หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา

DMC.TV ที่นี่

บารมี 10 ทัศ คืออะไร

คำถาม:  บารมี 10 ทัศ คืออะไรคะ? คำตอบ:  บารมี 10 ทัศ ก็คือความดี 10 ประการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยที่ยังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงคัดเลือกไว้เป็นข้อปฏิบัติอย่างยิ่งยวด เพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานเร็วขึ้น ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี         สำหรับพวกเราชาวพุทธ แม้ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างยิ่งยวด ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันเท่าพระองค์ แต่ก็ควรต้องทำอย่างจริงจังสม่ำเสมอให้ครบทุกข้อ ในระดับที่สามารถทำได้คือ         1. ทานบารมี คือตั้งใจตักบาตรทำบุญ ให้ได้ทุกวัน         2. ศีลบารมี อย่างน้อยศีล 5 ต้องตั้งใจรักษาให้ได้ทุกวัน ถ้ามั่นคงขนาดยอมเสียอวัยวะ ยอมเสียทรัพย์ ยอมเสียชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อรักษาศีลไว้ ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะได้ชื่อว่าเจริญรอยตามพระบรมครูอย่างแท้จริง         3. เนกขัมมะบารมี คือการยั้งใจไม่ให้เกี่ยวข้องกันในเรื่องเพศ ถ้าอยู่ทางโลกก็เป็นคนโสดไปตลอดชีวิต หรือบางคนแต่งงานแล้วก็แบ่งเวลาถือศีล 8 ทุกวันพระ ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติเนกขัมมะบารมีอย่างอ่อนๆ เหมือนกัน …

บารมี 10 ทัศ คืออะไร Read More »

ธรรมะบทที่ควรนำไปสอนประชาชนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด

คำถาม:  ท่านคิดว่าธรรมะบทไหน ในหนังสือนวโกวาทที่เหมาะสมสำหรับนำไปสอนประชาชนให้นำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด? (พระเรียนถามมา) คำตอบ:  ในหนังสือนวโกวาท ความจริงได้รวบรวมหลักธรรมต่างๆ ไว้ดีมาก แต่ว่าคนโดยทั่วไป รวมทั้งพระภิกษุสามเณรส่วนมากยังไม่ได้มีโอกาสค้นคว้ากันอย่างจริงจัง หรือบางทีก็ไปทึกทักว่าจนเองเข้าใจดีจริงๆ แล้วที่นั่งกันอยู่นี้กล้าพูดได้เลยว่า เราไม่ได้เข้าใจอะไรนักหนา ไม่ใช่ดูถูก ผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ยังไม่เข้าใจดีนัก แต่ความเข้าใจ พื้นๆ พอมี         ผมจะยกตัวอย่าง เมื่อผมบวชได้ประมาณพรรษาที่ 6 ที่ 7 ตลอดเวลาผมก็คิดว่าผลเข้าใจธรรมะเรื่อง หิริโอตตัปปะ มาอย่างดี แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงในวันหนึ่ง เมื่อรู้ตัวเองว่าเรายังไม่รู้เรื่องหิริโอตตัปปะ ครับไม่รู้ คือรู้เหมือนกัน แต่มันตื้นเกิดไป เจาะไม่ถึงแก่น         พอพรรษาที่ 6 ที่ 7 เจอเรื่องเข้าจึงสะดุ้งตกใจ ตายจริง เราไม่รู้ว่าเรายังไม่รู้ ระวังคำนี้ให้ดี คนส่วนมากในโลกไม่รู้ว่า เรายังไม่รู้ คิดว่าไอ้นั่นก็รู้แล้ว ไอ้นี่ก็รู้แล้ว ไม่มีที่ไม่รู้ พอเจอเรื่องนั้นเข้าถึงได้ ร้องอ๋อ.. ตอนนี้รู้แล้ว รู้ว่ายังไม่รู้ครับ ไม่ใช่ว่ารู้หมดโลก         เพราะฉะนั้นท่านที่ได้นักธรรม ได้บาลี …

ธรรมะบทที่ควรนำไปสอนประชาชนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด Read More »

คนที่ทำมาหากินไม่ขึ้นเกิดจากกรรมใด

คำถาม:  ผู้ที่ทำมาหากินไม่ขึ้น นอกจากจะเกิดจากกรรมในปัจจุบันชาติแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่กรรมในอดีตชาติส่งผลหนุนมาด้วย? คำตอบ:  เป็นไปได้ แต่ก่อนอื่น อย่าเพิ่งไปห่วงว่ากรรมในอดีตชาติเป็นอย่างไร เพราะยังไงก็ต้องทำมาหากิน ไม่ใช่คิดว่า เรามันทำอะไรไม่ค่อยมีโชค ชาติที่แล้วเราคงทำไม่ดีไว้ เพราะฉะนั้นพ่อนอนดีกว่า ว่าแล้ววันๆ พ่อก็ไม่ทำอะไรเลย รอให้ชาวบ้านเขาแจกให้กิน อย่างนี้มันก็ไม่ใช่วิสัยของคนนะ         เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ถ้าทำมาหากินไม่ค่อยขึ้น ก็ยิ่งต้องขยันให้มากเป็น 5 เท่า 10 เท่า แล้วก็มีความสังเกต มีความรอบคอบให้มากยิ่งขึ้น ส่วนในอดีตชาติจะทำมายังไง ถ้าเราไม่เข้าถึงธรรมะจริงๆ เราก็ไม่ทราบ         เพราะฉะนั้นให้ขยันทำมาหากินเรื่อยไป แล้วระหว่างที่ทำมาหากินก็ตั้งใจให้ทานไป ทำทานไว้ให้เป็นบุญ เป็นทุนของเรา แม้จะยังไม่ออกดอกออกผลในชาตินี้ ก็ยังชื่นอกชื่นใจ เหมือนได้ร่มเงา อย่ารอให้รวยเสียก่อนค่อยทำบุญ มันจะสายเกินไป ทำไปเถอะลูก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมคนที่เล่นการพนัน ถึงแม้จะได้เงินมากแต่ไม่เคยรวยจริงๆ สักที?

