วันเริ่มต้นหัวใจกัลยาณมิตร

7. วันเริ่มต้นหัวใจกัลยาณมิตร

เราได้ทำพิธีมหาปวารณากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมา ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว นักบวชสมัยพุทธกาลกับมหาปวารณา การบวชในสมัยพุทธกาลนั้นแตกต่างจากในสมัยปัจจุบันนี้ สมัยพุทธกาล ผู้ที่เข้ามาบวช คือ ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นว่าชีวิตเป็นทุกข์ อยากจะแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เมื่อได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ก็เกิดกุศลศรัทธา อยากจะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เพราะเห็นว่าชีวิตของนักบวชเป็นชีวิตที่มีแก่นสาร ปลอดกังวลจากพันธนาการของชีวิต จะได้มีเวลาว่างศึกษาพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา แล้วลงมือปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความรู้แจ้งเห็นจริงของชีวิต และพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพราะฉะนั้น นักบวชในสมัยพุทธกาลนั้น เมื่อออกบวชแล้วก็ตั้งใจแสวงหามรรคผลนิพพาน ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานให้ได้ ต่อมาทรงมีพุทธานุญาตให้มีการอยู่จำพรรษา เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และเพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมร่วมกัน และได้กำหนดให้วันสุดท้ายของการเข้าพรรษาเป็นวันมหาปวารณา เพราะในสมัยก่อน ตลอดระยะเวลาหนึ่งพรรษานั้น ต่างก็มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหามรรคผลนิพพาน

ดังนั้นโอกาสที่จะพูดจาแนะนำตักเตือนกันจึงไม่มี ผู้เข้ามาบวชนั้น บางรูปยังเป็นผู้ใหม่อยู่ ยังไม่เข้าใจพระธรรมวินัยอย่างลึกซึ้ง เมื่อไม่มีกัลยาณมิตรคอยแนะนำก็ทำไม่ถูกต้อง เมื่อทำไม่ถูกก็ทำอย่างที่เคยทำสมัยเมื่อครั้งเป็นฆราวาส จึงทำให้ประโยชน์ที่จะได้รับจากการบวชไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พระพุทธองค์จึงได้กำหนดให้มีวันมหาปวารณาขึ้น เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายต่างเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน โดยมีจุดมุ่งหมายว่า จะช่วยชี้แนะข้อบกพร่องเหมือนการชี้ขุมทรัพย์ให้แก่กัน เพื่อที่จะได้ประคับประคองให้ทุกรูปนั้นอยู่ในเส้นทางธรรม แล้วมุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพาน โดยต่างปวารณาซึ่งกันและกันว่า ใครได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยถึงความประพฤติที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ให้แนะนำตักเตือนกันได้

เมื่อใครได้รับการแนะนำแล้วก็จะขอบคุณ ไม่ผูกโกรธ ไม่ขัดเคือง และนำมาพิจารณาใคร่ครวญว่า สิ่งที่เพื่อนสหธรรมิกแนะนำนั้นถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยไหม เราพลาดจากข้อวัตรปฏิบัตินั้นจริงหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราประพฤติบกพร่องจริง ก็จะปรับปรุงแก้ไขตนเองด้วยความปีติยินดี ดีอกดีใจ และขอบพระคุณผู้ที่มาแนะนำนั้น

แต่ถ้าหากผู้ที่มาแนะนำนั้นอาจจะได้ยินต่อ ๆ กันมา หรือแค่สงสัย ซึ่งความจริงเรามิได้เป็นอย่างนั้น ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อได้รับคำแนะนำก็ควรขอบคุณ แล้วก็ให้อภัยไม่ถือสาในการชี้แนะ แม้ว่าจะไม่ตรงกับความจริงในข้อวัตรปฏิบัติของเรา ซึ่งถูกต้องตามพระธรรมวินัยแล้วก็ตาม สรุปง่าย ๆ ก็คือ ไม่ผูกโกรธ ไม่ขัดเคืองใจ ไม่ว่าสิ่งที่แนะนำนั้นจะถูกหรือไม่ถูกก็ตาม หรือถูกตามพระธรรมวินัยแต่ไม่ตรงกับความเป็นจริงของข้อวัตรปฏิบัติของเราก็ตาม ให้มีแต่ใจยินดีน้อมรับ
คำแนะนำด้วยจิตใจที่ชื่นบานปลื้มปีติยินดีตลอดเวลา

