
ร่างกายเราเสื่อมได้ ลูกเอย
อย่าเล่นจนเพลินเลย นะเจ้า
เดี๋ยวฟุ้งซ่านอย่างเคย ไม่หยุด
ลูกตรึกธรรมค่ำเช้า อย่างนี้ดีจริง
ตะวันธรรม
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อย
แล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน
กันทุกๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือ
ซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บน
หน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ
อย่าให้เปลือกตาปิดสนิทจนเกินไปนะ หรืออย่าไปบีบหัวตา
อย่าไปกดลูกนัยน์ตา ให้หลับตาพริ้มๆ เหมือนปรือๆ นิดๆ
คือหลับตาพอสบายๆ ต้องสบายนะ
ผ่อนคลายสบาย…เหมือนอยู่คนเดียวในโลก
แล้วก็ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อ
ทั้งตัวให้ผ่อนคลาย ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ ลำคอ
บ่า ไหล่ แขนทั้งสอง ถึงปลายนิ้วมือ ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
บริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลาย ปรับ
ท่านั่งให้ถูกส่วน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีนะ ทุกส่วนของ
ร่างกายต้องผ่อนคลาย
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้มีความสุข
สงบ เย็น สบายๆ ปรับตรงนี้เสียก่อนนะ เสียเวลาสัก ๑ หรือ
๒ นาที ให้ทุกส่วนผ่อนคลาย ให้ใจสบาย เบิกบาน แช่มชื่น
สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
ก็ตาม เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงานบ้านช่อง การศึกษา
เล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้
ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง ใจของ
เราต้องเกลี้ยงๆ ใสๆ สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ให้ไปเกาะ ไปเกี่ยว
ไปเหนี่ยว ไปรั้งเรื่องอะไรเลย
ใจต้องเกลี้ยงๆ ทำตัวเหมือนเราอยู่คนเดียวในโลก ใจ
เกลี้ยงๆ ใจใสๆ ปรับตรงนี้สัก ๑ นาที ให้มีความพร้อมทั้ง
ร่างกายและจิตใจ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ ใจเกลี้ยงๆ
น้อมนำใจเข้าสู่ภายใน
เมื่อเรามีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว เราก็น้อม
ใจกลับเข้าไปสู่ภายใน ในกลางกายของเรา ให้ใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึง
ให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไป
ด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน
แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองสูงขึ้นมา ๒
นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้เอาใจมาหยุดนิ่ง
อยู่ที่ตรงนี้ คือ ค่อยๆ วางใจเบาๆ สบายๆ หรือจำง่ายๆ ว่า
อยู่บริเวณกลางท้องในระดับที่เรามั่นใจว่า ตรงนี้คือ ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ วางเบาๆ แตะใจไปเบาๆ ใจเป็นของละเอียด
อ่อน เราต้องค่อยๆ วางอย่างนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
นึกนิมิตอย่างสบายไม่เร่งรีบ
แล้วกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ ให้ใจมีที่ยึดที่เกาะ
เพื่อจะได้เชื่อมกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้ จะได้ไม่ฟุ้งไป
คิดเรื่องอื่น ด้วยการกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นภาพทางใจ
เช่น ดวงใสๆ หรือเพชรสักเม็ดหนึ่ง หรือก้อนน้ำแข็ง
ใสๆ ขนาดไหนก็ได้ อย่างน้อยก็เท่ากับแก้วตาของเรา เอาพอ
ดีๆ ที่เรามีความรู้สึกว่าพึงพอใจ หรือเราคุ้นเคยกับการนึกถึง
ภาพพระพุทธรูป องค์พระที่เราเคารพกราบไหว้บูชาทุกวัน
เราจะนึกเป็นภาพองค์พระก็ได้ นึกเอาขนาดองค์พอดีๆ ที่เรา
