หนังสือ คำสอนคุณครูไม่ใหญ่

๑. เราเกิดมาทำไม

เราเกิดมาทำไม การเกิดมาเป็นมนุษย์ในแต่ละครั้ง มาเพื่อสร้างบารมีเท่านั้นจริงๆ เราลองทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ถ้าเราไม่ได้มาสร้างบารมีในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หรือในทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น เราจะเห็นว่า ชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากชีวิตนกชีวิตกาที่ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกไปทำมาหากิน กลับมาบ้าน ใช้ชีวิตสนุกสนานเพลิดเพลินกันไปวันๆ หนึ่ง และคอยคลี่คลายปัญหาและแรงกดดันที่เราได้รับมาในแต่ละวัน แล้วก็จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีสาระแก่นสาร ยิ่งถ้าไม่ได้รู้จักเรื่องบุญ ไม่เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตก็มีสิทธิ์ไปอบายภูมิได้ เพราะฉะนั้น ที่เราเกิดมาและมีบุญวาสนาได้เกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย เราจึงเข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต และวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ว่า เราเกิดมาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมีไปสู่ที่สุดแห่งธรรม เราจึงใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า มีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง วันนี้เราจึงมีชีวิตแตกต่างจากมนุษย์ทั่วๆ ไปอีกหลายพันล้านคนในโลก ที่เขายังไม่รู้อะไรเลย เราจึงเป็นผู้ที่มีโชคดี มีบุญลาภเป็นอย่างยิ่ง ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่) ที่มา https://www.dhamma01.com/book/92 ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม 3 ชีวิตสมณะ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร กลับสู่ สารบัญ หนังสือคำสอนครูไม่ใหญ่

๑๗. มาตุคาม

มาตุคาม ในพรรษานี้เราตั้งใจอะไรไว้ เราก็ต้องมานึกทบทวนกันให้ดี ที่สำคัญก็คือ ความเป็นพระที่แท้จริง กับเป้าหมายของพระ พระแท้ คือ ผู้ที่ประพฤติถูกต้องตามธรรมวินัย เราจะต้องสำรวจตรวจตราดูว่า ความเป็นพระของเรายังสมบูรณ์ดีอยู่ไหม ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำของเราสมบูรณ์ไหม ยังมีสิ่งที่เราจะต้องปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เป็นพระสมบูรณ์ขึ้นอีกกี่อย่าง บางทีเรามุ่งเรื่องงานมากเกินไปจนลืมเรื่องความเป็นพระของเรา พรรษานี้หลวงพ่ออยากจะเน้นให้ลูกๆ ทุกรูปหวนกลับคืนมาสู่ธรรมวินัยที่สมบูรณ์ขึ้น > สิ่งอะไรที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ต่อการกุศล เราก็รู้อยู่ แต่บางทีเราก็ชะล่าใจ จนกระทั่งเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิด ไม่มีระยะห่างระหว่างเรากับคฤหัสถ์ ซึ่งอันตรายมาก บางครั้งเราเพลี่ยงพล้ำกระทำให้จิตเราไม่บริสุทธิ์ คำพูดและการกระทำไม่บริสุทธิ์ นึกเมื่อไรก็ไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นปีนี้ พรรษานี้ ต้องเน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ เกี่ยวกับการคลุกคลีกับสิ่งที่เป็นข้าศึกกับพรหมจรรย์ เราจะไปโทษมาตุคามหรือเพศตรงข้ามไม่ได้ มันต้องโทษที่ตัวเรา รักษาใจได้แค่ไหน วางตัวได้เหมาะสมแค่ไหน อยู่ในฐานะพระที่อยู่บนหิ้งบูชา หรือว่าเสมอเหมือนกับคฤหัสถ์ มันต้องดูตรงนี้ โดยเฉพาะพระอาจารย์ที่ต้องออกไปทำหน้าที่ต่างจังหวัดไกลๆ ก็ต้องระมัดระวังให้ดี คุ้มครองตัวเองให้ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในยวดยานพาหนะ ในอาคารบ้านเรือน หรือที่ไหนก็แล้วแต่ ระมัดระวังตรงนี้ให้ดี อย่าอยู่กันตามลำพัง เดี๋ยวพญามารจะได้ช่องสอดละเอียดเข้ามา สอนให้เราคิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ แล้วจะทำให้เราเสียใจในภายหลัง จะไม่สบายใจในการอยู่ร่วมกับหมู่คณะที่เขาบริสุทธิ์กัน เพราะฉะนั้นต้องมีช่องว่างนะลูกนะ …

๑๗. มาตุคาม Read More »

๒. ชีวิตอันทรงคุณค่า

ชีวิตอันทรงคุณค่า ชีวิตของนักรบกองทัพธรรม ผู้ได้อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนา เป็นชีวิตที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าชีวิตของจอมจักรพรรดิ หรือยิ่งกว่าชีวิตใดๆ ในโลก เพราะเป็นชีวิตที่มีเกียรติสูงสุด ไม่ใช่มีเกียรติเฉพาะในเมืองมนุษย์นี้เท่านั้น แต่มีเกียรติสูงสุดในสัมปรายภพ ในเทวโลก เพราะว่านักรบกองทัพธรรมเป็นผู้ทำงานที่ยิ่งใหญ่และหนักที่สุด นั่นคือ งานสร้างสันติสุขอันไพบูลย์ให้บังเกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติ การที่พวกเราได้ก้าวเข้ามาสู่เส้นทางธรรม ตั้งใจมาเป็นนักรบกองทัพธรรม ถือว่าเป็นความตั้งใจที่ดีมากๆ และดีที่สุดแล้ว เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะภารกิจนี้คืองานที่แท้จริงของเรา เราเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องทำกันต่อไป ไม่มีถอยหลังกลับ ฉะนั้นให้รู้สึกเป็นเกียรติ มีปีติ และภาคภูมิใจที่ได้รับหน้าที่นี้ หน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ เราต้องทำกันไปเป็นทีมจึงจะสำเร็จ ตราบใดที่เรายังไปไม่ถึงจุดหมาย คือ ที่สุดแห่งธรรม เราก็จะต้องร่วมมือกันต่อไป สานใจกันให้เป็นหนึ่ง ทุ่มเทชีวิตจิตใจสร้างบารมีกันให้เต็มที่ บารมีของเราก็จะได้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ บำเพ็ญบารมีให้มากที่สุดเท่าที่เรายังมีเวลาของชีวิตเหลืออยู่ในโลกนี้ การดำรงชีวิตอย่างนี้ ถือว่าเป็นชีวิตที่มีคุณค่าสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย คุณค่าของชีวิตอยู่ตรงที่ ใครได้ทุ่มเทสร้างบารมีมากกว่ากัน ได้ปรับปรุงแก้ไขฝึกฝนอบรมตนเองจนกระทั่งสามารถเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวได้ แล้วก็ทำหน้าที่เป็นผู้ให้แสงสว่างแก่โลก เป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร นำพาเพื่อนมนุษย์ให้เข้าไปถึงจุดแห่งความสมปรารถนา ให้เขาได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงที่เกิดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ได้รู้จักเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง แล้วมีกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปสู่เป้าหมายนั้นได้ตลอดรอดฝั่ง โดยไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคใดๆ กระทั่งมีชัยชนะ ถึงจุดหมายปลายทาง ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕ …

๒. ชีวิตอันทรงคุณค่า Read More »