ในสมัยพุทธกาล หลังจากวันมหาปวารณา พระภิกษุทั้งหลายต่างก็จะปลีกตัวแยกย้ายกันไปแสวงหาที่วิเวก เพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปตามจริตอัธยาศัยที่ชอบ บางท่านชอบอยู่ป่าก็ไปป่า ชอบอยู่ถ้ำก็เข้าถ้ำ ชอบอยู่โคนไม้ก็ไปที่โคนไม้ ชอบที่ไหนก็ไปที่นั่น ดังนั้นในสมัยพุทธกาลจึงมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานกันมาก นักบวชในปัจจุบัน

การบวชในสมัยปัจจุบันแปรเปลี่ยนไปตามอินทรีย์แก่อ่อนของแต่ละท่าน บางท่านเหมือนผลไม้ที่จะสุกงอมแล้ว ก็ตัดสินใจบวชเพื่อแสวงหามรรคผลนิพพาน โดยทิ้งทุกสิ่งทางโลก เพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร ทิ้งตั้งแต่การศึกษาเล่าเรียนที่จบกันมา ทิ้งอนาคตที่จะไปเป็นใหญ่เป็นโตในทางโลก ทิ้งการครองเรือน เพราะมองเห็นตลอดแล้วว่า เส้นทางชีวิตของฆราวาสนั้นจะหาโอกาสมาประพฤติปฏิบัติธรรม รักษาศีล เจริญภาวนา ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ประดุจสังข์ขัดนั้นยาก เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มีการแข่งขัน มีคู่แข่ง มีคู่แค้น มีการแก่งแย่งชิงดีกันตลอดเวลา บางครั้งก็มีโอกาสทำความดีได้เต็มที่ แต่บางครั้งก็ไม่เต็มที่ จึงตัดสินใจออกบวชเพื่อแสวงหามรรคผลนิพพาน

สำหรับบางท่านที่อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ หรือก่อนบวชยังครองเรือน ยังมีภารกิจทางโลกที่จะต้องรับผิดชอบ ต้องดูแลครอบครัว หรือว่ายังต้องการแสวงหาประสบการณ์ภายนอก ยังไม่แจ่มแจ้ง ยังไม่หายสงสัย แต่มีกุศลศรัทธาก็ตั้งใจมาบวชชั่วคราวในช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือน เพราะฉะนั้นการบวชในปัจจุบันจึงมี ๒ ประเภท คือ บวชเพื่อแสวงหามรรคผลนิพพาน บวชชั่วคราว เมื่อถึงกำหนดเวลาก็ลาสิกขากันไป

แต่จะบวชแบบใดก็ตาม ขอให้เรามีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร การบวชอย่างนี้จึงจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งต่อตัวเรา ต่อโยมพ่อโยมแม่ ต่อครอบครัว ต่อพระพุทธศาสนา ต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง เพราะฉะนั้นจะบวชระยะสั้นหรือยาวก็ไม่สำคัญ สำคัญว่าบวชมาแล้วต้องมีเป้าหมายที่จะทำพระนิพพานให้แจ้งเหมือนกัน วันเริ่มต้นหัวใจกัลยาณมิตร เนื่องจากวันนี้ เรามีนักบวช ๒ ประเภท ที่รวมกันอยู่ ณ ที่นี้ และต่างก็ได้ทำมหาปวารณาซึ่งกันและกันแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่ดี
การทำพิธีมหาปวารณาในวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการทำตามธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา แต่อีกส่วนหนึ่งหลวงพ่ออยากให้เป็นสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เพื่อให้บังเกิดประโยชน์ต่อการบวช คือ ให้เราตักเตือนกันอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าทำแค่เป็นธรรมเนียมในวันนี้ พอวันรุ่งขึ้นก็เหมือนเก่า ไม่ใช่อย่างนั้น ให้ถือว่า วันนี้คือวันเริ่มต้นที่เรามีหัวใจกัลยาณมิตร มีความรักใคร่ มีความปรารถนาดีที่จะช่วยกันประคับประคองให้ทุกคนไปถึงฝั่งของพระนิพพานให้ได้