พึงพอใจไว้กลางท้อง ให้ท่านหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัว
ของเรา เหมือนเรามองจากด้านบน ด้านเศียรของท่านลงไป
ด้านล่าง เหมือนมองท็อปวิว เอาขนาดพอดีๆ ที่เราพึงพอใจ
นึกได้อย่างง่ายๆ อย่างนี้เป็นต้น คือ เราคุ้นเคยแบบไหนเรา
ก็เอาแบบนั้นเป็นบริกรรมนิมิตที่ยึดที่เกาะของใจเรา ไม่ให้
ใจเราฟุ้งซ่าน ไปคิดเรื่องอื่น ต้องนึกให้ต่อเนื่องอย่างสบายๆ
ด้วย อย่าหลุดสักคำ ต้องจำทุกคำนะ
ต้องนึกถึงบริกรรมนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งให้ต่อเนื่องอย่าง
สบายๆ คล้ายกับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย ให้นึกอย่างสบาย
ถ้านึกแล้วไม่สบาย ไม่ใช่ นึกต้องสบายๆ หรือจะทำความรู้สึก
ว่า มีบริกรรมนิมิตอยู่ในกลางท้อง เอาเท่าที่ได้ นึกได้ชัดเจน
แค่ไหน นึกออกแค่ไหนที่สบายใจ เราก็เอาแค่นั้นไปก่อน
เช่น บางท่านนึกได้รัวๆ รางๆ เราก็เอาแค่นั้นแหละ แต่
ต้องต่อเนื่องและสบายๆ ต้องผ่อนคลาย ใจต้องใสๆ ใจเย็นๆ
อย่าลืมคำนี้นะ นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อนอย่างง่ายๆ
อย่างสบายๆ อย่าไปเร่งรีบจนเกินไป
เพราะวัตถุประสงค์ที่เราทำอย่างนี้ เพื่อให้ใจของเรามา
หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะฉะนั้นเรานึกได้
ชัดเจนแค่ไหนก็เอาแค่นั้น จะรัวๆ รางๆ ก็ไม่เป็นไร บางคนชัด
มาก บางคนชัดน้อย ของใครก็ของคนนั้นนะ แต่ต้องสบายๆ
และต้องนึกที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ ให้ต่อเนื่องกัน
ไป ถ้าเผลอเราก็นึกใหม่ พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ
ประคองใจด้วยคำภาวนา
แล้วก็ประคองใจให้หยุดนิ่งนุ่มเบาสบายด้วยบริกรรม
ภาวนาในใจว่า สัมมา อะระหัง ภาวนาไปไม่ช้าไม่เร็วนัก ใน
ระดับที่เราสบายใจ
ภาวนาไปอย่างสบายๆ โดยให้เสียงของคำภาวนาดัง
ออกมาจากในกลางท้องของเรา มาจากฐานที่ ๗ ตรงนั้นแหละ
สัมมา อะระหังๆ ภาวนาไปอย่างสบายอกสบายใจ ใจปลื้มๆ
ใจเป็นสุขสงบเย็นในการภาวนา
ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมา อะระหัง เราจะต้องไม่ลืมนึกถึง
ภาพบริกรรมนิมิตที่เราคุ้นเคย จะเป็นดวงใสๆ จะเป็นองค์พระ
ใสๆ หรือเป็นสีทอง เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
เรานึกอย่างหนึ่งแล้วไปเห็นอีกอย่างหนึ่งก็ไม่เป็นไร เช่น
นึกถึงดวงใสๆ เพชรใสๆ แต่กลับไปเห็นเป็นองค์พระ หรือ
ภาพหลวงปู่ทองคำ ก็ไม่เป็นไร เราก็ดูไปเรื่อยๆ ดูไปอย่าง
สบายๆ แล้วก็ สัมมา อะระหัง เรื่อยไป พร้อมผ่อนคลายใจ
แล้วก็ใจเย็นๆ
ฝึกหยุดแรกนี้ให้ได้นะ ให้ใจเย็นๆ ใจนิ่งๆ นุ่มๆ ถ้า
สมมติว่าเราทำถูกหลักวิชชาดังกล่าวนี้ ที่เราไม่มองข้ามไป
ไม่ฟังผ่าน มันจะมีจุดๆ หนึ่งที่ใจเราเริ่มนิ่ง พอนิ่งเรามีความ
รู้สึกว่า ตัวเราเริ่มโล่ง เริ่มโปร่ง เริ่มตัวเบาๆ เริ่มสบายๆ ใจ
เราเกลี้ยงๆ รู้สึกว่าเราชอบอารมณ์นี้ อยากอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ
ถ้าเรานิ่งได้อย่างนี้นะ
พออาการเกิดขึ้นอย่างนี้ เราก็นิ่งต่อไปเฉยๆ เดี๋ยวภาพ
นั้นก็จะชัดขึ้นมา หรือเปลี่ยนสภาวะความรู้สึกหยาบๆ ที่ร่างกาย
เราไปสู่สภาวะที่ละเอียดเหมือนหลุดจากกายหยาบ แล้วก็
กลมกลืนไปกับบรรยากาศ คล้ายๆ เราเป็นอากาศ อากาศ
เป็นเรา ตัวโล่งๆ ว่างๆ แล้วก็หายไป สิ่งที่เราทำคือ นิ่งอย่าง
เดิมไปเรื่อยๆ คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็นิ่งอย่างเดียว
เส้นทางของพระอริยเจ้า
หยุดนิ่งนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ ให้เราได้บรรลุ
ธรรม ให้เราได้เข้าถึงพระธรรมกายที่เราเคยได้ยิน
ได้ฟัง ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา โดยมีจุดเริ่มต้นที่
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะฉะนั้นตำแหน่ง
ฐานที่ ๗ สำคัญมาก เป็นตำแหน่งเดียวกัน
กับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หรือ
พระบรมโพธิสัตว์ทุกท่าน เมื่อใจมาหยุดนิ่งอยู่
ตรงนี้ ก็จะหลุดล่อนเข้าไปสู่ภายใน จนกระทั่ง
บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า
ทุกพระองค์ก็ใช้วิธีนี้ทั้งหมด คือทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง
นิ่งอย่างเดียว ทิ้งแม้กระทั่งชีวิต คือทิ้งหมดเลยทั้งชีวิต ใจก็
หลุดเข้าไปสู่ข้างใน ดิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบรรลุอนุตตรสัม-
มาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์เหมือน
กันหมดเลย บรรลุแล้วก็กลับมาสอนพระสาวกให้ได้ทำตาม
ท่าน แล้วก็มีพระสาวกบรรลุธรรมตามมากมาย ตามกำลัง
บารมี บ้างก็เป็นพระอรหันต์ บ้างก็เป็นพระอนาคามี บ้างก็
เป็นพระสกิทาคามี บ้างก็เป็นพระโสดาบัน บ้างก็เป็นโคตรภู
บุคคล คือเห็นพระธรรมกายตลอดเวลา หน้าตักหย่อนกว่า ๕
วานิดหน่อย บ้างก็เป็นฌานลาภีบุคคล คือมีฌานเข้าถึงกาย
อรูปพรหม เข้าถึงกายรูปพรหม เป็นต้น ซึ่งมีวิธีการทำแบบ
เดียวกันทั้งสิ้น
วัตถุประสงค์การเกิดมาเป็นมนุษย์
หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้สำคัญทีเดียว จะ
หลุดรอดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต เข้าถึงความสุข
อันยิ่งใหญ่ ใจก็ต้องหยุดนิ่งตรงนี้ จะหลุดพ้นจากวิบากกรรม
วิบากมาร ใจก็ต้องหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ จะหลุดพ้นจากกิเลส
อาสวะ พ้นวัฏฏะก็ต้องหยุดนิ่งตรงนี้
เพราะฉะนั้น ใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้จึง
เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกๆ ชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่เกิดมาเป็น
มนุษย์ ภารกิจที่สำคัญก็คือมาทำใจหยุดใจนิ่งนี่เอง เพื่อสลัด
ตนพ้นจากกองทุกข์ ความทุกข์ทั้งหลาย เข้าถึงที่พึ่งที่ระลึก
ภายในที่แท้จริง และทำพระนิพพานให้แจ้ง นี่คือวัตถุประสงค์
ของชีวิตมนุษย์ทุกคนในโลก เพราะฉะนั้นหยุดใจจึงเป็นเรื่อง
ที่สำคัญมาก ที่ลูกทุกคนต้องให้ความเอาใจใส่ ให้ใจหยุดใจ
นิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ใจหยุดได้เมื่อไรก็เป็นอิสรภาพ คือมันจะตกศูนย์กลับ
เข้าไปสู่ภายใน หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต ได้
เข้าถึงความสุขที่แท้จริง หลุดพ้นจากความมืดไปสู่ความสว่าง
เพราะปกติมนุษย์หลับตาแล้วจะมืด แต่หยุดนิ่งได้สนิทหลุด
เข้าไปเมื่อไรก็จะสว่าง แล้วก็เป็นอิสรภาพจากการไม่เห็นอะไร
เลย ก็จะเข้าไปเห็นสิ่งที่มีอยู่ภายใน เห็นแจ้ง เห็นภาพต่างๆ
ดวงธรรมก็ดี กายในกายก็ดี พระธรรมกายก็ดี จะหลุดจาก
สภาวะของความไม่รู้มาเป็นผู้รู้ คือรู้เรื่องราวความเป็นจริง
ของชีวิต เราจะเป็นอิสรภาพจากความไม่รู้ไปสู่ความรู้แจ้งที่
เกิดจากการเห็นแจ้ง
ใจหยุดนี่ พระเดชพระคุณหลวงปู่ถึงบอก ไม่ใช่ของพอดี
พอร้าย แต่เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ลูกทุกคนต้องให้ความสำคัญต่อ
สิ่งนี้ควบคู่กับชีวิตประจำวัน จึงจะถูกหลักวิชชาที่ได้เกิดมา
เป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย
วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 3 บทที่ 18 www.dhamma01.com
น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
คำสอนและธรรมทานทรงคุณค่า
จากหลวงพ่อธัมมชโย#คุณครูไม่ใหญ่
ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุครับ