หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา

DMC.TV ที่นี่

ถ้าฮวงซุ้ยดีจะทำให้ลูกหลานมีความเจริญจริงหรือ

คำถาม:  ตามความเชื่อถือของคนจีน เชื่อกันว่าถ้าฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษอยู่ในที่ๆ ดี จะมีบทบาทสำคัญทำให้ลูกหลานมีความเจริญก้าวหน้าร่ำรวย หรือหากฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษอยู่ในที่ที่ไม่ดีหรือไม่เป็นมงคล ลูกหลานจะประสบกับความหายนะ เท่าที่สังเกตดูก็รู้สึกว่ามีความจริงพอที่จะเชื่อถือได้ จึงอยากจะทราบว่าข้อเท็จจริง จริงๆ นั้น มันเกิดจากอะไรกันแน่? คำตอบ:  ตอนเริ่มแรกคนจีนทำฮวงซุ้ย เพื่อเหตุผลบางประการ คือ         ประการแรก เป็นวันนัดพบของหมู่ญาติ เพราะเมื่อพ่อแม่ตายแล้ว ลูกหลานแยกย้ายไปทำมาหากินต่างถิ่น มีโอกาสพบเจอกันยาก เพราะแผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาล จึงต้องกำหนดว่าควรจะมีการนัดพบกันสักปีละ 1 ครั้ง โดยคำนึงถึงความเหมาะสม คือ         1. สถานที่เหมาะสม คือ ได้บรรยากาศดี         2. เวลาเหมาะสม คือ เป็นฤดูกาลที่ไม่ใช่ช่วงทำเกษตรกรรมหรือเป็นเวลาที่ว่างงาน ซึ่งมักเป็นต้นฤดูแล้ง         ถามว่าทำไมจึงต้องพบกัน ตอบว่าควรพบกันด้วยสาเหตุใหญ่ คือ         1. ถ้าพี่น้องคนไหนตกทุกข์ได้ยาก ก็จะได้ข่าวในวันนี้ และ จะได้ช่วยเหลือกันต่อไป        2. ได้รู้ว่าความประพฤติของคนในตระกูลแต่ละรุ่น เป็นอย่างไรมีใครนอกลู่นอกทางหรือเปล่า ถ้าพบว่าใครมีความประพฤติไม่ดีจะทำอย่างไร ก็ต้องทบทวนโอวาทของเตี่ยและแม่ ซึ่งท่านสอนไม่ให้ทำชั่ว         ทีนี้ถ้าจะให้ได้บรรยากาศดี จะต้องไปทบทวนโอวาทบรรพบุรุษกันที่ไหน ก็ต้องหน้าหลุมศพเตี่ยและแม่ …

ถ้าฮวงซุ้ยดีจะทำให้ลูกหลานมีความเจริญจริงหรือ Read More »

กลัวการสร้างวัดตามรูปแบบประเพณีหรือศิลปะสมัยก่อนจะหายไป

คำถาม:  ผมขอกราบเรียนถามว่า การที่วัดพระธรรมกายบอกว่าไม่ได้แหกคอกเรื่องแบบการก่อสร้างวัด และไม่ได้ทำให้พิสดารกว่าวัดอื่นนั้น มันก็ถูกอยู่ครับ แต่ผมอยากทราบว่า ถ้าวัดอื่นเขาเกิดเอาตัวอย่างการก่อสร้างแบบวัดพระธรรมกาย ท่านไม่เกรงว่าประเพณีหรือศิลปะสมัยก่อนจะสูญหายหรือถูกลืมหรือครับ (พระเรียนถามมา) คำตอบ:  เวลาจะสร้างอะไร ควรคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้ให้มาก เคยคิดบ้างไหมว่าศิลปะไทยที่เห็นอยู่นี้ความจริงมันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไร อาจจะเริ่มเมื่อประมาณ 800 ปีก่อนก็ได้ และเคยคิดไหมว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สถาปัตยกรรมที่มีอยู่ในเมืองไทยมีรูปร่างอย่างไร?         วันหนึ่งมันก็สูญหายไปเป็นธรรมดา เมื่อ พ.ศ. 303 ในเมืองไทยก็มีวัดแล้ว คือวัดพระปฐมเจดีย์ แต่มั่นใจได้เลยว่าสถาปัตยกรรมคงไม่ใช่รูปแบบที่เราเห็นอยู่ขณะนี้ เพราะอะไร?         เพราะวัสดุก่อสร้างเปลี่ยนไปทุกวัน เดี๋ยวนี้หาไม้ได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อนไหม? ไม้กำลังจะต้องชั่งขายเป็นกิโลแล้วนะ เข้มงวดรักษาอย่างไรก็ไม่อยู่ ถ้าจะสร้างเพื่อรักษาศิลปวัฒนธรรมของปู่ย่าตายายไว้ ก็เห็นด้วย แต่ควรแบ่งไว้ส่วนหนึ่ง หรือสร้างไม้สักหลังหนึ่ง เพื่อรักษาศิลปะ         นอกนั้นจะสร้างอย่างไรก็ได้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยให้มาก อย่างที่รัฐบาลไทยทำอยู่ขณะนี้ ทำถูกต้องแล้ว คือโบสถ์หรือวัดที่ประกอบด้วยศิลปกรรมที่ดีเยี่ยมเลย ก็เก็บรวมไว้แห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ส่วนวัดอื่นก็ดูตามสภาพ จะใช้แบบเก่าก็ได้ แบบใหม่ก็ดี หรือในวัดทั่วๆ ไป ให้สร้างกุฏิเจ้าอาวาสเป็นทรงไทยสวยๆ ไว้สักหลัง ทำด้วยไม้เนื้อดี …

กลัวการสร้างวัดตามรูปแบบประเพณีหรือศิลปะสมัยก่อนจะหายไป Read More »

อานิสงส์ของการสวดมนต์มีอะไรบ้าง

คำถาม:  อานิสงส์ของการสวดมนต์มีอะไรบ้างครับ? คำตอบ:  มนต์ แปลว่าคำศักดิ์สิทธิ์ คำสำหรับสวดพุทธมนต์เป็นคำศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นคำสวดพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ การที่ชาวพุทธสวดมนต์ก็เพื่อเป็นการทบทวนพระโอวาท ที่เป็นข้อธรรมะ เมื่อใครได้ทบทวนข้อธรรมะของพระองค์ ก็ได้ชื่อว่า         1. เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของมนต์         2. เคารพในพระธรรม เพราะข้อความที่สวดเป็นธรรมะ         3. เคารพในพระสงฆ์ เพราะบทสวดมนต์ได้ถ่ายทอดมาโดยพระสงฆ์         สิ่งที่เราเคารพ 3 อย่างนี้ รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย การเคารพพระรัตนตรัยมีอานิสงส์ทำให้เรามีโอกาสสร้างบุญได้ต่อไป แม้ขณะที่กำลังสวดมนต์ ผลบุญก็เกิดขึ้นเป็นลำดับๆ แล้ว ตั้งแต่ขณะสวดมนต์ ร่างกายของเราอยู่ในอาการอันสงบ สำรวม ศีลก็ไม่ขาด พอจิตใจสงบ ก็เป็นสมาธิ(Meditation)ได้เร็ว         เมื่อทบทวนธรรมะ ปัญญาก็งอกงามไปตามลำดับๆ ได้ อานิสงส์ทางปัญญา ตกลงได้ครบทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอุปกรณ์เป็นพาหนะนำไปสู่การสร้างบุญ สร้างคุณงามความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งกว่านั้นผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำ ยังเป็นผู้ที่มีโอกาสพิจารณาตนเองได้มาก ไม่วู่วาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำ จะมีอานิสงส์ให้พ้นภัยทั้งปวง เนื่องมาจากใจที่สงบของเขา ใจที่เกาะอยู่ในธรรมจะสะอาดและใสมาก เมื่อจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับตัว แม้จะหาเหตุผลไม่ได้ …

อานิสงส์ของการสวดมนต์มีอะไรบ้าง Read More »

การอาราธนาธรรม

คำถาม:  เคยมีคนถามว่าเวลาหลวงพ่อขึ้นเทศน์ ทำไมไม่อาราธนาธรรมเป็นภาษาบาลีก่อน ลูกอยากทราบว่าก่อนเทศน์จำเป็นต้องมีคนอาราธนาธรรมทุกครั้งหรือไม่คะ? คำตอบ:  การอาราธนาธรรมที่เป็นภาษาบาลี ส่วนมากใช้ในกรณีที่มีพิธีเป็นทางการ พระภิกษุที่ขึ้นธรรมาสน์เทศน์มักถือใบลาน มากางอ่านแต่หลวงพ่อเทศน์ในลักษณะปาฐกถาธรรม คือเทศน์สดๆ ไม่ได้อ่านตามคัมภีร์ใบลาน เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องอาราธนาแบบเป็นภาษาบาลี ที่กล่าวขึ้นต้นว่า “พรหมา จ โลกา..” แต่ถ้าบางแห่งจะให้มีการกล่าวอาราธนาก่อนก็ไม่ผิดแปลกอะไร         โดยทั่วไปถ้านิมนต์พระไปแสดงปาฐกถาธรรมในที่ประชุมต่างๆ พิธีจะกล่าวอาราธนาด้วยคำพูดธรรมดา แบบกล่าวเชิญวิทยากรทั่วๆ ไป ขึ้นบรรยาย และพระภิกษุก็สามารถใช้เทคนิคในการบรรยายได้เหมือนนักพูดทั่วๆ ไป แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบในพระวินัยของพระนะ โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมคนที่เล่นการพนัน ถึงแม้จะได้เงินมากแต่ไม่เคยรวยจริงๆ สักที?

คำถาม: หลวงพ่อครับ ทำไมคนที่เล่นการพนัน ถึงแม้จะได้เงินมากแต่ไม่เคยรวยจริงๆ สักที? คำตอบ: คนเล่นการพนันไม่เคยรวยจริง เพราะว่า ก่อนที่เขาจะได้เงินจากการพนัน เขาได้ผลาญสิ่งที่มีค่าเกินกว่าที่เงินทั้งโลกจะซื้อได้ไปแล้ว คือ 1. ผลาญความเป็นคนของตัวเอง ความเป็นคนจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความซื่อตรง ทันทีที่เราเล่นการพนัน ความมีเหลี่ยมมีคูมันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ความซื่อสัตย์สุจริตจะหายไป เพราะเมื่อมีการพนันเกิดขึ้นที่ไหน การคดโกงจะเกิดขึ้นที่นั่น ถ้าครั้งใดในวงพนันไม่มีการโกงก็ขอให้เข้าใจว่า ไม่ใช่ว่าไม่คิดโกง แต่เป็นเพราะยังไม่มีโอกาสจะโกงต่างหาก 2. ผลาญปัญญา นักพนันเมื่อตอนที่เงินขาดมือ เขาจะมองเงินเหมือนเทพเจ้าที่สามารถบันดาลอะไรๆ ให้เขาได้ เขาลืมไปว่ายังมีอีกหลายๆ สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ครั้นพอเขาได้เงินมาแล้ว เนื่องจากเขารู้ดีว่าเงินเหล่านี้คงจะอยู่กับเขาไม่นาน อาจจะเสียการพนันหมดเนื้อหมดตัวไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเสียไปเขาจึงต้องรีบกินรีบใช้ รีบจ่ายเสียก่อนที่มันจะไปอยู่กับคนอื่น ของบางอย่างไม่ควรใช้ก็ใช้ ไม่ควรจ่ายก็จ่าย กลายเป็นคนฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักค่าของเงินตามความเป็นจริง ตอนนั้นเขาเห็นเงินเหมือนเศษกระดาษ ครั้นเงินหมดเขาก็หิวเงินอีกต่อไป กลายเป็นว่าเขาต้องหิวเงินทั้งชาติ ปัญญาที่มีอยู่แทนที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เอาไปคิดคดโกงเขา 3. ผลาญเวลา นักพนันเมื่อลงมือเล่น เขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แม้เวลาเขาก็ลืม ถึงคราวเสียก็จะยิ่งทุ่มเท หาทางเอากลับคืนมาให้ได้ ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่เลิก หรือกว่าจะเลิกก็ต้องรอให้เงินหมดเสียก่อน ถึงได้ก็ไม่รู้จักพอ วันเวลาก็ผ่านไปๆ เรื่อยๆ เสียงานเสียการอย่างอื่นโดยเขาไม่รู้ตัว …

ทำไมคนที่เล่นการพนัน ถึงแม้จะได้เงินมากแต่ไม่เคยรวยจริงๆ สักที? Read More »

ทำไมคนเล่นการพนันถึงไม่เคยรวยสักที

คำถาม:  ทำไมคนส่วนใหญ่จึงชอบทำผิดทั้งๆ ที่รู้คะ? คำตอบ:  การทำผิดทั้งๆ รู้มีอยู่ 3 ลักษณะด้วยกัน คือ         1. ทำผิดเพราะติดนิสัยมักง่ายมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งความผิดประเภทนี้ มักเป็นความผิดเล็กน้อย ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง เช่น เดินลัดสนาม ไม่ข้ามถนนตรงทางม้าลาย ทิ้งขยะไม่เลือกที่ ฯลฯ         2. ทำผิดเพราะหลงคิดว่า คนเราตายแล้วสูญ ชาติหน้าไม่มี เขามีความคิดว่า ความดีความชั่วที่ทำไว้ มีผลเฉพาะชาตินี้เท่านั้นเอง ฉะนั้นถ้าเขามีอำนาจหรือสามารถหลีกเลี่ยงได้ กฎหมายจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เขาก็จะไม่ถูกลงโทษ และไม่มีผลอะไร         คนทำผิดลักษณะนี้ถือว่าเป็นความผิดเนื่องจากขาด หิริโอตตัปปะ คือ ขาดความละอาย ขาดความเกรงกลัวต่อผลของบาป คนพวกนี้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองเก่ง เมื่อสามารถคดโกงเอาเปรียบคนอื่นได้ คนบางคนของในบ้านทั้งหมด ทั้งของกินของใช้ ล้วนแต่เป็นของที่โกงเขามาทั้งนั้น         3. ทำผิดเพราะขาดกำลังใจที่จำทำความดี ความผิดประเภทนี้ทำทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดกฎหมายและรู้ด้วยว่าบาป แต่ก็ทำ เพราะเขาไม่มีกำลังใจที่จะตัดใจไม่ให้ทำชั่ว และขาดกำลังใจที่จะทำความดี ปล่อยให้ความอยากมีอำนาจเหนือจิตใจ การแก้ไขคนทำผิดทั้งรู้ จะต้องปูพื้นฐานให้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ โดย         1). พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ …

ทำไมคนเล่นการพนันถึงไม่เคยรวยสักที Read More »

พอจะมีธรรมะแบบสรุปสั้นๆบ้างหรือไม่

คำถาม:  หลวงพ่อคะ ธรรมะทั้งหลายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมดนี้ มากมายเหลือเกิน แต่ที่สรุปลงให้สั้นๆ มีบ้างไหมคะ? คำตอบ:  พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ธรรมะทั้งหมดที่พระองค์ตรัสไว้ตลอด 45 พรรษา รวมแล้วได้ 84,000 ข้อ มีปรากฏในพระไตรปิฎก แต่เมื่อสรุปแล้วเหลือเพียง 1 ข้อ คือ ความไม่ประมาท ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัจฉิมโอวาท หรือโอวาทครั้งสุดท้าย ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีใจความว่า         “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจอันใดที่พระศาสดาแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ซึ่งกระทำเพื่อสาวกทั้งหลาย ด้วยความอนุเคราะห์เอ็นดู กิจทั้งหมดนั้น เราได้ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขาร ทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ขอเธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวง ให้ถึงพร้อมด้วยความมิประมาทเถิด”         จากคำสอนโดยสรุปของพระองค์ เท่ากับเตือนสติให้พวกเราทุกคนได้รู้ว่า ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลส และตราบที่เรายังไม่สามารถทำใจให้สงบเข้าถึงธรรมกาย ทำให้หมดกิเลสเข้าถึงพระนิพพานได้แล้ว ตราบนั้นเราก็ยังเป็นผู้ประมาทอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือคฤหัสถ์ต่างกันแต่ว่าใครจะประมาทมากน้อยต่างกันอย่างไร         แล้วถ้าจะทำความไม่ประมาทให้เกิดแก่ตัวเอง ก็จะต้องเริ่มตั้งแต่ละชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งการกระทำทั้ง 3 ประการนี้ ถ้าทำให้สมบูรณ์ โดยเต็มกำลังความสามารถของเราแล้ว …

พอจะมีธรรมะแบบสรุปสั้นๆบ้างหรือไม่ Read More »

คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆจะเป็นอย่างไรบ้าง

คำถาม:  คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆ จะเป็นอย่างไรบ้างคะ? คำตอบ:  การนึกถึงความตายบ่อยๆ ก็มี 2 กรณี         กรณีที่ 1 นึกไม่เป็น นึกว่าไม่ช้าก็ตาย เลยไม่อยากทำอะไร อยู่ไปวันๆ นอนรอความตายอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำความดี         กรณีที่ 2 นึกเป็น นึกว่าอย่างไรเสียก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นก่อนตายจะต้องใช้ชีวิต ใช้ร่างกายของเรานี้ให้คุ้มค่า จึงทุ่มชีวิตจิตใจทำความดี ให้มีความดีติดตัวไปมากๆ         ทำดีก็ตาย ทำชั่วก็ตาย ขี้เกียจก็ตาย ขยันก็ตาย ฉลาดก็ตาย โง่ก็ตาย เศรษฐีก็ตาย ขอทานก็ตาย ทุกคนต้องตายหมด แต่ความตายไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต ทุกชีวิตเกิดมามีเป้าหมายเพื่อสร้างบุญบารมี เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่หมดกิเลสก็ควรทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงวันตาย คิดอย่างนี้ และทำอย่างนี้ย่อมดีที่สุด โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน

คำถาม: หลวงพ่อคะ เราควรมีหลักยึดมั่นอย่างไร เพื่อเป็นการเตรียมตัวเผชิญกับความทุกข์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน? คำตอบ: ความทุกข์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาได้ ก็เนื่องจากตัวของเราเอง คนโดยมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีความทุกข์ประจำชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยอยู่ 3 ประการ คือมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว ยังไม่พอ ยังตะเกียกตะกายไขว่คว้า แสวงหาสมบัตินอกกายอันได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง บุตร ภรรยา สามีเอามาเป็นของตัวอีก เพราะหลงเข้าใจผิดคิดว่าจะทำให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป         แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ในตัวของเราก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดาเช่นกัน เพราะฉะนั้นทันทีที่ได้สิ่งนั้นมาอย่างหนึ่งเขาก็ได้พบได้เผชิญความทุกข์ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ของสิ่งที่ตนรักใคร่ผูกพันเพิ่มอีกเท่าตัว และถ้าสิ่งที่หลงยึดมั่นหวงแหนนั้น มีอันต้องถึงความพินาศย่อยยับไป โดยไม่คาดฝัน เขาจึงต้องประสบกับความทุกข์เป็นทับทวี         คนที่จะเผชิญกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันได้ ต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ โดยสร้างคุณสมบัติเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในตน คือ         1) รู้จักเป้าหมายของชีวิต คือรู้ว่าที่เราเกิดมานี้ ไม่ใช่เพื่อมาสนุกสนานเฮฮา แต่เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญบารมี แสวงหาหนทางพ้นทุกข์ จึงไม่ควรเสียเวลาไปสะสมสมบัตินอกกาย ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เข้ามาไว้จนเกินความจำเป็น ควรมุ่งสั่งสมความดีให้ถึงที่สุดจะได้หมดกิเลส ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย พ้นจากความทุกข์ในวัฏฏสงสาร ได้เข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในที่สุด         …

