๖๕. ปิดโทรศัพท์มือถือ ขณะฟังธรรม ปฏิบัติธรรม

เรามาวัดวันอาทิตย์มีวัตถุประสงค์เพื่อมาปฏิบัติธรรม มาฟังธรรม เพราะว่าวันอื่นเรามีภารกิจทางโลก และภารกิจของการเป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร เราก็นั่งปฏิบัติธรรมกันที่บ้านตามลำพัง บ้างก็ปฏิบัติธรรมตามบ้านกัลยาณมิตร วันอาทิตย์จะมาเจอกันครั้งหนึ่ง

หลวงพ่อจึงอยากให้ใช้เวลาในวันอาทิตย์ ที่เราตั้งใจมาอย่างดีแล้วจากบ้านให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการประพฤติปฏิบัติธรรมและฟังธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เกิดการรบกวนการนั่งสมาธิและการฟังธรรมของเพื่อนสหธรรมิกผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน เราพึงเว้นเสีย ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม

อาทิตย์ที่ผ่านมา มีเสียงจากเครื่องมือสื่อสาร (โทรศัพท์) ซึ่งก็ได้พยายามทำความเข้าใจและแนะนำมาตลอด แต่ยังมีหลงเหลือตกค้าง คนใหม่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเขายังไม่ทราบธรรมเนียมปฏิบัติ แต่คนเก่าต้องเป็นตัวอย่างที่ดี คนใหม่จะได้ทำตามได้ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น ในทุกอาทิตย์จำเป็นต้องขออนุญาตให้พิธีกรแนะนำให้ปิดเครื่องมือสื่อสารไว้ชั่วคราวในขณะที่เรากำลังปฏิบัติธรรมและฟังธรรม จะเป็นเพจเจอร์ก็ดี โทรศัพท์มือถือก็ดี คงจะต้องบอกกันทุกอาทิตย์ เพราะผู้ที่มาใหม่ในทุกอาทิตย์จะได้รับทราบธรรมเนียมปฏิบัติของวัดเราว่าเป็นอย่างไร

ในช่วงปฏิบัติธรรมหรือฟังธรรมนั้นเป็นช่วงที่เราต้องปลอดกังวลทุกอย่าง จะต้องไม่ให้มีอะไรมาเป็นเครื่องกังวล ดังนั้นปิดโทรศัพท์ไว้ก่อนนะลูกนะ บางคนบอกว่าตั้งเป็นระบบสั่น ไม่มีเสียง ถึงแม้จะตั้งสั่นไว้ แต่เราก้มหน้าลงไปพูด คนข้างๆ เขาเห็น ก็เป็นการรบกวนเขานะ

ในสมัยหลวงปู่วัดปากน้ำ เวลาท่านสอนธรรมปฏิบัติ ท่านจะพูดเตือนบ่อยๆ เป็นช่วงๆ แม้ตัวท่านเองก็ทำเป็นต้นแบบ คือ เวลาเห็นใครนั่งธรรมะ ไม่ว่าผู้ปฏิบัตินั้นจะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ท่านจะเดินเบาๆ ผ่านไป ท่านให้เหตุผลว่า บางคนเขากำลังปฏิบัติดีในระดับหัวเลี้ยวหัวต่อ จะเข้าถึงธรรมอยู่แล้ว ถ้าเราเดินมีเสียงดังจะไปสะเทือนสมาธิของเขา จะทำให้เขาพลาดโอกาสที่ดีไปตัวเราเองก็บาป จะได้รับวิบากกรรม คือ ทุกชาติที่เกิดมา จะปฏิบัติลำบากทุกครั้งเลย เวลาจะดีๆ ก็จะมีอุปสรรคเกิดขึ้นให้เราต้องเลิกละความเพียร ซึ่งท่านจะสอนอย่างนี้เป็นช่วงๆ แล้วก็ทำเป็นตัวอย่าง

แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงทำเป็นต้นแบบเหมือนกัน วันหนึ่งขณะสามเณรบัณฑิตออกบิณฑบาตกับพระสารีบุตร สามเณรเกิดอยากจะปฏิบัติธรรม จึงขอลาพระเถระ ก่อนลาก็เรียนพระเถระว่า “ถ้าพระอาจารย์จะนำอาหารมาให้กระผม ขอเป็นข้าวคลุกปลาตะเพียนนะครับ” พระสารีบุตรกล่าวว่า “เราจะหาได้จากที่ไหน” สามเณรตอบว่า “ถ้าไม่ได้ด้วยบุญของท่าน ก็ได้ด้วยบุญของกระผม” แล้วพระสารีบุตรก็ออกไปบิณฑบาต ส่วนสามเณรก็กลับไปนั่งสมาธิ พระสารีบุตรบิณฑบาตได้ไม่นานก็มีคนเอาข้าวคลุกปลาตะเพียนมาถวาย ท่านจึงรีบนำกลับวัดเพื่อเอามาให้สามเณร

ขณะเดียวกันพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังสอดข่ายพระญาณไปดูว่า วันนี้ใครจะได้บรรลุมรรคผล เห็นสามเณรบัณฑิตจะบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ถ้าหากพระสารีบุตรมาถึงก่อน เกิดไปเรียกสามเณรให้ออกมาฉัน หรือไปทำเสียงดังอะไรหน่อย ก็จะไปกระทบการปฏิบัติธรรมสามเณร จะทำให้พลาดโอกาสจากการเป็นพระอรหันต์ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปดักรอพระสารีบุตรที่หน้าประตูวิหาร ชวนพระสารีบุตรคุยธรรมะ ถามโน่นถามนี่ ส่วนภายในท่านก็สอดพระญาณไปดูว่า สามเณรนั่งไปถึงไหนแล้ว ปากก็ชวนคุย ภายในก็สอดพระญาณไป จนกระทั่งเห็นว่า สามเณรบรรลุอรหัตตผลแล้ว จึงเปิดทางให้พระสารีบุตรเข้าไป

การทำให้เกิดเสียงดังไปรบกวนผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม จะมีวิบากกรรม คือ จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมของเรา ทำให้ปฏิบัติลำบาก บรรลุธรรมช้า และอวัยวะที่เกี่ยวกับการฟังเสียงหรือหูของเราจะใช้งานไม่ค่อยได้ดีเหมือนของคนอื่น อย่างน้อยก็ ๕๐๐ ชาติ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่หลวงพ่อจะต้องแนะนำ

มือถือนี่แปลกนะ พอถือแล้วมันมีวิญญาณ เดินไปคุยไป แต่ก่อนไม่มีมือถือทนได้นะ ไม่คุย พอมีมือถือ เดินไป คุยไป เดินคนเดียวก็คุยคนเดียว อยู่ในรถ มือหนึ่งถือพวงมาลัย อีกมือหนึ่งถือมือถือ แม้ตอนเข้าห้องน้ำยังถือไปคุยกันต่อในห้องน้ำ ตากล้องเหมือนกัน ถือกล้องนี่มันมีวิญญาณต้องถ่าย เจอใครถ่ายดะไปเรื่อย จิ้งจก ตุ๊กแก ต้นไม้ คน สัตว์ สิ่งของ หรือถือหนังสติ๊ก ถือแล้วต้องยิง เอาลูกกระสุนใส่ ยิงโน่น ยิงนี่ มันมีวิญญาณ

มือถือก็เหมือนกัน ถ้ามีแล้วต้องพูด บางทีหลวงพ่อเดินเฉียดผ่านๆ ไป ดูสิเขาคุยอะไรเรื่องสำคัญ ปัดโธ่ บอกว่าอย่าลืมเอาข้าวไปเลี้ยงแมวด้วย อะไรจะขนาดนั้น ฟังดูแล้วแปลกดี เพราะฉะนั้นปิดเครื่องนะลูกนะ

๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://www.dhamma01.com/book/90
ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม 1 สิ่งที่ต้องสั่งสมคือบุญกุศล

กลับสู่
สารบัญ หนังสือคำสอนครูไม่ใหญ่

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *