หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา

DMC.TV ที่นี่

คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆจะเป็นอย่างไรบ้าง

คำถาม:  คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆ จะเป็นอย่างไรบ้างคะ? คำตอบ:  การนึกถึงความตายบ่อยๆ ก็มี 2 กรณี         กรณีที่ 1 นึกไม่เป็น นึกว่าไม่ช้าก็ตาย เลยไม่อยากทำอะไร อยู่ไปวันๆ นอนรอความตายอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำความดี         กรณีที่ 2 นึกเป็น นึกว่าอย่างไรเสียก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นก่อนตายจะต้องใช้ชีวิต ใช้ร่างกายของเรานี้ให้คุ้มค่า จึงทุ่มชีวิตจิตใจทำความดี ให้มีความดีติดตัวไปมากๆ         ทำดีก็ตาย ทำชั่วก็ตาย ขี้เกียจก็ตาย ขยันก็ตาย ฉลาดก็ตาย โง่ก็ตาย เศรษฐีก็ตาย ขอทานก็ตาย ทุกคนต้องตายหมด แต่ความตายไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต ทุกชีวิตเกิดมามีเป้าหมายเพื่อสร้างบุญบารมี เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่หมดกิเลสก็ควรทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงวันตาย คิดอย่างนี้ และทำอย่างนี้ย่อมดีที่สุด โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน

คำถาม: หลวงพ่อคะ เราควรมีหลักยึดมั่นอย่างไร เพื่อเป็นการเตรียมตัวเผชิญกับความทุกข์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน? คำตอบ: ความทุกข์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาได้ ก็เนื่องจากตัวของเราเอง คนโดยมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีความทุกข์ประจำชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยอยู่ 3 ประการ คือมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว ยังไม่พอ ยังตะเกียกตะกายไขว่คว้า แสวงหาสมบัตินอกกายอันได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง บุตร ภรรยา สามีเอามาเป็นของตัวอีก เพราะหลงเข้าใจผิดคิดว่าจะทำให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป         แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ในตัวของเราก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดาเช่นกัน เพราะฉะนั้นทันทีที่ได้สิ่งนั้นมาอย่างหนึ่งเขาก็ได้พบได้เผชิญความทุกข์ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ของสิ่งที่ตนรักใคร่ผูกพันเพิ่มอีกเท่าตัว และถ้าสิ่งที่หลงยึดมั่นหวงแหนนั้น มีอันต้องถึงความพินาศย่อยยับไป โดยไม่คาดฝัน เขาจึงต้องประสบกับความทุกข์เป็นทับทวี         คนที่จะเผชิญกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันได้ ต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ โดยสร้างคุณสมบัติเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในตน คือ         1) รู้จักเป้าหมายของชีวิต คือรู้ว่าที่เราเกิดมานี้ ไม่ใช่เพื่อมาสนุกสนานเฮฮา แต่เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญบารมี แสวงหาหนทางพ้นทุกข์ จึงไม่ควรเสียเวลาไปสะสมสมบัตินอกกาย ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เข้ามาไว้จนเกินความจำเป็น ควรมุ่งสั่งสมความดีให้ถึงที่สุดจะได้หมดกิเลส ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย พ้นจากความทุกข์ในวัฏฏสงสาร ได้เข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในที่สุด         …

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน Read More »

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม

คำถาม:  เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะซื้อของด้วยเงินผ่อน? คำตอบ:  ความสุขอีกอย่างหนึ่งของคน อยู่ที่การไม่มีหนี้ ถ้ามีหนี้เมื่อไร พอเจอหน้าเจ้าหนี้เท่านั้นแหละเดินหน้าเหี่ยวเลย กลัวถูกทวงหนี้ แม้ที่สุดนอนก็ไม่ค่อยจะหลับ เหมือนหนี้มันมาค้ำตา         การซื้อของเงินผ่อนจึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้าง ในกรณีที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เช่น ไม่มีบ้านจะอยู่ การเคหะฯ เขามีบ้านให้ซื้อเงินผ่อน เขามีหลักการดี และเป็นองค์กรของรัฐบาล เชื่อว่าไม่โกงเรา แล้วเราก็มีความสามารถพอที่จะผ่อนได้ ก็ผ่อนไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชาตินี้ไม่มีที่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าไปผ่อนบ้านที่ใหญ่โตเกินเหตุ ก็ไม่สมควร ควรให้พอสมกับฐานะและรายได้ของตน         ของใช้อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน โซฟาชุดรับแขกในบ้านของเราไม่มี เพราะเรามันจนก็ใช้เสื่อไปก่อน ใครมาบ้านฉันก็ให้รู้ว่าฉันใช้เสื่อ ถ้าอยากนั่งโซฟาดีๆ ช่วยซื้อมาฝากด้วย ยินดีรับ…อย่างนี้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ต้องนอนผวา อย่าไปหน้าใหญ่นัก อย่าเพาะต้นหนี้ให้ดอกเบี้ยบานท่วมต้นโดยไม่จำเป็นจริงๆ         โดยธรรมชาติสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตมี 4 อย่างด้วยกัน คือ         1. ข้าวปลาอาหาร ถ้าไม่กินก็ตาย ไม่มีแรงทำงาน ทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย ใครจะซื้อผ่อนข้าวกินก็ไม่ว่า         2. เสื้อผ้า ใครจะซื้อผ่อนเสื้อผ้าต้องคิดดูก่อนนะ ถ้าในกรณีเราเข้างานใหม่ๆ …

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม Read More »

เพราะเคยทำผิดทำชั่วไว้มากหรือไม่ฟ้าดินถึงไล่ตะเพิดอย่างนี้

คำถาม: เมื่อก่อนผมไม่เชื่อสิ่งเร้นลับเลย แต่ตอนนี้ผมเชื่อ เพราะผมเจอเข้ากับตัวเองแล้ว อยากทราบว่าผมจะทำอย่างไรดี เพราะติดกัญชามานานก่อนบวช ขนาดตอนผมบวชเป็นพระแล้วผมยังดูดเลย ต่อมาผมตัดสินใจเลิกแล้วพยายามล้างบาป โดยเข้าไปนอนในวิหารเก่าแก่คนเดียว จนครบกำหนดวันที่ผมลาสิกขา พอผมเดินออกจากวิหารฝนก็ตก ลมพัดแรงขนาดกระเบื้องบนหลังคาวิหารตกกันกราวเลยครับ นี่เป็นเพราะผมทำชั่วไว้มากใช่หรือเปล่าครับ ฟ้าดินถึงไล่ตะเพิดผมอย่างนี้ คำตอบ:  ดีแล้วที่ตัดสินใจเลิกเสีย ถ้าไม่เลิก ชาตินี้เอาดีไม่ได้ ส่วนความเลวความไม่ดีที่ทำไว้แล้วในอดีต ก็สุดที่จะแก้ไขได้ แต่ว่าถ้าตั้งใจทำความดีตั้งแต่วันนี้เรื่อยไป อุปมาก็เหมือนกับเติมน้ำจืดมากๆ เข้าไปในน้ำเกลือ ซึ่งอุปมาเหมือนการสะสมบุญ เติมบุญมากๆ ความชั่วในอดีตมันจะค่อยๆ จางไปๆ ถึงความชั่วจะตามมาทัน ก็ตามมาแบบผ่อนส่ง ไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ว่าถ้าไม่ตั้งใจทำความดีตั้งแต่นี้ไป ชาตินี้เห็นท่าจะเอาตัวรอดยาก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

การเป็นคนโกรธง่ายจะแก้ไขด้วยวิธีใด

คำถาม:  มีหลายคนเตือนว่า ลูกเป็นคนโกรธง่าย โดยเฉพาะเวลาที่ถูกเพื่อนๆ เตือน จะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคะ? คำตอบ:  ความโกรธมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้ดังใจต้องการ เช่นเวลาขอให้คนอื่นช่วยทำงานให้ พอเขาทำไม่ได้ดังใจเข้า เราก็ชักจะโกรธ แม้ที่สุดเวลาทำอะไรให้ตัวเอง แต่ไม่ได้ดังใจต้องการ ก็ยังโกรธตัวเอง บางคนสุขภาพไม่ดีก็จะหงุดหงิด มักจะโกรธง่าย         เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องหาสาเหตุก่อนว่าโกรธเพราะไม่ได้ดังใจ หรือเพราะสุขภาพไม่ดี แล้วแก้ไขให้ตรงเหตุ ส่วนเรื่องโกรธเวลาเพื่อนเตือนนี่ เราจะต้องพยายามเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า “ผู้ที่ตักเตือนเราคือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา” พร้อมกันนั้น ก็ให้นึกทบทวนดูด้วยว่า สิ่งที่เขาตักเตือนเรานั้นจริงหรือไม่ เราควรต้องขอบคุณเขา เพราเขากล้าเสี่ยงต่อการที่จะถูกเราโกรธเนื่องจากเขาหวังดีต่อเรา         การยอมรับคำตักเตือนของเพื่อน แล้วหันมาพิจารณาสำรวจแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี ไม่มักโกรธเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการพัฒนาตนแล้ว ยังรักษามิตรภาพไว้ได้อย่างเหนียวแน่นอีกด้วย โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

เมื่อเกิดรอยมลทิน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ

คำถาม: ผมทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยมีจิตคิดคดโกง แต่บางทีอาจจะทำพลาดไป โดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เกิดเป็นรอยมลทิน และตัวเองก็ไม่มีโอกาสได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ผมควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ร้องเรียนต่อผู้ใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไปดีไหมครับ? คำตอบ:  คุณไม่ต้องไปร้องเรียน ไม่ต้องไปคุ้ยเรื่องมันขึ้นมาหรอก ถ้าไปคุ้ยขึ้นมาจะทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาอีก คนไทยลืมง่ายถึงบางคนไม่ยอมลืม แต่ถ้านับจากนั้นคุณไม่ได้ทำผิดทำพลาดอีกเลย เขาก็พร้อมที่จะให้อภัย อดๆ ทนๆ ไปเถอะนะ ไม่เกิน 10 ปี เขาก็ลืม แล้วก็แล้วกันไป ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีเรื่อยไป แล้วเขาก็จะยอมรับเองถ้าไปคุ้ยเรื่องยิ่งไม่จบหรอก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ความแตกต่างระหว่างคนใจใหญ่กับคนไม่รู้จักประมาณตน

คำถาม:  อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า คนใจใหญ่ กับคนที่ไม่รู้จักประมาณตนนี้ ต่างกันอย่างไร? คำตอบ:  ต่างกันมาก คนใจใหญ่ คือคนที่เมื่อรู้ว่าตัวเองมีความสามารถขนาดไหนก็ทำเต็มที่เต็มความสามารถของตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถ้าตัวเองจะทำเพียงเล็กน้อยก็เอาตัวรอดได้แล้ว แต่ด้วยความใจใหญ่ของเขาจึงชอบทุ่มสุดตัว มีความสามารถเท่าไรก็ทุ่มเทลงไปหมด เพื่อคนอื่นจะได้พลอยอาศัย พลอยมีความสุขตามไปด้วย         ส่วน คนที่ไม่รู้จักประมาณตน คือคนที่ไม่รู้จักว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน แล้วอุตริไปทำงานใหญ่ๆ ทั้งที่ความจริงมีความสามารถอยู่แค่หยิบมือเดียว ผลที่สุดก็เลยทำไม่สำเร็จ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักประมาณตน         ต่างกับคนใจใหญ่ที่รู้ความสามารถของตัวแล้วทำเต็มความสามารถเลย ทำโดยไม่ออมกำลัง เมื่อทำไปแล้ว ผลประโยชน์นั้น เกิดแก่ตัวเองก็ยินดี คนอื่นพลอยได้ประโยชน์ด้วยก็เต็มใจให้เขาได้อย่างนี้ เรียกว่าคนใจใหญ่         เรามาเป็นคนใจใหญ่เหมือนภูเขา ใจกว้างเหมือนมหาสมุทรกันดีกว่า เพื่อว่าจะได้ใช้ความสามารถที่เรามีอยู่ ทำคุณประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติอย่างเต็มที่ เราลงมือทำทั้งทีทำอะไรก็ขอให้ทำเต็มกำลัง ไม่ใช่ทำอย่างออมกำลัง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