ดังนั้น ในการปวารณากันที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ ขอให้เป็นสิ่งที่เราจะทำกันอย่างจริงจัง และนำมาปฏิบัติ ไม่ว่าเราจะอยู่ในเพศสมณะนี้ต่อไป หรือว่าจะลาสิกขาไปก็ตาม ถ้าเป็นเพศนักบวชด้วยกัน เมื่อปวารณากันแล้ว ต่อไปก็ทำหน้าที่กัลยาณมิตรอย่างที่หลวงพ่อได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น คือแนะนำด้วยความปรารถนาดีในสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัย เพื่อช่วยประคับประคองให้ประพฤติถูกต้องตามพระธรรมวินัย ให้มีกำลังใจที่จะสร้างบารมีกันต่อไป

เมื่อเราได้ยินได้ฟังสิ่งที่เพื่อนสหธรรมิกแนะประโยชน์ ก็อย่าขัดเคือง อย่าขุ่นมัว จะด้วยประการใดก็แล้วแต่ ให้ขอบคุณ ทำใจให้ชื่นบาน แล้วกลับมาพิจารณาตัวเราว่า เป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นก็แล้วไป ให้อภัย แต่ถ้าเราบกพร่องผิดพลาดจริงก็กลับตัวกลับใจเสียใหม่ ปรับปรุงแก้ไขกันไป ไม่ช้าเราก็จะได้ประคองกันไปจนถึงฝั่งของพระนิพพาน

ส่วนผู้ที่จำเป็นจะต้องลาสิกขา เมื่อไปเป็นฆราวาสแล้ว ให้กลับมาเยี่ยมวัด มาพบพระอาจารย์ พบพระพี่เลี้ยง หรือมาพบหลวงพ่อ หรืออดีตเพื่อนสหธรรมิกเก่าของเรา ซึ่งท่านเหล่านั้นจะแนะนำตักเตือนอะไรโดยธรรมก็ให้รับฟังเอาไว้ แล้วก็นำมาพิจารณาใคร่ครวญดู

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แก้ไขเสีย ถ้าหากไม่เป็นอย่างนั้นก็ให้อภัย ยิ้มแย้มแจ่มใส และก็สร้างบารมีร่วมกันต่อไป ถ้าทำกันได้อย่างนี้ มหาปวารณาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ต่อครอบครัว ต่อเพื่อนร่วมโลก ต่อพระศาสนา และสรรพสัตว์
ทั้งปวง เพราะการปวารณาก็คือการเริ่มต้นตั้งหลักทำความดีใหม่ เพราะอินทรีย์เรายังอ่อนอยู่ เหมือนกับเด็ก ๆ เวลาหัดเดินใหม่ ๆ ก็ล้มลุกคลุกคลาน ตั้งไข่ล้มต้มไข่กินอย่างนั้น ล้มแล้วก็มีพี่เลี้ยงคอยประคองให้เรายืนขึ้น จงยืนขึ้นอย่างองอาจ และก็ก้าวเดินต่อไปในเส้นทางธรรม ด้วยความอาจหาญ ด้วยความปีติยินดี ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ไม่ว่าเราจะอยู่ในเพศนักบวช หรือเพศฆราวาสก็ตาม ยังมีกิจที่จะต้องทำกันต่อไป นั่นคือการแสวงหาหนทางพระนิพพานซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของเรา

เป็นเรื่องที่น่าแปลก สิ่งที่ดีอยู่ใกล้แต่การแสวงหามักจะทำกันอย่างไม่เต็มที่เต็มกำลัง เรามักจะใช้เวลาให้หมดไปในเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระ ถ้าเป็นนักบวชก็ให้สังเกตใจของเราในแต่ละวันว่า ยังมุ่งอยู่ตรงจุดที่จะเดินทางไปสู่อายตนนิพพานได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะหลุด ไม่ค่อยจะต่อเนื่องสักเท่าไร เพราะประสบการณ์ภายในเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เราได้ให้ความเอาใจใส่กับสิ่งนี้จริงจังแค่ไหน หลวงพ่อเชื่อมั่นในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า ถ้าตั้งใจจริงแล้วเราต้องบรรลุผลอย่างแน่นอน อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ถ้าเอาจริงเอาจังแล้ว ไม่ควรจะเกินเลข ๗ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้

วันนี้หลวงพ่อสังเกตเป็นพิเศษ อยากเห็นหน้าทุกรูป เพื่อจะดูว่า กำลังเข้า ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีหรือเปล่า พรรษาก็สูง ๆ กันก็เยอะไล่กันตามมาเป็นลำดับ แล้วได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการบวชกันแล้วหรือยัง ซึ่งเราต่างก็ทราบตัวของเราเอง เพราะฉะนั้นให้ตั้งใจให้ดี หากตั้งใจจริงแล้วไม่น่าจะเกิน ๗ วัน ๗ เดือน หรือ ๗ ปี ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ “จริง” ต้องได้ จริงอยู่แม้ว่าเราจะมีภารกิจอื่นเข้ามาเสริมในระหว่างการประพฤติปฏิบัติธรรมมากมายก็ตาม หลวงพ่อคิดว่าภารกิจเหล่านั้นไม่น่าจะเป็นอุปสรรคอะไร เพราะกิจวัตรกิจกรรมทั้งหลายที่จัดเอาไว้นั้นล้วนเป็นไปเพื่อการสร้างบารมี และเกื้อหนุนให้เข้าถึงธรรมทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับตัวเราเอาจริงแค่ไหน ในขณะที่เรามักจะมีข้ออ้างว่า มีกิจกรรมเยอะ จนไม่มีโอกาสปฏิบัติธรรม แต่ก็มีเพื่อนสหธรรมิกหลายรูปที่มีภารกิจมากมายเช่นเดียวกับเรา แต่ถึงแม้มีกิจกรรมมาก กิจวัตรก็ไม่ขาด ผลการปฏิบัติธรรมก็ได้ผลดี แล้วอะไรคือข้อแตกต่าง ทั้ง ๆ ที่มีกิจวัตรกิจกรรมเสริมเท่ากัน แต่ผลที่ได้กลับไม่เท่ากัน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเอาจริงแค่ไหน มีความปรารถนาจะเข้าถึงพระธรรมกายแค่ไหน ถ้าหากตั้งใจจริง หลวงพ่อว่าต้องทำได้เช่นเดียวกับเพื่อนสหธรรมิกของเรา แม้จะมีภารกิจมาก ก็ทำได้เหมือนกัน

ดังนั้นหลวงพ่อคิดว่า ไม่น่าจะมีอะไรเป็นข้ออ้างข้อแม้และเงื่อนไขในการเข้าถึงธรรม ชีวิตนักบวชมีค่า ยิ่งกว่าทองเท่าภูเขา พรรษาหนึ่งผ่านไปประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง ๓ เดือน ก็หมดเวลาแล้ว เราจะเห็นว่า เวลามันหมดเร็วจังเลย เดี๋ยววัน เดี๋ยวคืน เดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว จริง ๆ แล้ว หลวงพ่อไม่อยากให้ทุกรูปลาสิกขาเลย นี่ถ้าเอาทองเท่าภูเขาแลกได้ก็จะเอาแลกคนละลูก ๆ เพราะหลวงพ่ออยากให้มุ่งศึกษาวิชชาธรรมกายว่า เป็นอย่างไร มีจริงแค่ไหน