๑๘. บวชแล้วอย่าสึก

บวชแล้วอย่าสึก บวชแล้วอย่าสึก สโลแกนที่ว่า “สึกแต่หนุ่ม” นั้นลบทิ้งไปเสีย ต้องเขียนใหม่ว่า “บวชแต่หนุ่ม” เพราะร่างกายยังแข็งแรง จะได้ลุยงานพระศาสนากันได้เต็มที่ บวชแล้วอย่าสึก เดี๋ยวก็วัน เดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว ดูพระเทวทัตขนาดทำชั่วขนาดนั้น ยังไม่ยอมสึก โดนธรณีสูบไปครึ่งตัว ยังไม่ยอมสึก ขนาดธรณีสูบถึงคอ ก็ยังไม่ยอมสึก ไปอยู่ในอบายภูมิ อยู่ในอเวจีมหานรก แม้ปัจจุบันนี้ เขายังเรียก “พระเทวทัต” อยู่เลย พระเทวทัตยังไม่ยอมสึก แล้วเราจะสึกทำไม เราพระดีๆ พระแท้อย่างนี้ สึกไปทำไม? ต้องบวชกันต่อไป ลุยสร้างบารมีกันไปจนกว่าทั่วโลกจะเข้าถึงธรรม อย่างนี้จึงจะถูกหลักวิชชานะลูกนะ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่) ที่มา https://www.dhamma01.com/book/92 ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม 3 ชีวิตสมณะ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร กลับสู่ สารบัญ หนังสือคำสอนครูไม่ใหญ่

๓. วัตถุประสงค์การเกิดเป็นมนุษย์

วัตถุประสงค์การเกิดเป็นมนุษย์ ชีวิตในสังสารวัฏนี่ อตร. อันตราย เราเป็นพระเป็นเณร เราเห็นภัยในวัฏสงสาร แต่ว่าน้อยคนในโลกนี้ที่จะเห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านผู้รู้ท่านเห็น เมื่อท่านเห็น ท่านถึงได้สอนว่า มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องมาสร้างบารมีนะ ที่สำคัญที่สุดคือ ทำพระนิพพานให้แจ้ง นี่เป็นหลักเลย ถ้าหากว่าไม่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่นิพพานแล้วละก็..อันตราย ถ้าจะอยู่ในวัฏสงสาร ภัยมันเยอะ สารพัดภัย ภัยจากสัตว์ร้าย ของร้าย คนร้าย ภัยธรรมชาติ ภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ ภัยจากกิเลสบังคับ ภัยในอบาย เยอะแยะไปหมดเลย มีทางเดียวที่จะรอดได้คือ ต้องขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น ไปนิพพานนั่นแหละ จะได้หลุดพ้นจากที่เขาบังคับเพราะฉะนั้นการทำพระนิพพานให้แจ้งจึงเป็นวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ของทุกคนในโลก จะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่ทุกคนเกิดมาเพื่อการนี้ นอกนั้นเป็นวัตถุประสงค์รองลงมา คือ การสร้างบารมี ซึ่งก็คือการทำความดี ต้องละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส นี่เป็นหลัก ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จับหลักตรงนี้ให้ได้ ฉะนั้น เรามีทางเลือกอยู่ทางเดียวที่จะเป็นทางรอด คือ ต้องฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายในตัวให้ได้ ชีวิตจึงจะปลอดภัย ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ พระธรรมเทศนา โดย …

๓. วัตถุประสงค์การเกิดเป็นมนุษย์ Read More »

๑๙. เดินตามรอยพระพุทธองค์

เดินตามรอยพระพุทธองค์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด จำกัดในการสร้างบารมี ในการสร้างความดี เราได้ยินได้ฟังว่า อายุเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคนี้ ๗๕ ปี ก็อย่าเพิ่งไปคิดว่า เราเหลือเวลาอีกตั้งนานหลายสิบปี กว่าจะไปถึงอายุขนาดนั้น นั่นเราคิดไปเองนะว่า เราจะมีอายุยืนไปถึงตรงนั้นหรือยิ่งกว่านั้น แต่ความเป็นจริงเรามีวิบากกรรมเหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ติดตามตัวเราเหมือนเงาตามตัวตลอดเวลา ซึ่งคอยจังหวะโอกาสที่จะได้ช่องระเบิดตูมตามตลอดเวลา บางทีทำให้เราต้องเสียทรัพย์สินบ้าง อวัยวะบ้าง หรือบางทีทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ก่อนถึงอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ ๗๕ ปี ก็มี บางคนตายตั้งแต่ปฐมวัยบ้าง วัยรุ่นบ้าง วัยหนุ่ม วัยสาว วัยกลางคน วัยชรา ตายได้ทุกวัยเลย เพราะฉะนั้นอย่าคิดเอาเองว่า อายุของเราจะไปถึงตรงนั้น คิดอย่างนั้นเขาเรียกว่า เรากำลังชะล่าใจ กำลังประมาทในชีวิต เราต้องคิดแบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ความตายมีอยู่ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ลมเข้าแล้วไม่ออกก็ตาย ลมออกแล้วไม่เข้าก็ตาย หรือไม่เข้าไม่ออกก็ตายอีกเหมือนกัน ตายได้ตลอดเวลา ต้องคิดอย่างนี้ เมื่อเรามีชีวิตอยู่แค่ช่วงลมหายใจเข้าออก เราควรจะใช้เวลาช่วงสั้นๆ นี้อย่างไร จึงจะมีคุณค่ามากที่สุด จะไปแสวงหาทรัพย์ ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง อำนาจ วาสนา หรือว่าจะมาแสวงหาพระรัตนตรัย …