“ผิด” กับ “ชั่ว”..ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร

คำถาม:  ผิดกับชั่ว มันต่างหรือเหมือนกันอย่างไรครับ? คำตอบ:   ผิด คือ สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความประมาท พลาดพลั้งไม่ได้ตั้งใจแล้วเกิดความเสียหายขึ้น         ชั่ว คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดแล้วยังฝืนทำ นี่เป็นคำตอบที่สั้นที่สุดในเชิงปฏิบัติ         มีข้อคิดที่ขอฝากเพิ่มเติม คือ ถ้าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม แล้วรู้ตัวด้วยว่าจะต้องตามมาตำหนิตัวเองได้ในภายหลัง ก็อย่าไปทำ เพราะมันชั่ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทารุณนะ ถ้ามีใครเขามาด่าเราหรือติเตียนเราด้วยความเข้าใจผิด เราไม่อยากฟังเดินหนีเสียมันก็จบ แต่ถ้าเราไปทำความผิดจริง แม้ไม่มีใครเห็น เราก็จะมานั่งตำหนิตัวเองอยู่นั่นแหละ         “แหม…ไม่น่าไปทำเลย ทำไมเราถึงได้โง่อย่างนี้ ทำไมเราถึงเลวอย่างนี้ หลวงพ่อ หลวงพี่ ก็ห้ามแล้วว่าอย่าทำ” แม้ที่สุด คุณพ่อคุณแม่ก็เตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าทำ แต่ก็อุตริฝ่่าฝืนดึงดันไปทำเข้า นึกขึ้นมาครั้งใด ก็ไม่สบายใจทุกทีไป อย่างนี้เรียกว่า ติตัวเอง         ถ้าคนอื่นๆ ติเราๆ ไม่อยากฟัง ไม่เดินหนีก็เอามืออุดหูเสียก็ได้ แต่พอเราไปทำความชั่วเข้าเอง ความชั่วนั้นมันจะตามไปหลอนอยู่ในใจของเรานั่นแหละ ไม่เลิกรา ใจเรามันติตัวเองไม่รู้จะหนีไปไหน มันก็ทุรนทุรายเหมือนอะไรรู้ไหม ขออภัยเถอะมีอาการเหมือนสุนัขหัวเน่าหนอนไชเต็มหัว อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข พอหนอนไชหัวกระดุบกระดิบสุนัขมันเจ็บก็วิ่งอ้าวไป เจอโคนไม้นึกว่าโคนไม้ร่มเย็นดีน่าจะสบาย …

“ผิด” กับ “ชั่ว”..ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร Read More »

วิธีหายเครียดที่แท้จริง

คำถาม:  ทำอย่างไรจึงจะหายเครียดได้อย่างแท้จริง และเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ? คำตอบ:  วิธีคลายความเครียดที่ดีที่สุด คือ การฝึกสมาธิ(Meditation)เป็นประจำ แต่คนส่วนมากมักจะหาวิธีคลายความเครียดด้วยการไปดูหนังดูละครบ้าง ใช้ยาระงับประสาทคลายความเครียดบ้าง บางทีก็เล่นไพ่หวังจะคลายความเครียดบ้าง         การทำอย่างนี้เป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุด กลับกลายเป็นการสะสมความเครียดลึกๆ เอาไว้ในใจ เช่น การดูหนังดูละคร นอกจากเสียทรัพย์แล้ว ในบางครั้งถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีไปดูเรื่องที่ไม่สมควรเข้า เช่น เรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมต่างๆ ก็จะยิ่งเพิ่มความเครียด ความขุ่นมัว ความหยาบของใจเข้าไปอีก         การใช้ยาระงับประสาทก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ระวัดระวังก็จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน ประสิทธิภาพการคิดต่ำลง แม้ที่สุดการพนันแบบเล่นๆ ไม่เอาเงินเอาทองกัน ก็ไม่ควรเพราะเป็นการเพิ่มความเครียดอีกรูปแบบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งอาจเพาะนิสัยมีเหลี่ยมมีคูเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้         วิธีคลายความเครียดที่ถูกต้อง จะต้องมีผลให้การทำงานทางจิตมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทนต่อความเครียดได้ เมื่อถึงเวลาใช้ความคิด ก็คิดได้นาน คิดได้ต่อเนื่องโดยไม่มีอาการอ่อนล้า คิดได้ลึกซึ้งละเอียดลออ รอบคอบ ซึ่งวิธีคลายเครียดที่จะให้ได้ผลอย่างนี้ มีอยู่วิธีเดียว คือ การทำสมาธิ         การทำสมาธิมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือ ทุกคืนก่อนนอนให้นั่งในท่าที่สบายที่สุด อาจจะเป็นนั่งเก้าอี้ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิก็ได้ แต่ไม่ควรนั่งพิง แล้วก็หลับตานิ่งๆ …