หลวงพ่อพูดให้ฟังอยู่เรื่อย ๆ ว่า มีจริง ดีจริง แต่เรายังพิสูจน์ไม่ได้เลย มันต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อน เอหิปัสสิโก คือ ท้าพิสูจน์ เชิญให้มาดูเลย โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาไว้ในใจ สิ่งนี้มีอยู่ในตัว ไม่ได้อยู่นอกตัว ความสุขที่แท้จริง ความสุขทางธรรม หรือความสุขภายในอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม ถ้าเทียบกันกับความสุขทางโลกที่เราเคยสัมผัสนั้น ทางโลก ไม่น่าจะใช้คำว่า “ความสุข” เลย เพราะอารมณ์ของความสุขไม่ใช่อย่างนั้น อารมณ์ของความสุขที่แท้จริงนั้นต้องโล่งโปร่งเบาสบาย เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง มีความเบิกบาน ชื่นบาน แล้วก็ไม่ต้องการอะไร เป็นความสุขที่มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ ความรู้แจ้งภายใน เราจะได้รู้ได้เห็นเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกับชีวิตของเรามากมาย

ตอนนี้เรายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอกจากเรื่องครอบครัว เรื่องทำมาหากิน เรียนรู้วิธีหาเงินมาเลี้ยงชีวิต เลี้ยงครอบครัว ได้เงินมาก็ใช้จ่ายหมดไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุข แต่ว่าเมื่อไม่มีคำอะไรที่เหมาะสมมาใช้ พอความทุกข์ลดลงอยู่ในระดับที่พอทนได้ เลยเรียกความรู้สึกที่พอทนได้นี้ว่า “ความสุข” แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ ความสุขที่แท้จริง เราจะรู้จักและเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อใจหยุดนิ่ง ถ้าใจไม่หยุดนิ่งแล้วจะไม่รู้จักคำว่า “ความสุข” เลย ต้องหยุดอย่างเดียว ใจที่แวบไปแวบมาก็มาหยุดนิ่งอยู่ภายในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จนกระทั่งเข้าไปถึงแหล่งกำเนิดของความสุขที่แท้จริง เมื่อเข้าถึงจุดนี้แล้วจึงจะได้รู้รสชาติว่า ความสุขแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เราจะรู้ได้ว่า “ความสุข” ที่เราเข้าใจก่อนบวช กับความสุขแท้จริงที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้นต่างกันอย่างไร

เราจะรู้ได้ต่อเมื่อมีเครื่องเปรียบเทียบ หมายความว่า เราต้องเข้าถึงจุดแห่งการหยุดนิ่ง แล้วได้สัมผัสกับอารมณ์แห่งความสุข ได้รู้รสชาติเสียก่อน และเราต้องมาเปรียบเทียบกับอารมณ์ที่เราเคยได้เห็นของสวย ๆ ได้ยินเสียงเพราะ ๆ ได้ดมกลิ่นหอม ๆ ได้รับประทานอาหารอร่อย ได้สัมผัสที่นุ่มนวล แล้วมาเทียบกับความสุขที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง หลวงพ่อว่า ผู้ที่มีบุญเกิดมาในโลกนี้ ต้องรู้จักอารมณ์สองประเภทนี้ ถ้าไม่รู้จัก หลวงพ่อว่าเกิดมาตายฟรี ได้รู้อารมณ์เพียงแค่ ตาได้เห็นรูปงาม ๆ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ จมูกได้ดมกลิ่นหอม ๆ ปากได้รับประทานอาหารอร่อย ลิ้นได้รับรส กายได้รับการสัมผัส แค่นี้ใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร

เพราะฉะนั้น หลังจากมหาปวารณาแล้ว จะอยู่ในเพศใดก็ตาม ให้มีจิตสำนึกลึก ๆ ว่า เราจะต้องแสวงหาความสุขที่แท้จริงให้ได้ในขณะที่เรากำลังมีเรี่ยวแรงอยู่ ต้องหาให้เจอ เปรียบเทียบให้ได้ ถ้าไม่ได้ เกิดมาชาตินี้ตายฟรี ถึงจะเป็นมหาเศรษฐีก็รวยฟรี จะเป็นใหญ่เป็นโต ก็เป็นใหญ่เป็นโตฟรี เพราะยังมีภารกิจตรงนี้อยู่ที่เรายังไม่ได้ทำ อาภรณ์ชุดสุดท้าย กาสายะ สำหรับพระพรรษา ๑ หลวงพ่อก็ยังอยากให้อยู่ไปจนกระทั่งถึงวันรับกฐิน ซึ่งปีนี้กำหนดเอาไว้ตรงกับวันอาทิตย์ต้นเดือนวันที่ ๓ พฤศจิกายน อย่าเพิ่งรีบลาสิกขาก่อน เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง เราจะได้รับกฐินโดยพร้อมเพรียงกัน จะเป็นความชื่นบาน ความปีติว่า เราได้ทำหน้าที่ของพระอย่างครบถ้วนบริบูรณ์

แล้วหลังจากนั้นค่อยตัดสินใจ การลาสิกขานั้นเมื่อไรก็ลาได้ จะลาเดี่ยว ลาหมู่ หรือลาที่ไหน ลาได้ทั้งนั้น เพียงแต่พูดภาษาบาลี ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็ว่า ไม่อยากเป็นพระแล้ว อยากเป็นฆราวาส แค่นี้ก็ลาสิกขาได้แล้ว ไม่ยากอะไร แต่การบวชนั้นยากกว่า ไม่ใช่ว่าเห็นผ้าที่เขาขายตามร้านแล้วจะไปซื้อมาห่มได้เลยเสียเมื่อไร ต้องมีขั้นมีตอน

กว่าจะได้บวชนั้นยาก เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ต้องใช้วันเวลาให้คุ้มค่า ชุดผ้ากาสาวพัสตร์ ชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายในเส้นทางของสังสารวัฏ ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ทรงผมก็ทรงสุดท้ายเป็นทรงที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีภาระ ไม่มีเครื่องกังวล มีมีดโกนแทนหวี เป็นทรงสุดท้าย เป็นเครื่องแบบที่ทั้งมนุษย์และเทวดา เห็นแล้วยกมือกราบไหว้ ตั้งแต่คนชั้นล่าง ชั้นกลาง ถึงพระราชา มหากษัตริย์เจอแล้วต้องกราบไหว้

ถ้าเปลี่ยนชุดนี้เจอใครก็ไหว้เหมือนกัน แต่ไหว้เขา ชุดนี้เป็นชุดที่สำคัญที่สุด สวมชุดนี้แล้วไม่มีอด มีหม้อข้าวใบเดียว แม้ว่ามีไม่มาก แต่ก็มีไม่หมด บิณฑบาตเลี้ยงสังขารเรื่อยไป เลี้ยงได้ตลอดชาติเลย เพียงพอสำหรับผู้แสวงหามรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้นชุดนี้ชุดสำคัญ ผู้มีบุญเท่านั้นจึงได้ไปครอง ให้รักษาชุดนี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อแสวงหาหนทางพระนิพพาน

พุทธศาสตร์ ศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ไม่ควรนับถือพระพุทธศาสนาแค่เป็นอาภรณ์ประดับกายเหมือนแว่นกันแดด เหมือนเสื้อผ้า เพราะจริง ๆ แล้วพระพุทธศาสนามีความสำคัญมาก ๆ เป็นชีวิตจิตใจของเราทีเดียว เวลาใกล้จะละโลก เรานอนอยู่บนเตียงคนป่วย ศาสตร์ทุกศาสตร์ที่เรียนมาในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รัฐศาสตร์ จะศาสตร์ชนิดไหนก็แล้วแต่ใช้บนเตียงคนป่วยไม่ได้เลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะเดินทางไปสู่อีกภพหนึ่ง มียานพาหนะคือความเจ็บป่วย ความตายเป็นยานพาหนะนำพาไปสู่ชีวิตใหม่

