2.พระธรรมเต็มใจ
วันนี้เป็นวันมหาปวารณา เป็นวันที่พระภิกษุทั้งหลายในพระพุทธศาสนาได้มาปวารณาร่วมกันก่อนที่จะแยกย้ายกันไปปฏิบัติศาสนกิจ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เพื่อให้ตักเตือนกันในข้อวัตรปฏิบัติที่ยังบกพร่องทั้งทางกาย ทางวาจา จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ถ้าหากว่า มีผู้ใดได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยในข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุรูปนั้น ก็ให้อาศัยความเป็นครู แนะนำตักเตือนด้วยความรักและปรารถนาดี เพื่อเกื้อกูลให้กับพระภิกษุรูปนั้นได้มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ จะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องร่องรอยตามคำสอนของพระบรมศาสดา พุทธประเพณีการปวารณานี้นับเป็นประเพณีที่ดีงามที่ได้ยึดถือปฏิบัติติดต่อกันมาสองพันกว่าปีแล้ว เป็นการเปิดโอกาสให้ได้พิสูจน์ใจที่จะรองรับคำแนะนำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี
การแนะนำกันนั้นไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะผู้แนะนำมักจะขาดทุนแม้มีความปรารถนาดีเพียงใดก็ตาม อาจจะได้รับความไม่พอใจได้
แต่เมื่อปวารณากันไว้แล้ว ก็จะทำให้ผู้ที่ตั้งใจแนะนำเป็นกัลยาณมิตรให้จะได้ทุ่มเทความปรารถนาดีไปยังภิกษุรูปนั้นอย่างเต็มที่ ขุมทรัพย์จากการปวารณา บัดนี้เราได้ปวารณาซึ่งกันและกันแล้วว่า หากใครได้เห็นได้ยิน หรือสงสัยก็ดี ในข้อวัตรปฏิบัติใดก็ตามที่ขัดขวางต่อหนทางไปสู่นิพพาน ไม่ถูกต้องร่องรอยในพระพุทธศาสนาก็ให้แนะนำตักเตือนได้ เราจะไม่โกรธ จะทำใจของเราให้มีปีติยินดี มีความเบิกบานและสำนึกในพระคุณของผู้แนะนำนั้นว่า เป็นประดุจผู้ชี้ขุมทรัพย์อันประเสริฐให้แก่ตัวเรา “ขุมทรัพย์” ในที่นี้ไม่ใช่ โลกียทรัพย์ แต่หมายถึง เครื่องปลื้มใจของพระอริยเจ้า คือพระนิพพานนั่นเอง ใครชี้หนทางสว่างให้ไปสู่นิพพานได้ เราก็จะไปทางนั้น หรือใครเห็นว่า สิ่งใดจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงธรรมก็จะแนะนำตักเตือนกันและกัน เพราะฉะนั้น นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อเราได้เปิดใจให้ซึ่งกันและกันแล้ว ก็ขอให้ลูกทุกรูปยินดีในคำแนะนำตักเตือนประดุจได้รับอาหารอันโอชะ หรือขุมทรัพย์อันวิเศษแก่ตัวของเรา อย่าได้ขุ่นข้องหมองใจกับบุคคลที่มาแนะนำ
การแนะนำตักเตือนกันนั้น ต้องดูเวลาและอารมณ์ว่า เขาพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเขายังไม่พร้อม ก็ต้องรอจนกว่าเขาจะพร้อม รวมทั้งดูความพร้อมของตัวเราด้วย เหมือนการปลูกผลไม้ ก็ต้องคอยจังหวะ คอยเวลา คอยช่วงฤดูกาลที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ต้นไม้จึงจะเจริญงอกงาม การปลูกต้นแห่งความปรารถนาดีก็เช่นเดียวกัน จะต้องคอยดูจังหวะ ดูอารมณ์ของใจ
สำหรับกรณีที่ผู้แนะนำตักเตือนอาจจะมองพลาดไปบ้าง เราก็ต้องให้อภัยเขาทุกอย่าง ไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ อย่าไปคิดว่า เขาเพ่งโทษเรา แต่ถ้าเราผิดจริง เขาแนะนำถูกต้อง ก็ให้แก้ไข ผู้ที่แนะนำก็เช่นเดียวกัน ต้องพิจารณาดูว่า สิ่งที่จะแนะนำเขาเป็นการเพ่งโทษหรือปรารถนาให้เขาได้รับประโยชน์ ถ้าปรารถนาให้เขาได้รับประโยชน์ เราจึงควรแนะนำ ถ้าทำได้อย่างนี้ ความผาสุกก็จะเกิดขึ้นกับหมู่คณะ ตัวเราก็จะสร้างบารมีอย่างมีความสุข จิตใจจะผ่องใส ใกล้ต่อหนทางของพระนิพพาน
การเข้าถึงพระธรรมกายนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่ยากสำหรับพวกเราเลย ถ้าหากยินดีในคำแนะนำนั้น คืนวันพระจันทร์เต็มดวง วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันออกพรรษาแล้ว วันนี้จึงถือว่าเป็นวันสุดท้ายของการอยู่จำพรรษา เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงขึ้น ๑๕ ค่ำ แต่ละท่านที่ได้ตั้งใจปวารณากันเอาไว้ตั้งแต่ต้นพรรษาจนมาถึงวันนี้ว่า ระหว่างที่เราอยู่จำพรรษาร่วมกัน เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ให้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว จะศึกษาทั้งปริยัติปฏิบัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ โดยหวังมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร ใครทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ วันนี้จะได้ตั้งจิตระลึกนึกถึงผลบุญตลอดพรรษาที่ผ่านมา และอธิษฐานจิตให้เราได้เข้าถึงพระธรรมกายอย่างง่ายดาย แต่ถ้าภายในพรรษา หากใครยังปฏิบัติไม่จริงจัง เรายังมีโอกาสปฏิบัติเอาจริงเอาจังวันนี้ได้อีก ๑ วัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังเหลือเวลาอีก ๙ ชั่วโมงก่อนที่จะออกพรรษา ให้ลูกทุกรูปชำระกายวาจาใจของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ เพราะเราทราบดีอยู่แล้วว่า การเข้าถึงพระธรรมกายนั้นเป็นเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต เมื่อพระจันทร์สว่างบนท้องฟ้า เราก็จะต้องทำพระจันทร์ให้สว่างในดวงใจของเรา ให้เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ ถ้าใครเข้าถึงธรรมวันนี้ได้ ก็จะเป็นประวัติชีวิตอันงดงามที่เกิดขึ้นกับตัวของเรา คราใดเรามองเห็นพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า เราก็จะปีติใจทุกครั้ง เพราะเราได้เข้าถึงธรรมในวันที่พระจันทร์เต็มดวง มีความสว่างไสว มีรัศมีสีสัน ความปีติความเบิกบานก็จะทับทวีมากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นวันนี้ขอให้ลูกทุกรูปตั้งใจให้ดีเป็นพิเศษ
คำว่า “ตั้งใจ” หลวงพ่อไม่ได้หมายความว่า ทำด้วยความเครียดนะ แต่เราทำด้วยจิตใจเบิกบาน ถ้าใช้คำว่า “ตั้งใจ” ทำให้เครียดเกินไป เราอาจจะกลับคำเสียใหม่ว่า “ใจตั้ง” หมายถึง นำใจมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย เมื่อใจตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้ว ก็ไม่ต้องตั้งใจ เมื่อใจตั้งได้แล้วความสว่างไสวก็จะเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายอย่างแน่นอน ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต การจะวัดว่าใครประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ต้องดูว่าใครเข้าถึงธรรมกายแล้ว นั่นแหละคือสุดยอดของความสำเร็จในชีวิต โลกียทรัพย์ คือ ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญนั้นเป็นเพียงเปลือกของชีวิต ยังไม่เป็นแก่นของชีวิต แก่นของชีวิตคือพระธรรมกายที่อยู่ในตัวของเรา ถึงจุดนี้ได้ จึงจะเรียกว่า เป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ยิ่งถ้าเข้าถึงกายธรรมอรหัต หมดกิเลสอาสวะเข้าถึงอายตนนิพพานได้ นั่นคือจุดหมายอันสูงสุดของมนุษย์ทุกคน
ให้เราดูพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแบบอย่าง พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยโลกียทรัพย์ ถึงพร้อมด้วยสมบัติทั้ง ๓ คือ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ แต่ในที่สุดทรงสละราชสมบัติออกผนวช บำเพ็ญเพียรจนกระทั่งบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ทรงประกาศว่าเมื่อเข้าถึงที่สุด กิจอย่างอื่นที่จะต้องทำยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว หรือกิจที่เสมอเหมือนก็ไม่มี