วิธีหายเครียดที่แท้จริง Read More »

ความรักเป็นเรื่องหวังดีบริสุทธิ์หรือกิเลส

คำถาม: นมัสการหลวงพ่อที่เคารพสูงสุด ลูกขอถามว่าความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส? คำตอบ: ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์ แต่ถ้ารักชาวบ้าน ยังต้องถามต่อว่ารักแบบไหน ถ้าเป็นความรักความสงสาร โดยไม่มีราคะความใคร่เจือปน เขาเรียกว่า เมตตา รักแบบนี้พอใช้ได้นะ         หากรักเพราะมีราคะ คือรักแบบอยากให้เขามาอยู่ด้วยใกล้ๆ หรือตามเขาต้อยๆ ไป เข้าทำนองไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวไม่ลงคอ รักแบบนี้ความจริงไม่ใช่หวังดี หรือบริสุทธิ์หรอก คิดจะผูกเขาไว้กับตัวหรืออยากให้เขาผูกเราไว้         สิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องผูกไว้หรือจูงไปเขาเรียกอะไร? เพราะฉะนั้นถ้าไปรักใครแบบนี้ให้รีบถอนตัวออกมาเสียเถอะนะ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ไม่ต้องไปรักใครหรอก นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วจะหายโง่เอง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์

คำถาม: หลวงพ่อคะ ทำไมจึงว่า “ความรักเป็นความทุกข์” คะ? คำตอบ: ความรัก โดยเฉพาะความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล เพราะเมื่อความรักเกิดขึ้นในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือ ยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากน้ำตา         เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรัก ก็ไม่ต้องเสียน้ำตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือ เมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำให้เป็นทุกข์อยู่ดี         ตั้งแต่โบราณกาลมา หญิงชายคนใดสามารถครองตัวเป็นโสดหรือออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ มักได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เพราะอย่างน้อยที่สุด แม้จะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องประสบกับความทุกข์จร คือทุกข์ที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ การประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความทุกข์เหล่านี้หมุนเวียนกันเข้ามาให้เผชิญทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็น         ในพระพุทธศาสนา จึงสรรเสริญคนอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตว่า เป็นผู้ฉลาดเลี่ยงทุกข์ และยิ่งกว่านั้นคนโสดยังมีโอกาสสร้างบุญบารมีแสวงหาความสุขทางธรรมได้โดยสะดวกอีกด้วย …

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์ Read More »

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง

คำถาม: หลวงพ่อคะ คนเราจะสอนตัวเองอย่างไรจึงจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงคะ? คำตอบ: คนเราจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ต้องเข้าใจธรรมชาติของชีวิต หรือมีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิตเสียก่อน เช่น         1. ชีวิตตายแล้วไม่สูญ ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลสเข้านิพพาน ตายแล้วก็ยังต้องกลับมาเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่เมื่อไรหมดกิเลสเข้านิพพานแล้ว จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์อีก         2. ความดีความชั่วที่ทำเอาไว้นั้นไม่สูญเปล่า ยังตามให้ผลอีกแม้ชาติหน้า คือ ถ้าทำดี ความดีก็ตามคุ้มครองให้ผลเป็นความสุข เหมือนเงาติดตามตัวให้ความร่มเย็นตลอดไป ส่วนความชั่วเมื่อทำลงไปก็ให้ผลเป็นความทุกข์ เหมือนวงล้อเกวียนที่ตามบดขยี้รอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปตลอดทาง เหมือนคำโบราณว่า “กงเกวียนกำเกวียนไม่หนีไปไหน” พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า         “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าคนมีใจชั่วเสียแล้ว จะพูดหรือทำก็พลอยชั่วไปด้วย เพราะการพูดชั่ว ทำชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตามสนองเขา เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปฉะนั้น.”         3. นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ข้อนี้อย่าสงสัย ขอเพียงขยันนั่งสมาธิมากๆ ไม่ช้าก็จะเห็นว่านรก-สวรรค์มีจริง เรื่องนี้ไม่ใช่มาพูดลอยๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่ามีจริง หลวงปู่ หลวงตา นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็พิสูจน์แล้วว่ามีจริง คนที่ยังไม่เห็น ก็เพราะยังไม่ได้พิสูจน์ ยังไม่ได้ฝึกสมาธิจริงๆ จังๆ อยากให้ทุกคนไปเรียนรู้วิธีพิสูจน์เสียเร็วๆ จะได้หายสงสัย ครูบาอาจารย์ผู้มีความรู้มีอยู่นะ รีบไปขอเรียนจากท่านเสีย …

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง Read More »

ทำอย่างไร เมื่อถูกใส่ความ

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้าเราถูกใส่ความ เราควรจะทำอย่างไรดีครับ? คำตอบ: นักสู้ เขามีหลักในการต่อสู้อยู่ 3 ประการ พูดย่อๆ คือ ไม่หนี ไม่สู้ ไม่รู้ไม่ชี้ ดังนั้น เมื่อถูกใส่ความ สิ่งที่เราจะต้องทำ คือ         1) ไม่ท้อแท้หนีหน้าลาออก เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะกลายเป็นว่า เราทำความผิดจริง เป็นคนชั่วคนเลวจริง คนชั่วทั้งหลายเมื่อใส่ความสำเร็จง่ายๆ ก็จะได้ใจ จะยิ่งใส่ความคนดีๆ ให้เดือดร้อน โดยหวังว่าเมื่อคนดีๆ เหล่านั้นลาออก เขาก็จะเข้ามาครองอำนาจ ครองบ้านครองเมืองแทน ความยุ่งยากเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นมากมายในสังคม เพราะฉะนั้น เมื่อถูกใส่ความ เราอย่าเป็นคนขี้รำคาญ ขี้น้อยใจ สรุปแล้วคืออย่าหนี         2) ไม่สาดโคลนเข้าใส่กัน เมื่อถูกใส่ความแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ความกลับ มิฉะนั้นจะหาข้อยุติไม่ได้ ซ้ำยังจะเดือดร้อนไปทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนบริสุทธิ์ก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วยกลายเป็นบาปติดตัวเราไปเสียอีก         3) ตั้งใจทำงานของเราไปเรื่อยๆ เมื่อมั่นใจว่าเราทำงานนั้นอย่างถูกต้องสุจริต ก็ให้ทำงานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความอดทน แต่ต้องมีข้อแม้ว่าต้องทำงานด้วยความรัดกุมเป็นพิเศษ เช่น เคร่งครัดในระเบียบวินัยมากขึ้น และมีการตรวจสอบควบคุมมากเป็นพิเศษ แม้งานจะล่าช้าไปบ้างก็ต้องยอมรับ         คนโดยทั่วไปเมื่อถูกว่าร้ายมักจะหวั่นไหว …

ทำอย่างไร เมื่อถูกใส่ความ Read More »

ข้อแนะนำในการครองชีพเมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ

คำถาม: ในขณะนี้ ครูบาอาจารย์กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะมีภาษีสังคมคอยเบียดเบียน รายได้อย่างอื่นไม่มี เงินเดือนน้อยไม่พอใช้ ต้องประสบปัญหาหนี้สินรุงรังกันทั้งนั้น โดยเฉพาะครูภาคอีสาน หลวงพ่อจะมีวิธีแนะนำในการครองชีพอย่างไรครับ? คำตอบ: หลวงพ่อเองเมื่อเป็นฆราวาส ก็เจอกับปัญหานี้เหมือนกัน ตัวเองแก้ไม่ได้ โยมแม่เลยมาแก้ให้ แล้วก็แก้สำเร็จด้วย เมื่อก่อนจะบวชก่อนจะเข้าวัด หลวงพ่อก็มีรายได้มาก ได้เดือนละหมื่นกว่าบาท ใช้คนเดียวด้วย แต่ว่าไม่พอใช้ วันหนึ่งโยมแม่ก็เรียกไปคุยเรื่องการใช้เงิน ท่านว่าอย่างนี้        “ลูกเอ๊ยรายได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเหลือเท่าไหร่” ก็เลยเผลอเถียงไปว่า “โธ่แม่…ได้มากมันก็เหลือมาก ได้น้อยมันก็เหลือน้อย” แม่ก็ตอบกลับ “ลูกเอ๊ยในโลกนี้ หลายๆ คน ได้มาก แต่เหลือน้อย หรือไม่เหลือ ในขณะที่อีกหลายๆ คนเขา ได้น้อย แต่เหลือมาก” เสร็จแล้วแม่ก็ขยายความ “ลูกเอ๊ย…ได้มากแล้วเหลือน้อยเหมือนเอาเข่งหรือเอาชะลอมตักน้ำ เมื่อตอนเข่งอยู่ในน้ำ ชะลอมอยู่ในน้ำน่ะ น้ำเต็มเข่งนะลูก แต่พอยกขึ้นมากลับเหลือแต่เข่ง น้ำไม่มี         ส่วนที่ได้น้อยเหลือมากนั้น ก็เหมือนเอากะลาหรือขัน หรือช้อนคันเล็กๆ แต่ว่าไม่รั่วไปตักน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำน่ะน้ำก็เต็มกะลาหนึ่ง ขันหนึ่ง ช้อนหนึ่ง แต่ยกขึ้นมาแล้ว ก็ยังมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง         …

ข้อแนะนำในการครองชีพเมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ Read More »

อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม

คำถาม: หลวงพ่อคิดว่า อะไรเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมครับ? คำตอบ: พระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม มีแต่คนเรานี่แหละที่เสื่อมจากพระพุทธศาสนา สาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื่อมก็คือ คนพาล ทั้งพาลภายนอกและพาลภายใน         1) พาลภายนอก ได้แก่ คนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เขาจะนับถือศาสนาอื่นหรือไม่ก็ตาม แต่เขามีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา ในยามปกติก็พยายามกล่าวร้ายป้ายสีพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ว่าเลวอย่างนั้นอย่างนี้ หากเขามีโอกาส ก็จะบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้คนอื่นเข้าใจไขว้เขว คนพาลประเภทนี้ คอยจ้องหาโอกาสทำลายพระพุทะศาสนาอยู่แทบจะทุกวันไป และก็มีจำนวนมากด้วย คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา         2) พาลภายใน ได้แก่ ชาวพุทธที่ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความคลางแคลงสงสัยในการตรัสรู้ของพระองค์ ไม่เคารพในพระธรรม คือไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง ไม่เคารพในพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่เคารพในการฝึกสมาธิ(Meditation)เพื่อทำให้จิตใจสงบ เมื่อขาดความเคารพอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทุกประการดังกล่าวนี้ เขาก็จะเป็นคนพาลภายในของพระพุทธศาสนา ตัวเขาเองก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการเป็นชาวพุทธเลย         เมื่อเป็นเช่นนี้นานไป เขาก็จะไม่เห็นคุณค่าในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น เมื่อคนพาลภายนอกเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีการต่างๆ ก็จะไม่สามารถปกป้องพระพุทธศาสนาได้ เพราะตัวเองก็ขาดความเคารพในพระศาสนาอยู่แล้ว เมื่อขาดความเคารพก็จะไม่มีใจในการศึกษาหาความรู้ให้ถ่องแท้ ดีไม่ดีตกเป็นเครื่องมือของคนพาลภายนอกมาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง         เราลองมาพิจารณาตนเองดูเถอะว่า ตัวเรานั้นบัดนี้ยังเป็นคนพาลอยู่หรือเปล่า และเราได้ทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้วหรือยัง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ …

อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม Read More »