หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา

DMC.TV ที่นี่

การอาราธนาธรรม

คำถาม:  เคยมีคนถามว่าเวลาหลวงพ่อขึ้นเทศน์ ทำไมไม่อาราธนาธรรมเป็นภาษาบาลีก่อน ลูกอยากทราบว่าก่อนเทศน์จำเป็นต้องมีคนอาราธนาธรรมทุกครั้งหรือไม่คะ? คำตอบ:  การอาราธนาธรรมที่เป็นภาษาบาลี ส่วนมากใช้ในกรณีที่มีพิธีเป็นทางการ พระภิกษุที่ขึ้นธรรมาสน์เทศน์มักถือใบลาน มากางอ่านแต่หลวงพ่อเทศน์ในลักษณะปาฐกถาธรรม คือเทศน์สดๆ ไม่ได้อ่านตามคัมภีร์ใบลาน เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องอาราธนาแบบเป็นภาษาบาลี ที่กล่าวขึ้นต้นว่า “พรหมา จ โลกา..” แต่ถ้าบางแห่งจะให้มีการกล่าวอาราธนาก่อนก็ไม่ผิดแปลกอะไร         โดยทั่วไปถ้านิมนต์พระไปแสดงปาฐกถาธรรมในที่ประชุมต่างๆ พิธีจะกล่าวอาราธนาด้วยคำพูดธรรมดา แบบกล่าวเชิญวิทยากรทั่วๆ ไป ขึ้นบรรยาย และพระภิกษุก็สามารถใช้เทคนิคในการบรรยายได้เหมือนนักพูดทั่วๆ ไป แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบในพระวินัยของพระนะ โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมวัดพระธรรมกายไม่มีอาหารเจ

คำถาม:  อยากทราบว่า ทำไมทางวัดพระธรรมกายไม่จัดอาหารเจไว้ด้วย เห็นอาหารที่นี่มีเนื้อสัตว์ทุกมื้อ ทำไมพระจึงฉันเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ คิดว่าคงมีคนมาวัดจำนวนไม่น้อยที่ต้องการอาหารเจ ซึ่งเป็นอาหารบริสุทธิ์? คำตอบ:  ขอตอบตามพระวินัยนะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเลยว่า อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ไม่บริสุทธิ์ สำหรับพระ อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ก็บริสุทธิ์ ถ้า         1. ภิกษุไม่ได้เห็น เขาฆ่าสัตว์นั้น         2. ภิกษุไม่ได้ยิน เขาฆ่าสัตว์นั้น         3. ภิกษุไม่ได้นึกรังเกียจว่า เขาฆ่าเฉพาะเจาะจงมาเพื่อตน         เพราะฉะนั้นอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ที่ถวายให้พระฉันอยู่ทุกมื้อนี่ก็บริสุทธิ์ เราไม่ควรกล่าวตู่พุทธพจน์นะ ถามว่าเรื่องอาหารเจเอามาจากไหน มาจากพระเทวทัตใช่ไหม พระเทวทัตก่อเรื่องไว้จนสงฆ์แตกแยก         เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งท่ามกลางสงฆ์ พระเทวทัตลุกขึ้นยืนต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเสียงดังว่า “พระพุทธเจ้าข้า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์ควรจะบัญญัติเป็นพระวินัยว่า ห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต” นี่พระเทวทัตว่าอย่างนั้น         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบเลยว่า “เทวทัต เราไม่บัญญัติถ้าภิกษุ รูปใดจะฉันเนื้อสัตว์ เราไม่ห้าม แต่เราบัญญัติว่า เนื้อสัตว์นั้นถ้าภิกษุ ไม่ได้เห็นเขาฆ่า ไม่ได้ยินเขาฆ่า และไม่ได้รังเกียจว่าเขาสั่งฆ่าเฉพาะเจาะจงมาเพื่อตน ให้ภิกษุฉันได้”         เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าอาหารเจบริสุทธิ์ แล้วทำไมอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์จะไม่บริสุทธิ์ …

ทำไมวัดพระธรรมกายไม่มีอาหารเจ Read More »

หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนาคืออะไร

คำถาม:  เนื่องจากมีเพื่อนชาวคริสต์หลายคน เพื่อนๆ เหล่านี้เคยถามลูกว่า แก่นแท้หรือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนามีอย่างไร ลูกตอบไม่ได้ จึงขอเรียนถามหลวงพ่อค่ะ? คำตอบ:  สำหรับของชาวคริสต์หัวใจสำคัญของศาสนาของเขา เขาบอกว่าจงรักกันและกัน เหมือนดังเช่นพระเจ้ารักท่าน อันนี้เป็นเมตตา ซึ่งเป็นข้อ 1 ในพรหมวิหาร 4 ซึ่งเป็นธรรมะหมวดหนึ่งในพระพุทธศาสนา         สำหรับชาวพุทธเรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หลักสำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ 3 ข้อใหญ่ ซึ่งสามารถครอบคลุมเอาคำสอนไว้ทั้งหมด จะถือเป็นแก่นแท้ หรือหัวใจของพระพุทธศาสนาก็ได้ ซึ่งได้แก่         1. การไม่ทำบาปทั้งปวง คือละเว้นจากอกุศลกรรมบถ 10 อย่าง         ด้วยกาย 3 คือ 1). ไม่ฆ่าสัตว์ 2). ไม่ลักทรัพย์ 3). ไม่ประพฤติผิดในกาม         ด้วยวาจา 4 คือ 1). ไม่พูดปด 2). ไม่พูดส่อเสียด 3). ไม่พูดคำหยาบ 4). ไม่พูดเพ้อเจ้อ         ด้วยใจ …

หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนาคืออะไร Read More »

หินยาน กับมหายาน ต่างกันอย่างไร และธรรมยุตกับมหานิกาย ต่างกันอย่างไร

คำถาม:  หินยาน กับมหายาน ต่างกันอย่างไร  และธรรมยุตกับมหานิกาย ต่างกันอย่างไรครับ? คำตอบ:  คู่แรก หินยานกับมหายานมีที่มาคือ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อวันเพ็ญกลางเดือน 6 หลังจากนั้นพอเข้าพรรษาต่อมาประมาณเดือน 8 ก็มีการสังคายนาพระไตรปิฎก         สังคายนาคือ การจัดหมวดหมู่ของธรรมะ เนื่องจากเมื่อสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ คำสอนของพระองค์มิได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีผู้ที่รับอาสาจะบันทึกเหมือนกัน แต่พระองค์ตรัสว่าไม่เป็นไร พวกเธอตั้งใจปฏิบัติธรรมกันดีกว่า เอาเวลาที่มีอยู่น้อยนิดไปเผยแผ่พระพุทธศาสนากันให้เต็มที่ เวลานี้ยังไม่ต้องบันทึกหรอก เพราะว่ามีอยู่ผู้หนึ่งที่สามารถบันทึกเอาไว้ในใจโดยไม่เลอะเลือน ผู้นั้นคือ พระอานนท์         พระอานนท์ท่านทำหน้าที่เป็นอุปัฏฐากของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตำแหน่งอุปัฏฐากถ้าจะเปรียบเทียบกับสมัยนี้ ก็จะพออนุโลมได้ว่า เป็นเลขาฯ ส่วนพระองค์ เวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาสั่งสอนที่ไหนก็ตาม ถ้าพระอานนท์อยู่ด้วยก็ได้ฟังและจำได้ แต่ถ้าไม่อยู่ด้วยเมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับมา ก็จะทรงเทศน์เรื่องนั้นให้พระอานนท์ฟังโดยเฉพาะอีกรอบหนึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราวที่ประชุมทำสังคายนา พระอรหันต์ทั้งหลายก็แบ่งหน้าที่กันออกไป         ประธานในการทำสังคายนาคือ พระมหากัสสปเถระ ท่านเป็นผู้ตั้งคำถาม พระอานนท์เป็นผู้ตอบว่าเรื่องนั้นๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ที่นั้น วันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น สาเหตุที่ทรงเทศน์เพราะอะไรก็จะบอกไว้ด้วย คำบอกเล่าของพระอานนท์บันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกส่วนที่เป็นพระสูตร         สำหรับส่วนที่เป็นพระวินัย มีพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งชื่อพระอุบาลีเป็นผู้ตอบ พระอุบาลีท่านเก่งในด้านพระวินัยหรือด้านกฎระเบียบของสงฆ์ พอตอบและจัดหมวดหมู่พระธรรมเรียบร้อยแล้ว …