พวกเราทั้งหลายได้มาบวชอยู่ประพฤติปฏิบัติธรรมร่วมกัน เพราะต่างก็มีเป้าหมายอันเดียวกัน คือ จะก้าวไปให้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ อันเป็นความสำเร็จสูงสุดของชีวิตตามเยี่ยงอย่างบัณฑิตในกาลก่อน สูตรสำเร็จเข้าถึงธรรม พวกเราทุกรูปที่ได้มาอยู่ร่วมปฏิบัติธรรมนี้ เป็นผู้มีบุญที่ได้สั่งสมมาแต่ปางก่อนมากพอที่จะเข้าถึงธรรมกายได้ แต่เรายังขาดการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จริงจัง แล้วก็วางใจยังไม่ถูกหลัก ไม่ถูกวิธี จึงยังไม่เข้าถึงเดี๋ยวนี้ แต่ด้วยกำลังบุญของทุกรูปนั้นสามารถเข้าถึงเดี๋ยวนี้ได้ ถ้าหากเราวางใจเป็น และสามารถขจัดอุปสรรค คือ การทำไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วต้องเข้าถึงกันทุกรูปอย่างแน่นอน
การทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องนั้น คือ นั่ง นอน ยืน เดิน หลับตา ลืมตา หายใจเข้า หายใจออก เราทำอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอน อย่างนี้เรียกว่า ทำจริงจังและต่อเนื่อง
แต่บางครั้งในความเคยชินของพวกเรา ซึ่งเป็นอุปนิสัยติดตัวเรามาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส คือ เรามักจะส่งใจไปที่อื่น ปล่อยจิต ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามกระแสของอารมณ์ นาน ๆ จึงนำใจกลับมาที่ศูนย์กลางกายสักที เดี๋ยวก็หลุดไปอีกแล้ว ปล่อยใจเพลิดเพลินกันไปอย่างนี้ เรียกว่า ทำไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง
เวลา ๓ เดือน ภายในพรรษา ถ้าเรานับรวมเวลาที่ใช้ปฏิบัติธรรมจริง ๆ ยังไม่ถึงเดือนเลย เราต้องแก้ไขปรับปรุงตรงนี้ ทำกันอย่างจริงจัง โดยตรึกถึงดวงใส ใจหยุดไปที่กลางดวงใสที่ศูนย์กลางกาย หลับตานึก นั่งนึก นอนนึก ยืนนึก เดินนึก ลืมตานึก นึกไปเรื่อย ๆ ในทุกอิริยาบถ นึกให้ต่อเนื่องกันไป แล้วก็ทำให้ถูกวิธี ที่หลวงพ่อได้วางแนวเอาไว้ว่า สูตรสำเร็จในการเข้าถึงพระธรรมกายนั้นต้องวางใจให้สบาย ๆ ไม่มีใครแม้สักคนเดียวในโลกที่เข้าถึงพระธรรมกายได้ในตอนเครียด ทุกคนที่เข้าถึงธรรมกาย ต่างยืนยันเหมือนกันหมดว่า วางใจให้สบาย อารมณ์สบาย จึงจะเข้าถึงธรรมกายได้ ถ้าหากเราวางใจสบาย ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ที่กลางดวงใสอย่างเบา ๆ อย่างละเอียดอ่อน นึกง่าย ๆ ทำใจเย็น ๆ ทำตามที่หลวงพ่อพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกอาทิตย์ที่พวกเราปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงพ่อในสภาธรรมกายสากล ได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ หากนึกน้อมปฏิบัติอย่างจริงจังให้ถูกต้องตามวิธีที่หลวงพ่อบอกเป็นสูตรสำเร็จเอาไว้ ด้วยกำลังบารมีของพวกเราขณะนี้ต้องเข้าถึงกันอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นวันมหาปวารณา วันสุดท้ายของการจำพรรษานั้น ให้นำใจมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย เอาจิตเอาใจปฏิบัติให้ได้ตามสูตรสำเร็จ เราจะต้องเข้าถึงอย่างแน่นอน
“ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะลาสิกขา สำหรับพระภิกษุบางรูปหลังออกพรรษาและรับกฐินแล้ว จำเป็นจะต้องลาสิกขา เพราะว่าลางานมาจำเป็นจะต้องกลับออกไปประกอบอาชีพในทางโลก ก็ให้ตรึกระลึกนึกถึงผลบุญที่เราได้บำเพ็ญมาทั้งหมด โดยอธิษฐานจิตว่า ตลอดระยะเวลาที่บวชเรียนมาหนึ่งพรรษา ตอนนี้มีความจำเป็นที่จะต้องลาสิกขาเพื่อออกไปปฏิบัติภารกิจทางโลก ด้วยบุญกุศลที่ทำมาตลอดพรรษานี้ก็ขอให้คุ้มครองเรา ให้ดึงดูดแต่สิ่งที่ดีงาม ให้ทำแต่ความดี อย่าได้ทำความชั่ว ให้สามารถสร้างบารมีไปได้ตลอดรอดฝั่ง ให้เข้าถึงธรรม ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตในธุรกิจการงาน ให้ครอบครัวมีความสุข จะไปอยู่หน่วยงานไหนก็ทำหน่วยงานนั้น
ให้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม ให้ปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปด้วยกับภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ ”
ส่วนฤกษ์ลาสิกขานั้นให้เอาฤกษ์ของพระพุทธเจ้า คือ ฤกษ์ที่กายวาจาใจสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส ตรึกระลึกนึกถึงบุญกุศล เราจะได้ลาสิกขาออกไปด้วยจิตใจที่เบิกบาน มีความผ่องใสกันทุกรูป ความรู้ภายใน ส่วนท่านที่มีกุศลศรัทธาจะบวชต่อเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง เพื่อที่จะร่วมงานสร้างบารมีไปกับหลวงพ่อและหมู่คณะ หลวงพ่อก็ขออนุโมทนาสาธุการด้วย ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมกันให้ดี หลวงพ่อขอยืนยันว่า หนทางที่พวกเราจะเดินทางกันต่อไปนั้น เป็นหนทางสายกลาง หนทางที่ปลอดภัย เป็นหนทางที่ยิ่งใหญ่ มีแต่บุญบารมีเพิ่มพูนขึ้นไปทุกวัน ไม่หลงทาง ไม่ผิดทาง เป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุดแล้ว หนทางนี้เราจะต้องเดินทางไปอีกยาวนานนัก
ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย สิ่งที่เรารู้นั้นเพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่สำหรับผู้จะศึกษาความรู้ชนิดนี้มีไม่มาก ลองคิดดู
พักผ่อนไปหนึ่งในสามของวัน หรือหนึ่งในสามของชีวิตไปแล้ว
วันหนึ่งคืนหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราแบ่งเวลานอนหลับ ดูแลสังขารอีกหนึ่งในสาม ที่เหลือก็ปฏิบัติกิจในทางพุทธศาสนา เรามีเวลานิดเดียว ถึงแม้จะมากกว่าฆราวาสก็ตาม แต่ถ้าเทียบดูแล้ว ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ในขณะที่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ซึ่งอยู่ภายในตัวของเรายังมีอีกมากมาย และความรู้ชนิดนี้ ไม่รู้ไม่ได้ ไม่รู้ไม่ปลอดภัย เป็นกิจที่ควรรู้ควรทำ ที่เรียกว่า กรณียกิจ และเป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไป ความรู้ภายในเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับตัวเราโดยเฉพาะ แล้วมีผลกระทบถึงส่วนรวม
เมื่อศึกษาแล้วเราจะเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่เกี่ยวพันกัน ทั้งความคิด คำพูด การกระทำของเรา มีความเกี่ยวพันกับบุคคลและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกระทั่งจักรวาล และภพภูมิต่าง ๆ กระทบถึงกันไปหมด เหมือนเราลอยอยู่ในอากาศ อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร แล้วโยนก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ลงไปก้อนหนึ่ง คลื่นที่เกิดจากก้อนหินที่เราโยนลงไป จะเป็นคลื่นที่ไล่คลื่นลูกหน้าไปจนกระทั่งกระทบไปถึงฝั่ง
เพราะฉะนั้นการกระทำ ความคิด คำพูดของเรา มีผลกระทบต่อบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ความรู้ภายในนี้เป็นความรู้ที่สำคัญที่เกี่ยวโยงกับตัวของเราไม่รู้ไม่ได้ ไม่รู้ไม่ปลอดภัย รู้แล้วจึงจะปลอดภัย
ความรู้ชนิดนี้เขาเรียกว่า “ความรู้แจ้ง” ภาษาธรรมะเรียกว่า “วิชชา” ความรู้แจ้งจะเกิดจากความเห็นแจ้ง เห็นแจ้งด้วยธรรมกาย จึงจะหยั่งรู้ได้ด้วยญาณของธรรมกาย ความรู้จากธรรมกายเป็นความรู้ที่รู้รอบด้าน รู้พร้อม รู้ยิ่ง ความรู้ที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นความรู้ที่วิเศษที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด เราจะเรียนรู้ได้เมื่อเราเข้าถึงธรรมกายเท่านั้น
พระธรรมกายที่อยู่ภายในตัวของเรานั้นเป็นอุปกรณ์อันสำคัญยิ่งที่เราจะใช้ศึกษาความรู้ต่อไปในอนาคต ศึกษาสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมากมายก่ายกองทีเดียว ดังนั้นหลวงพ่อจึงขอยืนยันว่า ที่ท่านทั้งหลายได้ตัดสินใจมาอยู่ร่วมกันในพระพุทธศาสนา หรืออยู่จำพรรษาปฏิบัติธรรมเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2530
โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา
ชีวิตสมณะ..ฉบับมหาปวารณา
www.dhamma01.com/book/10
7 ตุลาคม พ.ศ. 2530