๑๙. เดินตามรอยพระพุทธองค์ Read More »

๘๑. ยิ้มได้เมื่อภัยมา

ยิ้มได้เมื่อภัยมา อย่าเพิ่งตาย ถ้ายังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย อย่าเอาร่างกาย ชีวิตจิตใจของเราไปถล่มทลาย อย่าเอาไปใช้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร ที่ไม่เป็นประโยชน์ของชีวิต จะทำมาหากินอะไรที่เป็นสัมมาอาชีวะ ก็ทำไปเถอะ แต่อย่าทิ้งการปฏิบัติธรรม ให้ธุรกิจกับจิตใจไปคู่กัน ธุรกิจทำให้เราได้ปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงสังขารเพื่อดำรงชีพ เอาไว้สำหรับปฏิบัติธรรม ศึกษาค้นคว้าให้ได้เข้าถึงพระธรรมกายในตัว “พระธรรมกาย” นี้มีมานานแล้ว ตั้งแต่ปฐมชาติ แต่ว่ามีเหมือนไม่มี เพราะเราไม่ได้เอาใจใส่ เราไม่รู้ หรือรู้แล้วไม่เอาใจใส่ ไม่ประพฤติปฏิบัติกันอย่างจริงๆ จังๆ เพราะฉะนั้นมีจึงเหมือนไม่มี เหมือนนั่งทับทรัพย์อยู่อย่างนั้น ทรัพย์มีประโยชน์ก็เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เหมือนน้ำที่อยู่ใต้ดิน เราเดินอยู่บนน้ำใต้ดิน แต่ถ้าไม่เจาะลงไปให้ถึง ก็เอามาใช้ไม่ได้ พระธรรมกายในตัวก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเราไม่ขยันประพฤติปฏิบัติธรรมให้สม่ำเสมออย่างถูกวิธี ก็ยากที่จะเข้าถึง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตาย ถ้ายังไม่ได้ธรรมกาย ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ สงวนความแข็งแรงเอาไว้ให้ดี ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกวัน การบ้านที่ให้เอาไว้ก็หมั่นทำ หมั่นฝึกซ้อม ซ้อมรบกันทุกวัน ซ้อมกันเป็นปี เป็นหลายๆ ปี แพ้ชนะรู้กันวันเดียว คือวันศึกสงครามชิงภพ ปิดงบดุลชีวิต เราทุกคนต้องตาย ต้องไปปรโลก เราจะหลีกหนีปรโลกไม่ได้ ไม่ว่าเราจะยินดีหรือไม่ยินดีก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ จะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำแค่ไหนก็ปฏิเสธปรโลกไม่ได้ …

๘๑. ยิ้มได้เมื่อภัยมา Read More »