หินยาน กับมหายาน ต่างกันอย่างไร และธรรมยุตกับมหานิกาย ต่างกันอย่างไร Read More »

คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆจะเป็นอย่างไรบ้าง

คำถาม:  คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆ จะเป็นอย่างไรบ้างคะ? คำตอบ:  การนึกถึงความตายบ่อยๆ ก็มี 2 กรณี         กรณีที่ 1 นึกไม่เป็น นึกว่าไม่ช้าก็ตาย เลยไม่อยากทำอะไร อยู่ไปวันๆ นอนรอความตายอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำความดี         กรณีที่ 2 นึกเป็น นึกว่าอย่างไรเสียก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นก่อนตายจะต้องใช้ชีวิต ใช้ร่างกายของเรานี้ให้คุ้มค่า จึงทุ่มชีวิตจิตใจทำความดี ให้มีความดีติดตัวไปมากๆ         ทำดีก็ตาย ทำชั่วก็ตาย ขี้เกียจก็ตาย ขยันก็ตาย ฉลาดก็ตาย โง่ก็ตาย เศรษฐีก็ตาย ขอทานก็ตาย ทุกคนต้องตายหมด แต่ความตายไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต ทุกชีวิตเกิดมามีเป้าหมายเพื่อสร้างบุญบารมี เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่หมดกิเลสก็ควรทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงวันตาย คิดอย่างนี้ และทำอย่างนี้ย่อมดีที่สุด โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน

คำถาม: หลวงพ่อคะ เราควรมีหลักยึดมั่นอย่างไร เพื่อเป็นการเตรียมตัวเผชิญกับความทุกข์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน? คำตอบ: ความทุกข์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาได้ ก็เนื่องจากตัวของเราเอง คนโดยมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีความทุกข์ประจำชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยอยู่ 3 ประการ คือมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว ยังไม่พอ ยังตะเกียกตะกายไขว่คว้า แสวงหาสมบัตินอกกายอันได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง บุตร ภรรยา สามีเอามาเป็นของตัวอีก เพราะหลงเข้าใจผิดคิดว่าจะทำให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป         แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ในตัวของเราก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดาเช่นกัน เพราะฉะนั้นทันทีที่ได้สิ่งนั้นมาอย่างหนึ่งเขาก็ได้พบได้เผชิญความทุกข์ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ของสิ่งที่ตนรักใคร่ผูกพันเพิ่มอีกเท่าตัว และถ้าสิ่งที่หลงยึดมั่นหวงแหนนั้น มีอันต้องถึงความพินาศย่อยยับไป โดยไม่คาดฝัน เขาจึงต้องประสบกับความทุกข์เป็นทับทวี         คนที่จะเผชิญกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันได้ ต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ โดยสร้างคุณสมบัติเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในตน คือ         1) รู้จักเป้าหมายของชีวิต คือรู้ว่าที่เราเกิดมานี้ ไม่ใช่เพื่อมาสนุกสนานเฮฮา แต่เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญบารมี แสวงหาหนทางพ้นทุกข์ จึงไม่ควรเสียเวลาไปสะสมสมบัตินอกกาย ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เข้ามาไว้จนเกินความจำเป็น ควรมุ่งสั่งสมความดีให้ถึงที่สุดจะได้หมดกิเลส ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย พ้นจากความทุกข์ในวัฏฏสงสาร ได้เข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในที่สุด         …

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน Read More »

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม

คำถาม:  เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะซื้อของด้วยเงินผ่อน? คำตอบ:  ความสุขอีกอย่างหนึ่งของคน อยู่ที่การไม่มีหนี้ ถ้ามีหนี้เมื่อไร พอเจอหน้าเจ้าหนี้เท่านั้นแหละเดินหน้าเหี่ยวเลย กลัวถูกทวงหนี้ แม้ที่สุดนอนก็ไม่ค่อยจะหลับ เหมือนหนี้มันมาค้ำตา         การซื้อของเงินผ่อนจึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้าง ในกรณีที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เช่น ไม่มีบ้านจะอยู่ การเคหะฯ เขามีบ้านให้ซื้อเงินผ่อน เขามีหลักการดี และเป็นองค์กรของรัฐบาล เชื่อว่าไม่โกงเรา แล้วเราก็มีความสามารถพอที่จะผ่อนได้ ก็ผ่อนไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชาตินี้ไม่มีที่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าไปผ่อนบ้านที่ใหญ่โตเกินเหตุ ก็ไม่สมควร ควรให้พอสมกับฐานะและรายได้ของตน         ของใช้อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน โซฟาชุดรับแขกในบ้านของเราไม่มี เพราะเรามันจนก็ใช้เสื่อไปก่อน ใครมาบ้านฉันก็ให้รู้ว่าฉันใช้เสื่อ ถ้าอยากนั่งโซฟาดีๆ ช่วยซื้อมาฝากด้วย ยินดีรับ…อย่างนี้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ต้องนอนผวา อย่าไปหน้าใหญ่นัก อย่าเพาะต้นหนี้ให้ดอกเบี้ยบานท่วมต้นโดยไม่จำเป็นจริงๆ         โดยธรรมชาติสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตมี 4 อย่างด้วยกัน คือ         1. ข้าวปลาอาหาร ถ้าไม่กินก็ตาย ไม่มีแรงทำงาน ทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย ใครจะซื้อผ่อนข้าวกินก็ไม่ว่า         2. เสื้อผ้า ใครจะซื้อผ่อนเสื้อผ้าต้องคิดดูก่อนนะ ถ้าในกรณีเราเข้างานใหม่ๆ …

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม Read More »

เพราะเคยทำผิดทำชั่วไว้มากหรือไม่ฟ้าดินถึงไล่ตะเพิดอย่างนี้

คำถาม: เมื่อก่อนผมไม่เชื่อสิ่งเร้นลับเลย แต่ตอนนี้ผมเชื่อ เพราะผมเจอเข้ากับตัวเองแล้ว อยากทราบว่าผมจะทำอย่างไรดี เพราะติดกัญชามานานก่อนบวช ขนาดตอนผมบวชเป็นพระแล้วผมยังดูดเลย ต่อมาผมตัดสินใจเลิกแล้วพยายามล้างบาป โดยเข้าไปนอนในวิหารเก่าแก่คนเดียว จนครบกำหนดวันที่ผมลาสิกขา พอผมเดินออกจากวิหารฝนก็ตก ลมพัดแรงขนาดกระเบื้องบนหลังคาวิหารตกกันกราวเลยครับ นี่เป็นเพราะผมทำชั่วไว้มากใช่หรือเปล่าครับ ฟ้าดินถึงไล่ตะเพิดผมอย่างนี้ คำตอบ:  ดีแล้วที่ตัดสินใจเลิกเสีย ถ้าไม่เลิก ชาตินี้เอาดีไม่ได้ ส่วนความเลวความไม่ดีที่ทำไว้แล้วในอดีต ก็สุดที่จะแก้ไขได้ แต่ว่าถ้าตั้งใจทำความดีตั้งแต่วันนี้เรื่อยไป อุปมาก็เหมือนกับเติมน้ำจืดมากๆ เข้าไปในน้ำเกลือ ซึ่งอุปมาเหมือนการสะสมบุญ เติมบุญมากๆ ความชั่วในอดีตมันจะค่อยๆ จางไปๆ ถึงความชั่วจะตามมาทัน ก็ตามมาแบบผ่อนส่ง ไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ว่าถ้าไม่ตั้งใจทำความดีตั้งแต่นี้ไป ชาตินี้เห็นท่าจะเอาตัวรอดยาก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

การเป็นคนโกรธง่ายจะแก้ไขด้วยวิธีใด

คำถาม:  มีหลายคนเตือนว่า ลูกเป็นคนโกรธง่าย โดยเฉพาะเวลาที่ถูกเพื่อนๆ เตือน จะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคะ? คำตอบ:  ความโกรธมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้ดังใจต้องการ เช่นเวลาขอให้คนอื่นช่วยทำงานให้ พอเขาทำไม่ได้ดังใจเข้า เราก็ชักจะโกรธ แม้ที่สุดเวลาทำอะไรให้ตัวเอง แต่ไม่ได้ดังใจต้องการ ก็ยังโกรธตัวเอง บางคนสุขภาพไม่ดีก็จะหงุดหงิด มักจะโกรธง่าย         เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องหาสาเหตุก่อนว่าโกรธเพราะไม่ได้ดังใจ หรือเพราะสุขภาพไม่ดี แล้วแก้ไขให้ตรงเหตุ ส่วนเรื่องโกรธเวลาเพื่อนเตือนนี่ เราจะต้องพยายามเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า “ผู้ที่ตักเตือนเราคือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา” พร้อมกันนั้น ก็ให้นึกทบทวนดูด้วยว่า สิ่งที่เขาตักเตือนเรานั้นจริงหรือไม่ เราควรต้องขอบคุณเขา เพราเขากล้าเสี่ยงต่อการที่จะถูกเราโกรธเนื่องจากเขาหวังดีต่อเรา         การยอมรับคำตักเตือนของเพื่อน แล้วหันมาพิจารณาสำรวจแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี ไม่มักโกรธเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการพัฒนาตนแล้ว ยังรักษามิตรภาพไว้ได้อย่างเหนียวแน่นอีกด้วย โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

เมื่อเกิดรอยมลทิน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ

คำถาม: ผมทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยมีจิตคิดคดโกง แต่บางทีอาจจะทำพลาดไป โดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เกิดเป็นรอยมลทิน และตัวเองก็ไม่มีโอกาสได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ผมควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ร้องเรียนต่อผู้ใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไปดีไหมครับ? คำตอบ:  คุณไม่ต้องไปร้องเรียน ไม่ต้องไปคุ้ยเรื่องมันขึ้นมาหรอก ถ้าไปคุ้ยขึ้นมาจะทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาอีก คนไทยลืมง่ายถึงบางคนไม่ยอมลืม แต่ถ้านับจากนั้นคุณไม่ได้ทำผิดทำพลาดอีกเลย เขาก็พร้อมที่จะให้อภัย อดๆ ทนๆ ไปเถอะนะ ไม่เกิน 10 ปี เขาก็ลืม แล้วก็แล้วกันไป ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีเรื่อยไป แล้วเขาก็จะยอมรับเองถ้าไปคุ้ยเรื่องยิ่งไม่จบหรอก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ความแตกต่างระหว่างคนใจใหญ่กับคนไม่รู้จักประมาณตน

คำถาม:  อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า คนใจใหญ่ กับคนที่ไม่รู้จักประมาณตนนี้ ต่างกันอย่างไร? คำตอบ:  ต่างกันมาก คนใจใหญ่ คือคนที่เมื่อรู้ว่าตัวเองมีความสามารถขนาดไหนก็ทำเต็มที่เต็มความสามารถของตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถ้าตัวเองจะทำเพียงเล็กน้อยก็เอาตัวรอดได้แล้ว แต่ด้วยความใจใหญ่ของเขาจึงชอบทุ่มสุดตัว มีความสามารถเท่าไรก็ทุ่มเทลงไปหมด เพื่อคนอื่นจะได้พลอยอาศัย พลอยมีความสุขตามไปด้วย         ส่วน คนที่ไม่รู้จักประมาณตน คือคนที่ไม่รู้จักว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน แล้วอุตริไปทำงานใหญ่ๆ ทั้งที่ความจริงมีความสามารถอยู่แค่หยิบมือเดียว ผลที่สุดก็เลยทำไม่สำเร็จ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักประมาณตน         ต่างกับคนใจใหญ่ที่รู้ความสามารถของตัวแล้วทำเต็มความสามารถเลย ทำโดยไม่ออมกำลัง เมื่อทำไปแล้ว ผลประโยชน์นั้น เกิดแก่ตัวเองก็ยินดี คนอื่นพลอยได้ประโยชน์ด้วยก็เต็มใจให้เขาได้อย่างนี้ เรียกว่าคนใจใหญ่         เรามาเป็นคนใจใหญ่เหมือนภูเขา ใจกว้างเหมือนมหาสมุทรกันดีกว่า เพื่อว่าจะได้ใช้ความสามารถที่เรามีอยู่ ทำคุณประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติอย่างเต็มที่ เราลงมือทำทั้งทีทำอะไรก็ขอให้ทำเต็มกำลัง ไม่ใช่ทำอย่างออมกำลัง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

“ผิด” กับ “ชั่ว”..ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร

คำถาม:  ผิดกับชั่ว มันต่างหรือเหมือนกันอย่างไรครับ? คำตอบ:   ผิด คือ สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความประมาท พลาดพลั้งไม่ได้ตั้งใจแล้วเกิดความเสียหายขึ้น         ชั่ว คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดแล้วยังฝืนทำ นี่เป็นคำตอบที่สั้นที่สุดในเชิงปฏิบัติ         มีข้อคิดที่ขอฝากเพิ่มเติม คือ ถ้าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม แล้วรู้ตัวด้วยว่าจะต้องตามมาตำหนิตัวเองได้ในภายหลัง ก็อย่าไปทำ เพราะมันชั่ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทารุณนะ ถ้ามีใครเขามาด่าเราหรือติเตียนเราด้วยความเข้าใจผิด เราไม่อยากฟังเดินหนีเสียมันก็จบ แต่ถ้าเราไปทำความผิดจริง แม้ไม่มีใครเห็น เราก็จะมานั่งตำหนิตัวเองอยู่นั่นแหละ         “แหม…ไม่น่าไปทำเลย ทำไมเราถึงได้โง่อย่างนี้ ทำไมเราถึงเลวอย่างนี้ หลวงพ่อ หลวงพี่ ก็ห้ามแล้วว่าอย่าทำ” แม้ที่สุด คุณพ่อคุณแม่ก็เตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าทำ แต่ก็อุตริฝ่่าฝืนดึงดันไปทำเข้า นึกขึ้นมาครั้งใด ก็ไม่สบายใจทุกทีไป อย่างนี้เรียกว่า ติตัวเอง         ถ้าคนอื่นๆ ติเราๆ ไม่อยากฟัง ไม่เดินหนีก็เอามืออุดหูเสียก็ได้ แต่พอเราไปทำความชั่วเข้าเอง ความชั่วนั้นมันจะตามไปหลอนอยู่ในใจของเรานั่นแหละ ไม่เลิกรา ใจเรามันติตัวเองไม่รู้จะหนีไปไหน มันก็ทุรนทุรายเหมือนอะไรรู้ไหม ขออภัยเถอะมีอาการเหมือนสุนัขหัวเน่าหนอนไชเต็มหัว อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข พอหนอนไชหัวกระดุบกระดิบสุนัขมันเจ็บก็วิ่งอ้าวไป เจอโคนไม้นึกว่าโคนไม้ร่มเย็นดีน่าจะสบาย …

“ผิด” กับ “ชั่ว”..ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร Read More »

วิธีหายเครียดที่แท้จริง

คำถาม:  ทำอย่างไรจึงจะหายเครียดได้อย่างแท้จริง และเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ? คำตอบ:  วิธีคลายความเครียดที่ดีที่สุด คือ การฝึกสมาธิ(Meditation)เป็นประจำ แต่คนส่วนมากมักจะหาวิธีคลายความเครียดด้วยการไปดูหนังดูละครบ้าง ใช้ยาระงับประสาทคลายความเครียดบ้าง บางทีก็เล่นไพ่หวังจะคลายความเครียดบ้าง         การทำอย่างนี้เป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุด กลับกลายเป็นการสะสมความเครียดลึกๆ เอาไว้ในใจ เช่น การดูหนังดูละคร นอกจากเสียทรัพย์แล้ว ในบางครั้งถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีไปดูเรื่องที่ไม่สมควรเข้า เช่น เรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมต่างๆ ก็จะยิ่งเพิ่มความเครียด ความขุ่นมัว ความหยาบของใจเข้าไปอีก         การใช้ยาระงับประสาทก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ระวัดระวังก็จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน ประสิทธิภาพการคิดต่ำลง แม้ที่สุดการพนันแบบเล่นๆ ไม่เอาเงินเอาทองกัน ก็ไม่ควรเพราะเป็นการเพิ่มความเครียดอีกรูปแบบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งอาจเพาะนิสัยมีเหลี่ยมมีคูเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้         วิธีคลายความเครียดที่ถูกต้อง จะต้องมีผลให้การทำงานทางจิตมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทนต่อความเครียดได้ เมื่อถึงเวลาใช้ความคิด ก็คิดได้นาน คิดได้ต่อเนื่องโดยไม่มีอาการอ่อนล้า คิดได้ลึกซึ้งละเอียดลออ รอบคอบ ซึ่งวิธีคลายเครียดที่จะให้ได้ผลอย่างนี้ มีอยู่วิธีเดียว คือ การทำสมาธิ         การทำสมาธิมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือ ทุกคืนก่อนนอนให้นั่งในท่าที่สบายที่สุด อาจจะเป็นนั่งเก้าอี้ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิก็ได้ แต่ไม่ควรนั่งพิง แล้วก็หลับตานิ่งๆ …

วิธีหายเครียดที่แท้จริง Read More »

ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนพูดเป็น

คำถาม:  หลวงพ่อครับ ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าพูดเป็นครับ? คำตอบ:  คนพูดเป็น คือ คนที่คิดให้รอบคอบ มีสติก่อนที่จะพูด หรือกลั่นกรองคำพูดให้ละเอียดอ่อนเสียก่อน แล้วค่อยพูด เพราะคำพูดยิ่งละเอียดอ่อนลึกซึ้งเท่าไร ก็ยิ่งสามารถเจาะใจคนฟังได้ลึก และประทับใจได้นานเท่านั้น ตรงกันข้ามคำพูดยิ่งหยาบเท่าไร ก็ยิ่งระคายทั้งหู ระคายทั้งใจมากเท่านั้น         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักในการพูดไว้ถึง 5 ประการด้วยกัน คือ         1) พูดด้วยจิตเมตตา ทุกครั้งที่จะพูดกับใครก็ตาม ให้ถามตัวเองเสียก่อนว่า ที่เราจะพูดต่อไปนี้มีความปรารถนาดีต่อเขาหรือเปล่า ถ้ามีความปรารถนาร้ายก็อย่าพูด หรือถ้าคิดว่าพูดแล้วจะระคายหู ระคายใจ ทั้งคนฟังคนพูด ก็อย่าพูด         2) พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ถามตัวเองเสียก่อนว่า ถึงแม้เรามีความปรารถนาดี แต่พูดไปแล้วจะเป็นประโยชน์กับเขาบ้างหรือไม่ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ สู้ไม่พูดดีกว่า เสียเวลาเปล่า ดีไม่ดีจะกลายเป็นพูดเพ้อเจ้อ         3) พูดถ้อยคำที่ไพเราะ อย่างน้อยที่สุดภาษาพูดต้องไม่ระคายหูใคร แม้จะพูดหลานๆ ไม่เป็นก็ตาม คำพูดที่เป็นประโยชน์แต่ระคายหูนั้นไม่มีใครอยากฟัง ไม่อยากทำตาม ดีไม่ดีอาจเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เพราะไม่มีใครในโลกนี้ชอบให้ใครมาพูดข่มขู่ กระโชกโฮกฮาก คนพูดหยาบคาย ถึงแม้จะมีประโยชน์แต่ก็เหมือนกับเอาลวดหนามมาทะลวงหู มันยากที่ใครจะทนทานได้         4) พูดถ้อยคำที่เป็นจริง …

ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนพูดเป็น Read More »

ทำอย่างไรถึงจะเอาดีได้

คำถาม:  คนเราต้องทำอย่างไร ถึงจะเอาดีได้ครับ? คำตอบ:  จุดเริ่มต้นของคนเราที่จะเอาดีให้ได้ คนๆ นั้นต้องมีเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องเสียก่อน ถ้าไม่มีเป้าหมายชีวิตก็เอาดีไม่ได้ มันจะลอยๆ เหมือนเรือเดินสมุทรไม่มีเข็มทิศ แต่ถ้าตั้งเป้าหมายผิดที่ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก จริงๆ แล้วคนเราที่เกิดมานั้นมีเป้าหมายชีวิตอยู่ 3 ระดับคือ         1. เป้าหมายชีวิตบนดิน คือเป้าหมายชีวิตในชาติปัจจุบัน         2. เป้าหมายชีวิตบนฟ้า คือชีวิตในชาติหน้า         3. เป้าหมายชีวิตเหนือฟ้าขึ้นไป คือการเข้านิพพาน         1. เป้าหมายบนดิน หมายถึงความหวังเกี่ยวกับสถานภาพของชีวิตในชาติปัจจุบัน เช่น ชาตินี้เราต้องมีบ้านของตัวเอง มีที่ทำกินของตัวเอง ต้องสร้างยศถาบรรดาศักดิ์ สร้างเศรษฐกิจให้ดี ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องมี ถ้าต้องไปพึ่งคนอื่นก็จะเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป         เป้าหมายบนดินนี้ ถ้าเป็นเรื่องของประชาชน ก็คือช่วยกันตั้งประเทศ ประเทศนั้นก็จะแข็งแกร่ง ครั้งหนึ่งประเทศญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าหมายบนดินไว้อย่างชัดเจนว่า จะเป็นมหาอำนาจทางทหาร แล้วเขาก็เป็นได้จริงๆ ตอนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แล้วไม่นานก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะคิดผิด คิดว่าฉันเป็นมหาอำนาจจะรุกรานชาวบ้านอย่างไรก็ได้ เลยแพ้สงคราม เยอรมันก็ตั้งเป้าเหมือนๆ กัน ว่าจะเป็นมหาอำนาจทางทหาร ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง         พอสิ้นสงครามโลก ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมันก็ตั้งเป้าหมายอีกเราจะเป็นเจ้าแห่งเศรษฐกิจ …

ทำอย่างไรถึงจะเอาดีได้ Read More »