็เห็นไปตามลำดับ
อานิสงส์ใหญ่จากใจที่หยุดนิ่ง
อานิสงส์ใหญ่ก็จะเกิดขึ้นกับเราเลย คือความรู้สึกว่า
เราได้ถอดออกจากวิบากกรรมทีละเล็กทีละน้อย เพราะรู้สึก
ถึงความบริสุทธิ์ของใจที่หลุดพ้นจากชีวิตที่ผิดพลาดดังกล่าว
ใจมันจะเกลี้ยงๆ รู้สึกสะอาด ขยาย
มหากรุณาก็จะเกิดขึ้นตอนนี้ด้วย คืออยากให้ทุกคน
ในโลกได้เห็นเหมือนเรา เข้าถึงเหมือนเรา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่
ใกล้ชิดกับเราเป็นเบื้องต้น ความรู้สึกเหล่านี้ก็ค่อยๆ บังเกิด
ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนต้องหมั่นฝึกฝนอบรมใจนะ ฝึก
ไปเรื่อยๆ แล้วสักวันหนึ่งเราจะได้ครอบครองความรู้สึกชนิดนี้
ใจเราจะเบิกบาน แช่มชื่น นอนเป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข
นั่งเป็นสุข ทุกอิริยาบถก็จะเป็นสุข
ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมจะเป็นทุกข์เพียงใด ใจเราก็มีหลักของใจ
มันจะยึดตรงนี้ แล้วก็จะมีดวงปัญญา คือ ความรู้ที่พอเหมาะ
กับปัญหาที่เราจะแก้ มันจะเกิดขึ้นมาเอง เวลาหลับมันก็จะ
หลับอยู่ตรงนี้ อยู่ในกลางความสว่าง แตกต่างจากเคยหลับใน
ความมืด เคลิ้มๆ มึน ซึม ตึง เมา ไม่รู้เรื่องรู้ราว หลับแบบ
ขาดสติ ตรงนี้หลับแบบมีสติ หลับที่มันอิ่ม เราจะเห็นว่ากาย
หยาบเท่านั้นแหละที่พักผ่อน แต่กายละเอียดภายในก็ยังคงทำ
สมาธิ เราจะเห็นความแตกต่างและดูเหมือนว่าเราก็หลับปกติ
แต่เหมือนประเดี๋ยวเดียว หลับอยู่ในกลางความสว่าง ตื่นออก
มาก็ตื่นอยู่กลางความสว่าง แล้วก็ดึงเอาความสุขภายในออก
มาขยายสู่ภายนอกด้วย ก็จะค่อยๆ ขยายออกไป
ความสุขที่ติดออกมาจากการตื่นในกลางดวงธรรม
ใสๆ ความสว่างภายใน แล้วชีวิตในวันใหม่ของเราก็จะสดใส
ตั้งแต่อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน รับประทานอาหาร กระทั่ง
ไปทำมาหากิน ไปเรียนหนังสือ ทุกหนทุกแห่งเราก็จะเป็นแสง
สว่างให้กับทุกสถานที่อย่างมีความสุขแล้วก็บันเทิงใจ เพราะ
ฉะนั้นต้องหมั่นฝึกนะลูกนะ หมั่นฝึกฝนอบรมใจ แล้วลูกจะ
เป็นบุคคลที่ใครๆ ก็อยากจะเป็นแบบลูก
เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกาลเวลาที่ผ่านมาว่า ทำไม
เราไม่รวยอย่างเขา ไม่มีอะไรทุกอย่างสมบูรณ์อย่างเขา เรามัน
ต่ำต้อยอะไรต่างๆ พวกนั้น มานะทิฏฐิเหล่านั้นก็จะหมดไป
หรืออย่างน้อยก็ระงับไป เพราะว่าเราไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่า
นั้นเลย ใจก็จะอยู่ตรงนี้ หยุดอยู่ตรงนี้สว่าง โดยจิตดำเนิน
เข้าไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงองค์พระภายใน
เราจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่มีพระในตัว เห็นตลอดเวลา
ชัดใสแจ่มทีเดียว เป็นปุถุชนที่มีพระภายใน เป็นคฤหัสถ์ที่มี
พระภายใน ที่ยังวนอยู่ในโลกนี้ แบบผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
ที่ควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งแวดล้อม ใจเราจะ
สบาย เพราะฉะนั้นต้องขยันนะ เวลาที่เหลืออยู่นี้ เราก็หยุดใจ
นิ่งไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ วางเบาๆ ตามที่ได้แนะนำมานะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
วิธีการนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ๓ บทที่ ๖ : โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๓ บทที่ ๖ www.dhamma01.com
น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