๖๙. นั่งเครียดไปทำไม

นั่งเครียดไปทำไม ใครพอเริ่มนั่งก็เครียดแล้ว ไม่สบาย แสดงว่าทำไม่ถูกวิธี แสดงว่ามีความตั้งใจมาก จนกระทั่งติดเป็นนิสัย อย่าฝืนทำต่อ ต้องเลิกทำเลย แล้วก็มาหายใจสบายๆ ดูนั่น ดูนี่ให้สบายใจ พอสบายใจแล้วค่อยเริ่มใหม่ ต้องหมั่นสอนตัวเองว่า เราจะนั่งเอาบุญอย่างเดียว นั่งสบายๆ เราไม่ได้หวังผลว่า เราจะเห็นอะไร การเห็นนั้นเป็นผลพลอยได้เท่านั้นเอง เราต้องการนั่งอย่างสบายๆ พอเรานึกบ่อยๆ เข้า อาการเหล่านี้จะค่อยๆ คลี่คลายไปเองในภายหลัง พอเราเริ่มหลับตา อย่าไปบีบเปลือกตาแบบคนตาหยีอย่างนั้นไม่เอานะ ต้องปิดเปลือกตาพอดีๆ แล้วอย่าไปจ้องศูนย์กลางกาย ถ้าจ้องแล้วเดี๋ยวมันดึงระบบประสาทลงมา มันจะตึง ให้นิ่งๆ เฉยๆ สบายตรงไหนก็วางใจตรงนั้น สมมติว่า ถ้าเรานิ่งๆ แล้วมันสบายข้างนอก ข้างหน้า หรือสบายในอวกาศโล่งๆ ที่ไหนก็แล้วแต่ ช่างมัน ทำอย่างนี้ไปก่อนนะ ทำอย่างนี้แล้วจะแก้ตรงนี้ได้ แล้วมันจะหายไปเลย ตอนนี้อย่าเพิ่งไปกังวลตรงนี้ ปรับให้สบายก่อน เดี๋ยวมันลงของมันเองในภายหลัง ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่) ที่มา https://www.dhamma01.com/book/91 …

๖๙. นั่งเครียดไปทำไม Read More »

๗๐. นั่งแล้วตึง

นั่งแล้วตึง สำหรับคนที่นั่งแล้วรู้สึกตึงเครียด ต้องฝึกสร้างอารมณ์สบายๆ นะ พยายามนึกถึงสิ่งที่ทำให้สบาย ใจจะได้คลี่คลาย เวลานั่ง อย่าไปตั้งความหวังไว้ เราจะต้องเอาให้ได้ จะต้องเอาให้เห็น จะต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เดี๋ยวจะตั้งใจมาก แล้วเครียด ต้องฝึกนะ ฝึกให้สบาย คนที่เขาได้ แต่เดิมก็ไม่ได้มาก่อน ตึงมาก่อน เครียด ฟุ้ง ง่วง เมื่อย มืดมาก่อน เดี๋ยวนี้เขาได้หมดแล้ว ความสบายเป็นหัวใจ ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อย่าไปรีบร้อน เร่งรีบให้ได้เดี๋ยวนี้ อย่าคิดอย่างนั้น ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เหมือนการเจริญเติบโตของต้นไม้ ค่อยๆ โตขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเรื่อยมา ใจก็ค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด ทีละหน่อย ทีละน้อยๆ แล้วก็เยอะขึ้นๆ เดี๋ยวเราจะค่อยๆ เข้าใจเอง อย่าใจร้อน ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ พระธรรมเทศนา …

๗๐. นั่งแล้วตึง Read More »

๗๑. เริ่มต้นในจุดที่สบาย (แก้ตึง)

เริ่มต้นในจุดที่สบาย (แก้ตึง) ทีนี้บางคนจะเอาใจไปไว้ในท้อง รู้สึกมันยังยากอยู่ดี ถ้าอย่างนั้น เอาอย่างนี้ เราหลับตาเฉยๆ สบายตรงไหน เอาตรงนั้น คล้ายๆ กับศูนย์กลางกายขยายไปแล้ว โตเท่ากับสภาธรรมกายสากล แล้วเราเข้าไปอยู่ในศูนย์กลางกายแล้วทั้งก้อนกาย ซึ่งความจริงตรงนั้นความรู้สึกเราอาจจะอยู่ที่ลูกนัยน์ตาก็ช่างมัน สบายตรงนั้น เราก็เอาตรงนั้นก่อน เหมือนตัวเราไปนั่งอยู่ในศูนย์กลางกายทั้งตัว ถ้านึกอย่างนี้จะไม่มึนศีรษะ จะนิ่ง เราก็ปล่อยให้มันเป็นไป Let it be บางทีแสงสว่างก็แวบเกิดขึ้นที่หางตาบ้าง หัวตาบ้าง ข้างหน้าบ้าง หรือบนศีรษะบ้าง เราก็ยังคงนิ่งอย่างเดิม ไม่ต้องไปดึงลงมาไว้ในท้อง แสงสว่างอยากอยู่ตรงไหนก็ปล่อยไปก่อน ตามใจเขาไปก่อน เดี๋ยวเขาก็จะตามใจเรา เราก็นิ่งเฉยๆ การที่แสงสว่างเกิดขึ้น แม้ไม่ถูกที่ที่เราต้องการก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แสดงว่าเราเริ่มชนะความมืดในใจไปในระดับหนึ่งแล้ว เหมือนลมที่ค่อยๆ เคลื่อนย้ายเมฆที่บดบังดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ให้นิ่งต่อไปอีกอย่างเบาสบาย ผ่อนคลาย ไม่คาดหวังว่าจะเห็นอะไร เห็นไม่เห็นก็ไม่เห็นจะเป็นไร เราทำใจหยุดนิ่งเฉยๆ แค่นั้นเอง ยิ่งเราไม่อยากได้อะไร เราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ นี่ก็เป็นเรื่องแปลก วางใจนิ่งเฉยๆ ไม่ผูกพันกับคน สัตว์ สิ่งของ เพราะว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี สิ่งของก็ดี เดี๋ยวก็พังกันไปทั้งนั้น …

๗๑. เริ่มต้นในจุดที่สบาย (แก้ตึง) Read More »

๗๒. เกร็ง ตึง..ผิดวิธี

เกร็ง ตึง..ผิดวิธี อย่าตั้งใจมาก โดยพยายามจะบังคับให้ใจหยุด นิ่ง สงบ หรือพยายามเค้นภาพให้มาปรากฏชัดเจนเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก ถ้าทำอย่างนี้จะมีปฏิกิริยาที่ร่างกายจะบอกเราว่า ตอนนี้เรากำลังปฏิบัติไม่ถูก เพราะเกิดอาการเกร็ง ตึง นั่งไม่มีความสุข มันเบื่อหน่าย ถ้าหากรู้สึกอย่างนี้แล้ว แสดงว่าผิดวิธี อย่าฝืนทำโดยวิธีการผิดๆ อย่างนั้นนะ ต้องเริ่มผ่อนคลาย โดยลืมตาขึ้นมาสักนิดหนึ่ง เผยอเปลือกตาสักหน่อย แล้วค่อยๆ ปรับระบบประสาทกล้ามเนื้อใหม่ ให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย แล้วเริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ วัตถุประสงค์เราแค่ต้องการให้ใจหยุดนิ่งๆ อยู่ในฐานที่ตั้งดั้งเดิมของใจ เพราะ “หยุดเป็นตัวสำเร็จ” หรือทำให้เราประสบความสำเร็จในการเข้าถึงธรรมภายใน ถ้าผิดจากนี้ไปแล้ว ไม่ใช่ ใจต้องหยุดนิ่งอย่างเดียว จึงจะเข้าถึงได้ ต้องจับหลักตรงนี้ให้ได้ เรารู้หลักการแล้ว เหลือแต่วิธีการ วิธีการเราก็ต้องฝึกฝนเอา ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘ พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่) ที่มา https://www.dhamma01.com/book/91 ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม 2 สิ่งที่ต้องแสวงหา คือ พระรัตนตรัยภายใน กลับสู่ …

๗๒. เกร็ง ตึง..ผิดวิธี Read More »

๗๓. ทางสายกลาง

ทางสายกลาง วิธีการที่ถูกต้อง คือ ต้องพอดี ไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป ตึงเกินไป เพราะตั้งใจมาก มันจะตึง เกร็ง ไม่สนุก นั่งแล้วมันไม่อร่อย มันเบื่อ หย่อนเกินไป คือ จะเคลิ้มบ้าง ง่วงบ้าง หลับบ้าง ฟุ้งบ้างไปเรื่อยเปื่อยเลย ถ้าพอดี จะเกิดความพึงพอใจ กับการวางอารมณ์อย่างนี้ ปฏิกิริยาที่ร่างกายจะรู้สึกตัวเริ่มโล่ง ไม่ทึบ เริ่มโปร่ง เบา สบาย ตัวพองๆ ขยาย จนกระทั่งกลืนไปกับบรรยากาศ ตัวหายไปเลย มีความรู้สึกว่า เวลาหมดเร็ว เราไม่อยากออกจากอารมณ์นี้เลย อยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ แม้ยังไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ เช่น ไม่มีภาพให้เห็น เราก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ อยากอยู่นิ่งๆ นานๆ แม้ไม่เห็นอะไรก็ตาม อย่างนี้ถูกหลักวิชชา ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘ พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่) ที่มา https://www.dhamma01.com/book/91 ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม …

๗๓. ทางสายกลาง Read More »

๗๔. ถ้าเอาจริง..ได้ทุกคน

ถ้าเอาจริง..ได้ทุกคน หยุดกับนิ่ง ขึ้นอยู่กับขยันหรือขี้เกียจ ถ้าขยันฝึกบ่อยๆ มีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลาง มันก็ชัดเจน จากมืดก็มาสว่าง จากสว่างก็มาเห็น “เห็น” ต้องเห็นทุกคน ของมันมีอยู่แล้ว ก็ต้องเห็น ที่มีแล้วไม่เห็น มันแปลกจริงๆ ดังนั้นต้องเห็นนะ ถ้าหยุดนิ่งได้สนิท ถ้าเราเห็นคุณค่า เราทราบความสำคัญจะขยันฝึกหยุดฝึกนิ่ง ถ้ายังไม่เห็นความสำคัญเท่าไร คือ เห็นความสำคัญบ้าง ก็ฝึกน้อยหน่อย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า ทั้งๆ ที่ตอนสุดท้ายของชีวิต ก็ต้องทิ้งอย่างอื่นทั้งหมด คือจำใจต้องทิ้ง เพราะเอาติดตัวไปไม่ได้ เพราะว่ามันต้องไปด้วยละเอียด ของที่เราทำเป็นของหยาบ หอบเอาไปไม่ได้ แม้แต่กระดูกของตัว ยังเอาไปไม่ได้ ยังต้องทิ้งเรี่ยราดให้คนอื่นเขาเก็บไป นี่คือความจริงของชีวิต ซึ่งไม่ค่อยคิดกัน ไม่มีอารมณ์จะคิด แต่เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนต้องเจอ ที่ว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นอกจากบุญกับบาป ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ให้ความสำคัญกันไม่มาก ถึงตอนนั้นก็ตัวใครตัวมันกันแล้ว ใครจะตายแทนใครก็ไม่ได้ หรือเก็บเอาไปส่ง เอาไปให้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าขยันก็หยุดได้เร็ว หยุดได้คล่อง หยุดได้ชำนาญ สิ่งที่เป็นอจินไตย เหลือเชื่อ ก็จะกลายเป็นความจริงเป็นเรื่องธรรมดา …

๗๔. ถ้าเอาจริง..ได้ทุกคน Read More »

๗๕. ความมืดเป็นมิตร

ความมืดเป็นมิตร ความมืดเป็นมิตร ไม่ได้เป็นศัตรูกับการเข้าถึงธรรม เป็นความมืดที่น่ารัก ถ้าเรารู้จักที่จะอยู่กับความมืด ความมืดก็จะเป็นเกลอ เป็นสหายของเรา อย่ากังวลกับการเห็นภาพ หรือว่าต้องเห็นอะไรอย่างนั้น อยู่กับความมืดอย่างสบายๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งมืดก็ยิ่งดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งใกล้สว่าง ไม่ช้าความสว่างก็จะมาเอง อยู่กับความมืดด้วยใจที่สบายๆ เบิกบาน แล้วก็อย่าให้มีความคิดว่า มืดอย่างนี้แล้วเมื่อไรดวงสว่างจะมาปรากฏ อย่านึกคิดอย่างนี้ อยู่กับความมืดด้วยใจที่นิ่งสงบ ให้เราคุ้นกับความมืดอย่างนั้นไปก่อน อย่าไปตีโพยตีพายว่า ไม่เห็นจะได้อะไรเลย ความสว่างไม่เห็นมา ต้องนึกเหมือนเรานั่งเงียบๆ ในคืนที่มืดมิด สมมติว่า เป็นเวลาตี ๑ เราก็ต้องยอมรับว่า นี่คือตี ๑ ถึงจะตีโพยตีพายอย่างไร ดวงอาทิตย์ก็ไม่มาปรากฏให้เราเห็น แม้ตี ๒ ตี ๓ ตี ๔ ตี ๕ ก็เช่นเดียวกัน จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม ใกล้รุ่ง แสงเงินแสงทองจึงจะมาปรากฏให้เราเห็น และแหล่งกำเนิดของแสงเงินแสงทองเป็นดวงสีแดงๆ ยามอรุโณทัยจึงจะมาภายหลัง ถ้าเรานั่งนิ่งๆ โดยไม่กังวลอะไร เหมือนนั่งในยามรัตติกาล ในคืนเดือนมืดอย่างนี้ ไม่ช้าจะสมหวัง คือใจจะสงบ ไม่ทุรนทุราย …

๗๕. ความมืดเป็นมิตร Read More »

๗๖. ทำให้ถูกหลักวิชชา

ทำให้ถูกหลักวิชชา การฝึกใจให้หยุดนิ่งเป็นกรณียกิจ เป็นกิจที่สำคัญสำหรับการมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะจะทำให้เราพบความสุขที่แท้จริง และพบความเป็นจริงของชีวิต เมื่อเราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัวแล้ว นี่เป็นกิจที่ควรจะต้องทำควบคู่กับการทำมาหากิน การศึกษาเล่าเรียน การครองเรือน แม้พวกเราจะทราบว่าเป็นกรณียกิจ เป็นกิจที่ต้องทำ แต่มักไม่ค่อยมีความขยัน มีความเพียรที่จะปฏิบัติ หรือปฏิบัติก็ปฏิบัติพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจริงจังเพื่อให้ใจตั้งมั่นอยู่ภายใน ที่ท้อก็เพราะว่า นั่งแล้วมีความรู้สึกว่า ไม่ก้าวหน้า ไม่เห็นผลทันอกทันใจ ซึ่งการที่เรานึกคิดอย่างนี้ ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติธรรมย่อมมีผลขึ้นสักวันหนึ่ง แต่ก็ต้องค่อยๆ สั่งสมความละเอียดของใจไปทุกๆ วัน เพราะใจเราหยาบด้วยการทำมาหากิน คิดพูดทำแต่สิ่งที่ทำให้อารมณ์จิตมันหยาบ มันฟุ้งอยู่ตลอดเวลา ไม่ตั้งมั่น แล้วจู่ๆ จะให้มาหยุดมานิ่ง ให้ได้ดั่งใจเลย มันไม่ได้นะลูกนะ ต้องอาศัยการฝึกฝน สั่งสมกันไปทุกๆ วัน เรามักจะให้ความสำคัญกับการสนุกสนาน เพลิดเพลิน ผ่อนคลายอารมณ์ไปในเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร ดูทีวีบ้าง อ่านหนังสืออ่านเล่นให้เพลินๆ หรือไปเที่ยวเตร่ พูดคุยกันให้เสียเวลา ไม่ค่อยให้ความสำคัญกันอย่างจริงจัง ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าตั้งใจปฏิบัติกันจริงๆ ทำให้ถูกหลักวิชชา ทบทวนคำสอนที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วก็หมั่นปฏิบัติ หมั่นสังเกต เดี๋ยวเราจะพบเหตุแห่งการบกพร่อง และช่องทางแห่งความสำเร็จ ความสมหวังย่อมจะเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน ๔ พฤษภาคม …

๗๖. ทำให้ถูกหลักวิชชา Read More »