แต่มีอยู่ศาสตร์หนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ในตอนนั้น คือพุทธศาสตร์ เห็นไหมว่า พระพุทธศาสนาเกี่ยวพันกับตัวเราตลอด
แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต เราจะใช้อะไรเป็นเครื่องนำทางไปสู่ปรโลกสู่สุคติภพ ก็มีอยู่อย่างเดียวคือ คำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเกิดมาชาติหนึ่ง เราไม่มีโอกาสได้ศึกษาพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเกี่ยวข้องกับตัวเรา มันน่าเสียดาย เพราะผู้ไม่รู้ก็ย่อมเดินไปสู่เส้นทางของความไม่รู้ และมักจะพลัดตกไปสู่อบาย เพราะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรให้ถูกต้อง ดำเนินจิตอย่างไรให้ถูกต้อง

ดังนั้น การที่เราได้รู้ว่า เราจะดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่อย่างจำกัดนี้ต่อไปอย่างไรไม่ให้ผิดพลาด หรืออย่างน้อยที่สุดเมื่อถึงคราวจะเปลี่ยนภพภูมิก็มีภพอันวิเศษรองรับนั้นทำอย่างไร ความรู้เหล่านี้มีสอนกันอยู่ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วสังฆมณฑล อุบาสกในพุทธกาล สมัยโบราณมีประเพณีที่เขายึดถือต่อกันมา คือ หลังจากพระภิกษุลาสิกขาแล้วต้องมาเป็นอุบาสกช่วยทำความสะอาดวัด ล้างขัดวิมาน (ทำความสะอาดห้องสุขา) แล้วก็อุปัฏฐากพระ นั่งสมาธิภาวนา ตั้งใจมั่นว่า เรามีความจำเป็นจะต้องลาสิกขา จะไปทำหน้าที่ของอุบาสกให้สมบูรณ์ที่สุด เป็นอุบาสกที่โลกต้องการ ทำทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นด้วย คือ ตั้งใจจะเดินตามเส้นทางของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพื่อสนับสนุนพระพุทธศาสนาสืบไป โบราณเขาปฏิบัติกันมาอย่างนี้ สำหรับพวกเราถ้ามีเวลา หลวงพ่อก็อยากจะให้รักษาธรรมเนียมที่ดีนี้เอาไว้สำหรับเป็นแบบแผนเป็นแนวทางปฏิบัติให้รุ่นต่อ ๆ ไป

นี่สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลาสิกขา เพราะฉะนั้นขอย้ำอีกครั้งว่า ตอนนี้เรายังครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ ควรจะเป็นพระทั้งข้างนอกทั้งข้างใน ข้างในก็เป็นพระธรรมกาย ข้างนอกก็เป็นพระครองผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นพระ ๒ ชั้นอย่างนี้ จึงจะเป็นเนื้อนาบุญและเป็นอายุของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ในที่สุดนี้ หลวงพ่อขออำนวยพร ขออานุภาพแห่งบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิเฉียบขาดของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน บารมีธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย บารมีธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย บารมีธรรมของคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ครูบาอาจารย์ของเรา และมหาทานบารมีที่ได้ตั้งใจทำกันในวันนี้ จงมารวมอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้เป็นดวงบุญที่มีความสว่างโพลงประดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ให้ดวงบุญนี้มีอานุภาพ ให้ลูกพระลูกเณรทุกรูป มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง อย่าเจ็บป่วยไข้ ให้เป็นฐานทัพที่จะรองรับวิชชาธรรมกายได้สะดวกสบายอย่างง่ายดาย ให้รู้แจ้ง เห็นแจ้ง แทงตลอดในวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริง ธรรมใดที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้บรรลุ ขอให้ลูกทุกรูปจงได้บรรลุธรรมที่ท่านบรรลุอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่างง่ายดาย จะเทศนาสั่งสอนแนะนำชาวโลกทั้งหลายก็ให้เขาเข้าถึงพระธรรมกายกัน จงทุกประการเทอญ
วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา
ชีวิตสมณะ..ฉบับมหาปวารณา
www.dhamma01.com/book/10
๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *