การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรมกายเป็นสมถะหรือวิปัสสนา
ที่จริงสมถะกับวิปัสสนาขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้เลย เหมือนบันได ต้องมีขั้นมีตอนของมันไป ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน หรือเหมือนเท้า ๒ เท้า ที่ต้องไปคู่กัน
“สมถะ” แปลว่า หยุด, นิ่ง, สงบ, ระงับ หมายถึง ใจที่แวบไปแวบมา คิดไปในเรื่องราวต่างๆ เราดึงมาหยุดให้เป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตา มีอารมณ์เดียว หยุดนิ่งๆ อย่างนี้เรียกว่า สมถะ
วิธีฝึกใจให้หยุดนิ่งเพื่อให้ถึงคำว่า “สมถะ” มีมากมาย ที่รวบรวมไว้ในวิสุทธิมรรคมี ๔๐ วิธี (กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปกัมมัฏฐาน ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑) แต่จริงๆ มีนอกเหนือจากนี้อีกเยอะมาก คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ใจหยุด
พอใจหยุดนั่นแหละ เรียกว่า สมถะ ถ้าใจยังไม่หยุด เรียกว่า อนาถะ คือ ใจยังอนาถา ยังยากจนอยู่ ยังไม่มีอริยทรัพย์ ถ้าหยุดแล้วรวย เพราะฉะนั้นเลือกเอา จะใช้วิธีใดก็ได้
ทีนี้พอหยุดแล้วจะต้องมีนิมิตบังเกิดขึ้น เพราะความสว่างมันเกิด นิมิตจะต้องเป็นดวงใสๆ จะเริ่มต้นจากอะไรก็ได้ จะภาวนาอะไรก็ได้ หรือจะไม่ภาวนาก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าไม่ฟุ้ง พอหยุดนิ่งจะเข้าถึงดวงปฐมมรรค เป็นดวงใสๆ นั่นแหละสมถะ เป็นดวงใสๆ
“วิปัสสนา”
วิ แปลว่า วิเศษ, แจ้ง, ต่าง
ปัสสนา แปลว่า เห็น
วิปัสสนา คือ การเห็นที่วิเศษ ที่แจ่มแจ้ง ที่แตกต่าง เหมือนดึงของจากที่มืดออกมากลางแจ้ง แล้วก็แตกต่างจากการเห็นด้วยตามนุษย์ ตาทิพย์ของเทวดา ตารูปพรหม หรือตาอรูปพรหม คือ เห็นแตกต่างจากดวงตาที่อยู่ในภพ ๓
ภพ ๓ ถ้าสุคติภูมิก็ตาของมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม ถ้าทุคติภูมิก็ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เห็นแตกต่างกัน
สัตว์นรกเห็นอย่างหนึ่ง อย่างมหานรกขุม ๕ ก็เห็นน้ำกรดสีดำ เห็นนายนิรยบาล ความร้อนของเปลวไฟสีดำ เห็นอย่างนี้ยังไม่วิเศษ คือ เห็นแล้วปัญญาไม่เกิด
ตามนุษย์ก็เห็นอย่างหนึ่ง เห็นได้ไม่รอบตัว คือ อยากเห็นข้างหน้าก็มองไปข้างหน้า อยากเห็นข้างหลังต้องกลับหลังหัน อยากเห็นซ้ายก็ต้องหันซ้าย อยากเห็นขวาต้องหันขวา อยากเห็นข้างบนต้องเงย อยากเห็นข้างล่างต้องก้ม
ตาเทวดาก็คล้ายๆ อย่างนี้ แต่ว่าเห็นไปได้ไกลกว่า สามารถมองทะลุกำแพง หรือเครื่องกั้นอะไรต่างๆ ได้ เพราะเขามีภพที่ละเอียด รูปพรหมก็กว้างกว่า อรูปพรหมก็กว้างขึ้นไปอีก แต่ก็ยังไม่เห็นรอบตัว ยังเห็นไม่รอบทิศ เพราะฉะนั้นยังไม่เรียกว่า วิปัสสนา
อย่างที่เราได้ยินได้ฟังมา ต้องพิจารณารูปนาม ต้องพิจารณาอะไรต่างๆ เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา นั่นก็ยังไม่เรียกว่า วิปัสสนา ยังใช้จินตมยปัญญา คิดตามที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน เรียกว่า วิปัสสนึก คือ นึกไปเรื่อยๆ นึกไปทำไม เพื่อให้ใจหลุดจากนิวรณ์
นิวรณ์ คือ เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ กามฉันทะ ความโกรธ ความรัก ความชัง ความฟุ้ง ความสงสัย ความท้อ ความง่วง ความเคลิ้ม
เพราะฉะนั้น วิปัสสนาก็หมายเอาตั้งแต่ธรรมกายไปนั่นแหละ เป็นผู้ที่เห็นอย่างวิเศษ แจ่มแจ้ง และแตกต่างจากการเห็นด้วยตาสัตว์โลกที่อยู่ในภพ ๓ คือ เห็นด้วยตาอรูปพรหม รูปพรหม เทวดา มนุษย์ เป็นต้น
ต้องกายธรรมนั่นแหละ ถึงจะเป็นวิปัสสนา เห็นด้วยธรรมจักขุ คือ ดวงตาธรรมของท่าน ซึ่งเห็นได้ทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันอัศจรรย์ อยู่ที่เดียวที่เดิม แต่เห็นทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง ล่าง บน พร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน ตรงนี้สิอัศจรรย์ ถึงจะเรียกว่า เห็นอย่างวิเศษ และแจ่มแจ้ง ไม่คลุมเครือ เห็นแล้วหายสงสัย เหมือนลากเชือกกล้วยในที่มืดเอามากลางแจ้ง พออยู่ในที่มืด เอ๊ะ! มันเป็นงู หรือเชือก หรือก้านกล้วย หรืออะไรกันแน่ แต่พอดึงมากลางแจ้ง อ๋อ! เป็นเชือก ก็จะแตกต่างจากดวงตาอื่นทั่วไปอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว
เห็นถึงไหนก็รู้ไปถึงตรงนั้น เห็นอดีตก็รู้ว่าอดีต เห็นปัจจุบันก็รู้ปัจจุบัน เห็นอนาคตก็รู้อนาคต
เห็นอย่างไร วิปัสสนาภูมิ ๖ คือ เห็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ภูมิ ๖ นี่แหละ ตาอื่นไม่เห็น ตามนุษย์ไม่เห็น ไปนั่งคิดฟุ้งซ่านก็ไม่เห็น มันต้องเห็นด้วยธรรมกาย
ธรรมกายถึงจะไปเห็นขันธ์ ๕ ว่า รูปเป็นอย่างไร เวทนาเป็นอย่างไร สัญญาเป็นอย่างไร สังขารเป็นอย่างไร วิญญาณเป็นอย่างไร เห็นเหมือนเห็นครูไม่ใหญ่อย่างนี้ มีจีวรคลุม ใส่แว่นอย่างนี้ แต่นั่นรูปนะ ดวงธรรมที่รักษารูปเอาไว้ มันเป็นอย่างนั้น
เวทนา ความรู้สึก สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์
สัญญา ความจำได้หมายรู้
สังขาร ความคิด
วิญญาณ ความรู้แจ้ง มันไปเห็นทั้งนั้น ซึ่งดวงตาอื่นไม่เห็น เห็นเป็นภาพขึ้นมาเลย แล้วก็รู้เรื่องด้วย อายตนะ ๑๒ ก็เห็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น วิปัสสนากับสมถะจะต้องไปด้วยกัน แยกออกจากกันไม่ได้เลย ต้องคู่กันไปตลอด ถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง เหมือนเท้า ๒ เท้าที่ก้าวเดินไปด้วยกัน แต่สมถะเป็นเบื้องต้น วิปัสสนาเป็นท่อนต่อไป
ทีนี้ทำอย่างไรจะเข้าถึงสมถะถึงวิปัสสนา ก็ต้องฝึกใจให้หยุดนิ่ง ซึ่งทุกคนทำได้ทั้งนั้น
เราได้ฟังกันบ่อยๆ ว่า มรรคผลนิพพานอยู่ในตัว ไม่ได้อยู่ที่ไหน มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คุณสมบัติที่จะเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต อยู่ในตัวเรา
เข้าถึงพระโสดาบัน ก็เป็นพระโสดาบัน
เข้าถึงพระสกิทาคามี ก็เป็นพระสกิทาคามี
เข้าถึงพระอนาคามี ก็เป็นพระอนาคามี
เข้าถึงพระอรหัต ก็เป็นพระอรหันต์
ซึ่งอยู่ในตัว โดยเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้นแหละ ด้วยวิธีหยุดนิ่งอย่างเดียว
ทีนี้ในแง่ของการปฏิบัติ ก่อนที่ใจจะหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ เข้าถึงปฐมมรรค จะมีอาการหลากหลาย บางทีมีภาพหลากหลาย บางทีมีทั้งภาพทั้งเสียง บางทีมีแต่เสียงไม่มีภาพ อะไรต่างๆ เกิดขึ้นเยอะแยะ
อาการหลากหลาย เช่น ตัวโยก ตัวโคลง ตัวเบา ตัวลอย ตัวยืดเหมือนหัวติดเพดาน ย่อลงมาก็มี บางทีตัวขยายติดข้างฝาก็มี นี่บางคนนะ ไม่ได้เป็นทุกคน แล้วบางคนก็เป็นไม่ครบ บางคนก็เป็นบางอย่าง
ไม่ว่าอาการอะไรก็แล้วแต่ หรือเห็นอะไรก็แล้วแต่สารพัดอย่างเป็นล้านๆ ชนิด ฟังให้ดีนะ หรือมีอาการที่นอกเหนือจากที่พูดให้ฟังเป็นล้านๆ ชนิด ที่ไม่ซ้ำกันเลย อย่าไปสนใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป ให้ทำเฉยๆ ถ้าไม่ใช่ดวงละก็ ไม่เอาละ
ไม่เอาคืออะไร ก็ทำเฉยๆ นั่นแหละ แล้วก็อย่าไปตั้งคำถามว่า เอ๊ะ! อะไร แล้วอย่าไปแสวงหาคำตอบว่า มันอย่างไร อย่าไปวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ประสบการณ์ภายในที่เกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็ไปติดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องถึงไหนกัน เหมือนเราอยากมาวัดพระธรรมกาย ผ่านมาที่รังสิต แวะห้างฟิวเจอร์ เข้าไปในห้าง เจอโน่น เจอนี่ แล้วเมื่อไรจะไปถึงวัดพระธรรมกายสักที
เพราะฉะนั้น ให้ทำเฉยๆ พูดง่ายๆ คือ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำเฉยๆ เดี๋ยวเข้าถึงดวงธรรม เข้าถึงพระธรรมกายภายในได้ในที่สุด
๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://www.dhamma01.com/book/91
ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม 2 สิ่งที่ต้องแสวงหา คือ พระรัตนตรัยภายใน
กลับสู่
สารบัญ หนังสือคำสอนครูไม่ใหญ่