ทุกอย่างเผลอเป็นเสร็จ (ตอน ๖)
คำถามข้อที่ ๖ ในกรณีที่แม่นอนป่วยไม่ได้สติแล้วลูกบวชให้ กับลูกบวชให้แม่ตอนที่แม่เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งสองกรณีนี้ ผลบุญที่เกิดขึ้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ
คุณครูไม่ใหญ่
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กายมนุษย์หยาบหรือกายที่เรากำลังสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ในตอนนี้ ถือเป็นกายที่มีความสำคัญที่สุด ดีที่สุด แล้วก็เหมาะสมที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าเอาไปถล่มทลาย อย่าเอาไปทำสิ่งที่ไม่ดี เป็นกายที่ถูกประกอบขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบเหตุสั่งสมบุญสร้างบารมีเป็นหลักเลย ซึ่งกายประเภทอื่น ยกตัวอย่าง กายละเอียด เช่น กายเทพบุตร เทพธิดา กายของสัตว์นรก เป็นต้น ไม่สามารถ สั่งสมบุญสร้างบารมีได้ หรือถ้าได้ก็ไม่ดีเท่า คือบางทีเทพบุตรเทพธิดาแอบแปลงกายมา เป็นมนุษย์มาสั่งสมบุญ ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับ เป็นมนุษย์จริง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะกาย ละเอียดเหล่านี้เป็นกายที่ถูกประกอบขึ้นเพื่อการเสวยผลตามกำลังแห่งบุญหรือบาป ไม่ใช่เป็นกายที่เอาไว้ใช้ในการประกอบเหตุอย่างกายมนุษย์หยาบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จดับขันธปรินิพพานไปก่อนหน้านี้นับพระองค์ไม่ถ้วน ทุก ๆ พระองค์ต่างก็ต้องอาศัยกายมนุษย์หยาบในการสั่งสมบุญสร้างบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ แล้วก็ ๓๐ ทัศ ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นกายมนุษย์หยาบจึงมีความสำคัญมากที่สุด
ดังนั้นใครก็ตามที่มีโอกาสได้สั่งสมบุญด้วยตัวของเราเอง หรือมีผู้อื่นทำบุญให้ในขณะที่เรายังมีลมหายใจ หรือพูดสั้น ๆ ว่า ยังไม่ตาย ก็ขอให้เรารีบขวนขวายสั่งสมบุญกันเสียเถิด เพราะผลบุญที่เกิดขึ้นในช่วงที่เรายังมีกายมนุษย์หยาบหรือยังมีลมหายใจอยู่นั้น จะมีกำลังมากกว่าตอนที่เราเป็นอดีตมนุษย์หรือตายไปแล้ว เพียงแต่กำลังแห่งบุญจะมากหรือ น้อยก็ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่อาจจะแตกต่างออกไปเล็กน้อยบางประการถึงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของทั้งตัวผู้ให้และผู้รับ หรือหลักในการสั่งสมบุญว่า ใครทำถูกต้องตามหลักวิชชาได้มากน้อยกว่ากัน เป็นต้น ซึ่งเราคงจะไม่ลงรายละเอียดกันในตอนนี้ เพราะมันจะยาวมาก
ผู้ที่ให้กายมนุษย์หยาบเรามาเกิดเพื่อสร้างบารมีจึงเป็นบุคคลที่มีพระคุณมาก เพราะเราอยู่ในยุคที่เกิดในครรภ์มารดา ยกเว้นยุคที่มีบุญบารมีมากก็จะเกิดแบบ โอปปาติกะ ไม่ต้องไปรบกวนท่านทั้งสอง ไม่ต้องมีบิดามารดา ปึ๊บก็เป็นกายหยาบเลย คล้าย ๆ การบังเกิดขึ้นของกายละเอียดอย่างนั้นนะ
บุญที่ลูกชายทั้งสองคนบวชให้กับคุณแม่ในช่วงที่ท่านนอนป่วยไม่ได้สติ ซึ่งถือว่าตอน นั้นท่านยังมีกายมนุษย์หยาบอยู่ จึงมีกำลังบุญมากกว่าตอนที่ลูกบวชให้ท่านหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าในช่วงนั้นท่านยังพอมีสติรับรู้ แล้วได้ตั้งจิตอนุโมทนาบุญจากการบวชของลูกชายสุดเลิฟทั้งสองคน บุญที่ท่านจะได้รับ ก็จะมีกำลังมากไปกว่านี้อีก
เมื่อเรารู้ถึงความสำคัญของกายมนุษย์หยาบแล้ว เราก็ต้องใช้เวลาในขณะที่เรายัง มีกายมนุษย์หยาบอยู่ให้มีคุณค่ามากที่สุด อย่าให้ลมหายใจของเราสูญเสียไปแบบเปล่าประโยชน์ จงใช้ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา ให้เป็นไปเพื่อการสั่งสมบุญสร้างบารมี เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อสร้างบารมี
เพราะฉะนั้น ผู้ให้กายมนุษย์หยาบจึงมีความสำคัญมาก ๆ เลย เราต้องเอากายมนุษย์ หยาบที่ได้มา มาทำให้สาเร็จประโยชน์ เหมือนอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ พระผู้ปราบมารท่านทำ คือพอได้กายมนุษย์หยาบมาก็เอามาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งในเพศสมณะ และเกิดอีกครั้งหนึ่งด้วยกายธรรม อย่างนี้ดีมากเลย
จากเรื่องราวคำถามคำตอบใน case study ของหมอปุ้ยที่คุณครูไม่ใหญ่ได้นำมาเล่าให้ฟัง ก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้ลูก ๆ นักเรียน อนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลก รวมถึงลูกพระลูกเณรของคุณครูไม่ใหญ่ทุก ๆ รูป ทั้งที่อยู่ ในประเทศและต่างประเทศได้ข้อคิดไปสะกิด ใจว่า
ชีวิตของเรานั้นเป็นของน้อย คือ มีช่วงเวลาในการสั่งสมบุญสร้างบารมีเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เราหมดเวลาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ออกจากครรภ์มารดาก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว กว่าจะรู้เรื่องรู้ราวในการสร้างบารมีก็ต้องใช้เวลา พอจะรู้เรื่องรู้ราวเราก็เถลเถไถอีก พอตั้งหลักได้ อ้าว เฒ่าแล้ว พอจะฟิตขึ้นมา อ้าว หมดแรงแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตเป็นของน้อย
อีกทั้งมนุษย์ทุกคนล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราก็ต้องหายใจให้เป็นไปเพื่อการสร้างบารมี สั่งสมบุญทุก ๆ บุญ ทั้งทำทาน รักษาศีล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเจริญภาวนา ซึ่งเราจะต้องมุ่งมั่นแล้วก็ตั้งใจที่จะเข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ ที่ไม่ค่อยเห็นกันก็จะมีอยู่แค่ ๒ ประเภท คือพวกที่ตั้งใจมากเกินไป กับพวกที่ไม่ได้ตั้งใจ ตั้งใจมากก็ไม่เห็น ไม่ตั้งใจก็ไม่เห็นเหมือนกัน ต้องพอดี ๆ
อย่างกรณีศึกษาของลูกพระของคุณครูไม่ใหญ่ซึ่งเป็นผู้ส่งเคสนี้ ถ้าหากในพุทธันดรที่ผ่านมา ตัวท่านไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะบำเพ็ญสมณธรรมจนเข้าถึงพระธรรมกายในชาตินั้น ในภพชาติปัจจุบันนี้ ท่านก็จะเจอกับเรื่องราวหรืออุปสรรคต่าง ๆ นานา ที่จะมาขัดขวางต่อหนทางการบวชสร้างบารมีมากกว่า ที่ท่านกำลังเจออยู่ในตอนนี้มาก และจะมากถึงขนาดทำให้ท่านไม่มีโอกาสได้บวชในภพชาติปัจจุบันนี้เลย หรือถ้าได้มาบวช ก็อาจจะได้บวชในช่วงบั้นปลายชีวิต หมดแรงแล้ว ถ้าบวชตอนนั้น ก็จะมีเหตุทำให้ท่านเกิดความคิดอยากที่จะสึกมากกว่าอยากที่จะบวช อย่าง นี้เป็นต้น
โอ้ สึกออกไป ก็จะทุกข์จนวันตาย เพราะชีวิตทางโลกมันเป็นอย่างนั้นนะ แต่ ด้วยความที่ในพุทธันดรที่ผ่านมา ตัวท่านมุ่ง มั่นตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมจนสามารถเข้า ถึงพระธรรมกาย ได้อานิสงส์จากการเป็น พระเป็น ไม่ใช่พระตาย พระเป็นคือพระที่เห็น พระธรรมกาย รวมถึงกำลังบุญที่ตัวท่านเคย สั่งสมเอาไว้ในอดีตชาติ จึงทำให้ตัวท่านยังคง หยัดสู้ และยังมีกำลังใจอยากที่จะบวชสร้าง บารมีต่อไปจวบจนถึงวันนี้
คือถ้าใครไม่เป็นท่าน ก็คงจะไม่รู้หรอกว่า เรื่องราวหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่ท่านกำลังเจอ หรือที่ท่านเจอผ่านมาแล้วนั้น ทั้งเรื่องความคิดของตัวเอง รวมถึงคนรอบข้างมันมีความ กดดันและมีผลต่อการบวชสร้างบารมีของ ท่านมากมายขนาดไหน ถ้าตัวท่านเป็นคนที่มี ความคิดแบบชาวโลกทั่วๆ ไป แล้วก็ไม่มีบุญ จากการเข้าถึงพระธรรมกายในอดีตชาติมา หล่อเลี้ยง ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นประเด็นหลัก ถ้าไม่มีอย่างนี้ ป่านฉะนี้ท่านก็คงทนต่อแรงกดดัน ไม่ไหว แล้วก็อาจจะสึกออกไปดูแลครอบครัวของท่านตั้งแต่พรรษาแรก ๆ แล้ว นี่บุญที่ท่านได้เข้าถึงพระธรรมกาย เพราะฉะนั้นกระทบแต่
ไม่กระเทือน ต้านทานได้
พระลูกชายที่ส่งเคส พระลูกชายที่รัก นี่กำลังพูดกับท่านนะ Dear พระลูกชาย ถึงแม้ในตอนนี้จะมีใครบางคนยังไม่เข้าใจ ก็ช่างเขาเถอะ แต่ครูไม่ใหญ่ก็เชื่อว่า ยังมีใครอีกหลาย คนทั้งโลกเลยที่เป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝัน วิทยายังเข้าใจ และพร้อมที่จะให้ความช่วย เหลือเพื่อให้ตัวลูกได้บวชสร้างบารมีต่อไป เพราะฉะนั้นจงสู้ต่อไปนะลูกนะ สู้เท่านั้นจึงจะ ชนะ Dear พระลูกชายเข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ อย่ากลับหลัง ขอให้เดินต่อไป จะได้รู้จักว่า ชัยชนะ มันเป็นอย่างไร
นอกจากเราทุก ๆ คนจะต้องสั่งสมบุญ ทุก ๆ บุญ ทั้งทำทาน รักษาศีล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเจริญสมาธิภาวนาแล้ว สิ่งที่เราจะต้องตอกย้ำซ้ำ ๆ ให้เป็นความคิดที่ติดเข้าไป ในใจของเราอยู่เสมอนั่นก็คือ ในตอนนี้เรายัง ไม่ชนะพญามารเขา เราจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ ด้วยความไม่ประมาท
ไม่ประมาท คือ อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ดี ต้อง ทำแต่สิ่งที่ดี คือ ละชั่ว คือถ้าทำไม่ดีเราก็ละเสีย ถ้าทำดีอยู่แล้วเราก็ทำดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ไม่ประมาท สรุปโดยย่อก็คือ ต้องหยุดใจให้ได้ ถ้าใจหยุดติดกลางกายฐานที่ ๗ ได้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ความประมาท จะล่มสลายหายไปเมื่อใจหยุดนิ่ง เมื่อไรที่เรา ประมาทหรือเผลอใจปล่อยให้อำนาจกิเลส เข้ามาครอบงำจิตใจของเราได้ เราก็อาจจะ พลาดพลั้งไปกระทำความผิดทั้งทางกาย วาจา และใจได้ทุกเมื่อ อย่างที่เคยบอกไว้ว่า
ทุกอย่าง…เผลอเป็นเสร็จ!
เมื่อผลจากการกระทำของเรา ซึ่งก็คือวิบากกรรมหรือเศษกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเรา แล้วมันก็จะคอยหาช่องเข้ามาตัดรอนหนทาง การสร้างบารมีของเราในอนาคตอยู่เรื่อย ๆ ตลอด ๒๔ น. เลย ซึ่งอาจจะทำให้เราจำต้อง พลัดพรากจากการสร้างบารมีกับหมู่คณะ และอาจจะทำให้เราพลัดตกลงไปในอบายได้ ทั้งทุกข์ทรมาน ทั้งเสียเวลานานกว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ และถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่อันตราย และมีผลต่อการเดินทางไปสู่เป้าหมายของเราคือที่สุดแห่งธรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่มีใครปรารถนาอย่างนี้ นอกจากหมู่คณะของเรา
เราจะต้องพยายามสอนตัวเองให้ได้ ด้วยการเอาข้อผิดพลาดที่ตัวเราเคยทำเอาไว้ในอดีตมาเป็นบทเรียนสอนตัวเองอยู่เสมอ ๆ ว่า บาปกรรมหรือความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย เราจะไม่กลับไปทำเช่นนั้นอีกเด็ดขาด เพื่อที่เราจะได้ไม่มีวิบากกรรมหรือมีเศษกรรมมา ตัดรอนตลอดเส้นทางการสร้างบารมีของเรา เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะต้องไม่ลืมคำว่า
ทุกอย่าง…เผลอเป็นเสร็จ!
๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://www.dhamma01.com/book/17
ต้นฉบับ หนังสือ ที่นี่มีคำตอบ ๗
กลับสู่
สารบัญ หนังสือที่นี่มีคำตอบ