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน Read More »

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม

คำถาม:  เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะซื้อของด้วยเงินผ่อน? คำตอบ:  ความสุขอีกอย่างหนึ่งของคน อยู่ที่การไม่มีหนี้ ถ้ามีหนี้เมื่อไร พอเจอหน้าเจ้าหนี้เท่านั้นแหละเดินหน้าเหี่ยวเลย กลัวถูกทวงหนี้ แม้ที่สุดนอนก็ไม่ค่อยจะหลับ เหมือนหนี้มันมาค้ำตา         การซื้อของเงินผ่อนจึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้าง ในกรณีที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เช่น ไม่มีบ้านจะอยู่ การเคหะฯ เขามีบ้านให้ซื้อเงินผ่อน เขามีหลักการดี และเป็นองค์กรของรัฐบาล เชื่อว่าไม่โกงเรา แล้วเราก็มีความสามารถพอที่จะผ่อนได้ ก็ผ่อนไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชาตินี้ไม่มีที่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าไปผ่อนบ้านที่ใหญ่โตเกินเหตุ ก็ไม่สมควร ควรให้พอสมกับฐานะและรายได้ของตน         ของใช้อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน โซฟาชุดรับแขกในบ้านของเราไม่มี เพราะเรามันจนก็ใช้เสื่อไปก่อน ใครมาบ้านฉันก็ให้รู้ว่าฉันใช้เสื่อ ถ้าอยากนั่งโซฟาดีๆ ช่วยซื้อมาฝากด้วย ยินดีรับ…อย่างนี้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ต้องนอนผวา อย่าไปหน้าใหญ่นัก อย่าเพาะต้นหนี้ให้ดอกเบี้ยบานท่วมต้นโดยไม่จำเป็นจริงๆ         โดยธรรมชาติสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตมี 4 อย่างด้วยกัน คือ         1. ข้าวปลาอาหาร ถ้าไม่กินก็ตาย ไม่มีแรงทำงาน ทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย ใครจะซื้อผ่อนข้าวกินก็ไม่ว่า         2. เสื้อผ้า ใครจะซื้อผ่อนเสื้อผ้าต้องคิดดูก่อนนะ ถ้าในกรณีเราเข้างานใหม่ๆ …

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม Read More »

เพราะเคยทำผิดทำชั่วไว้มากหรือไม่ฟ้าดินถึงไล่ตะเพิดอย่างนี้

คำถาม: เมื่อก่อนผมไม่เชื่อสิ่งเร้นลับเลย แต่ตอนนี้ผมเชื่อ เพราะผมเจอเข้ากับตัวเองแล้ว อยากทราบว่าผมจะทำอย่างไรดี เพราะติดกัญชามานานก่อนบวช ขนาดตอนผมบวชเป็นพระแล้วผมยังดูดเลย ต่อมาผมตัดสินใจเลิกแล้วพยายามล้างบาป โดยเข้าไปนอนในวิหารเก่าแก่คนเดียว จนครบกำหนดวันที่ผมลาสิกขา พอผมเดินออกจากวิหารฝนก็ตก ลมพัดแรงขนาดกระเบื้องบนหลังคาวิหารตกกันกราวเลยครับ นี่เป็นเพราะผมทำชั่วไว้มากใช่หรือเปล่าครับ ฟ้าดินถึงไล่ตะเพิดผมอย่างนี้ คำตอบ:  ดีแล้วที่ตัดสินใจเลิกเสีย ถ้าไม่เลิก ชาตินี้เอาดีไม่ได้ ส่วนความเลวความไม่ดีที่ทำไว้แล้วในอดีต ก็สุดที่จะแก้ไขได้ แต่ว่าถ้าตั้งใจทำความดีตั้งแต่วันนี้เรื่อยไป อุปมาก็เหมือนกับเติมน้ำจืดมากๆ เข้าไปในน้ำเกลือ ซึ่งอุปมาเหมือนการสะสมบุญ เติมบุญมากๆ ความชั่วในอดีตมันจะค่อยๆ จางไปๆ ถึงความชั่วจะตามมาทัน ก็ตามมาแบบผ่อนส่ง ไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ว่าถ้าไม่ตั้งใจทำความดีตั้งแต่นี้ไป ชาตินี้เห็นท่าจะเอาตัวรอดยาก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

การเป็นคนโกรธง่ายจะแก้ไขด้วยวิธีใด

คำถาม:  มีหลายคนเตือนว่า ลูกเป็นคนโกรธง่าย โดยเฉพาะเวลาที่ถูกเพื่อนๆ เตือน จะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคะ? คำตอบ:  ความโกรธมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้ดังใจต้องการ เช่นเวลาขอให้คนอื่นช่วยทำงานให้ พอเขาทำไม่ได้ดังใจเข้า เราก็ชักจะโกรธ แม้ที่สุดเวลาทำอะไรให้ตัวเอง แต่ไม่ได้ดังใจต้องการ ก็ยังโกรธตัวเอง บางคนสุขภาพไม่ดีก็จะหงุดหงิด มักจะโกรธง่าย         เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องหาสาเหตุก่อนว่าโกรธเพราะไม่ได้ดังใจ หรือเพราะสุขภาพไม่ดี แล้วแก้ไขให้ตรงเหตุ ส่วนเรื่องโกรธเวลาเพื่อนเตือนนี่ เราจะต้องพยายามเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า “ผู้ที่ตักเตือนเราคือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา” พร้อมกันนั้น ก็ให้นึกทบทวนดูด้วยว่า สิ่งที่เขาตักเตือนเรานั้นจริงหรือไม่ เราควรต้องขอบคุณเขา เพราเขากล้าเสี่ยงต่อการที่จะถูกเราโกรธเนื่องจากเขาหวังดีต่อเรา         การยอมรับคำตักเตือนของเพื่อน แล้วหันมาพิจารณาสำรวจแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี ไม่มักโกรธเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการพัฒนาตนแล้ว ยังรักษามิตรภาพไว้ได้อย่างเหนียวแน่นอีกด้วย โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

เมื่อเกิดรอยมลทิน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ

คำถาม: ผมทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยมีจิตคิดคดโกง แต่บางทีอาจจะทำพลาดไป โดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เกิดเป็นรอยมลทิน และตัวเองก็ไม่มีโอกาสได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ผมควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ร้องเรียนต่อผู้ใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไปดีไหมครับ? คำตอบ:  คุณไม่ต้องไปร้องเรียน ไม่ต้องไปคุ้ยเรื่องมันขึ้นมาหรอก ถ้าไปคุ้ยขึ้นมาจะทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาอีก คนไทยลืมง่ายถึงบางคนไม่ยอมลืม แต่ถ้านับจากนั้นคุณไม่ได้ทำผิดทำพลาดอีกเลย เขาก็พร้อมที่จะให้อภัย อดๆ ทนๆ ไปเถอะนะ ไม่เกิน 10 ปี เขาก็ลืม แล้วก็แล้วกันไป ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีเรื่อยไป แล้วเขาก็จะยอมรับเองถ้าไปคุ้ยเรื่องยิ่งไม่จบหรอก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ความแตกต่างระหว่างคนใจใหญ่กับคนไม่รู้จักประมาณตน

คำถาม:  อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า คนใจใหญ่ กับคนที่ไม่รู้จักประมาณตนนี้ ต่างกันอย่างไร? คำตอบ:  ต่างกันมาก คนใจใหญ่ คือคนที่เมื่อรู้ว่าตัวเองมีความสามารถขนาดไหนก็ทำเต็มที่เต็มความสามารถของตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถ้าตัวเองจะทำเพียงเล็กน้อยก็เอาตัวรอดได้แล้ว แต่ด้วยความใจใหญ่ของเขาจึงชอบทุ่มสุดตัว มีความสามารถเท่าไรก็ทุ่มเทลงไปหมด เพื่อคนอื่นจะได้พลอยอาศัย พลอยมีความสุขตามไปด้วย         ส่วน คนที่ไม่รู้จักประมาณตน คือคนที่ไม่รู้จักว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน แล้วอุตริไปทำงานใหญ่ๆ ทั้งที่ความจริงมีความสามารถอยู่แค่หยิบมือเดียว ผลที่สุดก็เลยทำไม่สำเร็จ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักประมาณตน         ต่างกับคนใจใหญ่ที่รู้ความสามารถของตัวแล้วทำเต็มความสามารถเลย ทำโดยไม่ออมกำลัง เมื่อทำไปแล้ว ผลประโยชน์นั้น เกิดแก่ตัวเองก็ยินดี คนอื่นพลอยได้ประโยชน์ด้วยก็เต็มใจให้เขาได้อย่างนี้ เรียกว่าคนใจใหญ่         เรามาเป็นคนใจใหญ่เหมือนภูเขา ใจกว้างเหมือนมหาสมุทรกันดีกว่า เพื่อว่าจะได้ใช้ความสามารถที่เรามีอยู่ ทำคุณประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติอย่างเต็มที่ เราลงมือทำทั้งทีทำอะไรก็ขอให้ทำเต็มกำลัง ไม่ใช่ทำอย่างออมกำลัง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

“ผิด” กับ “ชั่ว”..ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร

คำถาม:  ผิดกับชั่ว มันต่างหรือเหมือนกันอย่างไรครับ? คำตอบ:   ผิด คือ สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความประมาท พลาดพลั้งไม่ได้ตั้งใจแล้วเกิดความเสียหายขึ้น         ชั่ว คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดแล้วยังฝืนทำ นี่เป็นคำตอบที่สั้นที่สุดในเชิงปฏิบัติ         มีข้อคิดที่ขอฝากเพิ่มเติม คือ ถ้าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม แล้วรู้ตัวด้วยว่าจะต้องตามมาตำหนิตัวเองได้ในภายหลัง ก็อย่าไปทำ เพราะมันชั่ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทารุณนะ ถ้ามีใครเขามาด่าเราหรือติเตียนเราด้วยความเข้าใจผิด เราไม่อยากฟังเดินหนีเสียมันก็จบ แต่ถ้าเราไปทำความผิดจริง แม้ไม่มีใครเห็น เราก็จะมานั่งตำหนิตัวเองอยู่นั่นแหละ         “แหม…ไม่น่าไปทำเลย ทำไมเราถึงได้โง่อย่างนี้ ทำไมเราถึงเลวอย่างนี้ หลวงพ่อ หลวงพี่ ก็ห้ามแล้วว่าอย่าทำ” แม้ที่สุด คุณพ่อคุณแม่ก็เตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าทำ แต่ก็อุตริฝ่่าฝืนดึงดันไปทำเข้า นึกขึ้นมาครั้งใด ก็ไม่สบายใจทุกทีไป อย่างนี้เรียกว่า ติตัวเอง         ถ้าคนอื่นๆ ติเราๆ ไม่อยากฟัง ไม่เดินหนีก็เอามืออุดหูเสียก็ได้ แต่พอเราไปทำความชั่วเข้าเอง ความชั่วนั้นมันจะตามไปหลอนอยู่ในใจของเรานั่นแหละ ไม่เลิกรา ใจเรามันติตัวเองไม่รู้จะหนีไปไหน มันก็ทุรนทุรายเหมือนอะไรรู้ไหม ขออภัยเถอะมีอาการเหมือนสุนัขหัวเน่าหนอนไชเต็มหัว อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข พอหนอนไชหัวกระดุบกระดิบสุนัขมันเจ็บก็วิ่งอ้าวไป เจอโคนไม้นึกว่าโคนไม้ร่มเย็นดีน่าจะสบาย …

“ผิด” กับ “ชั่ว”..ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร Read More »