คำถาม: หลวงพ่อครับ ทำไมคนที่เล่นการพนัน ถึงแม้จะได้เงินมากแต่ไม่เคยรวยจริงๆ สักที? คำตอบ: คนเล่นการพนันไม่เคยรวยจริง เพราะว่า ก่อนที่เขาจะได้เงินจากการพนัน เขาได้ผลาญสิ่งที่มีค่าเกินกว่าที่เงินทั้งโลกจะซื้อได้ไปแล้ว คือ 1. ผลาญความเป็นคนของตัวเอง ความเป็นคนจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความซื่อตรง ทันทีที่เราเล่นการพนัน ความมีเหลี่ยมมีคูมันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ความซื่อสัตย์สุจริตจะหายไป เพราะเมื่อมีการพนันเกิดขึ้นที่ไหน การคดโกงจะเกิดขึ้นที่นั่น ถ้าครั้งใดในวงพนันไม่มีการโกงก็ขอให้เข้าใจว่า ไม่ใช่ว่าไม่คิดโกง แต่เป็นเพราะยังไม่มีโอกาสจะโกงต่างหาก 2. ผลาญปัญญา นักพนันเมื่อตอนที่เงินขาดมือ เขาจะมองเงินเหมือนเทพเจ้าที่สามารถบันดาลอะไรๆ ให้เขาได้ เขาลืมไปว่ายังมีอีกหลายๆ สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ครั้นพอเขาได้เงินมาแล้ว เนื่องจากเขารู้ดีว่าเงินเหล่านี้คงจะอยู่กับเขาไม่นาน อาจจะเสียการพนันหมดเนื้อหมดตัวไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเสียไปเขาจึงต้องรีบกินรีบใช้ รีบจ่ายเสียก่อนที่มันจะไปอยู่กับคนอื่น ของบางอย่างไม่ควรใช้ก็ใช้ ไม่ควรจ่ายก็จ่าย กลายเป็นคนฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักค่าของเงินตามความเป็นจริง ตอนนั้นเขาเห็นเงินเหมือนเศษกระดาษ ครั้นเงินหมดเขาก็หิวเงินอีกต่อไป กลายเป็นว่าเขาต้องหิวเงินทั้งชาติ ปัญญาที่มีอยู่แทนที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เอาไปคิดคดโกงเขา 3. ผลาญเวลา นักพนันเมื่อลงมือเล่น เขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แม้เวลาเขาก็ลืม ถึงคราวเสียก็จะยิ่งทุ่มเท หาทางเอากลับคืนมาให้ได้ ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่เลิก หรือกว่าจะเลิกก็ต้องรอให้เงินหมดเสียก่อน ถึงได้ก็ไม่รู้จักพอ วันเวลาก็ผ่านไปๆ เรื่อยๆ เสียงานเสียการอย่างอื่นโดยเขาไม่รู้ตัว …

ทำไมคนที่เล่นการพนัน ถึงแม้จะได้เงินมากแต่ไม่เคยรวยจริงๆ สักที? Read More »

ทำไมคนเล่นการพนันถึงไม่เคยรวยสักที

คำถาม:  ทำไมคนส่วนใหญ่จึงชอบทำผิดทั้งๆ ที่รู้คะ? คำตอบ:  การทำผิดทั้งๆ รู้มีอยู่ 3 ลักษณะด้วยกัน คือ         1. ทำผิดเพราะติดนิสัยมักง่ายมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งความผิดประเภทนี้ มักเป็นความผิดเล็กน้อย ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง เช่น เดินลัดสนาม ไม่ข้ามถนนตรงทางม้าลาย ทิ้งขยะไม่เลือกที่ ฯลฯ         2. ทำผิดเพราะหลงคิดว่า คนเราตายแล้วสูญ ชาติหน้าไม่มี เขามีความคิดว่า ความดีความชั่วที่ทำไว้ มีผลเฉพาะชาตินี้เท่านั้นเอง ฉะนั้นถ้าเขามีอำนาจหรือสามารถหลีกเลี่ยงได้ กฎหมายจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เขาก็จะไม่ถูกลงโทษ และไม่มีผลอะไร         คนทำผิดลักษณะนี้ถือว่าเป็นความผิดเนื่องจากขาด หิริโอตตัปปะ คือ ขาดความละอาย ขาดความเกรงกลัวต่อผลของบาป คนพวกนี้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองเก่ง เมื่อสามารถคดโกงเอาเปรียบคนอื่นได้ คนบางคนของในบ้านทั้งหมด ทั้งของกินของใช้ ล้วนแต่เป็นของที่โกงเขามาทั้งนั้น         3. ทำผิดเพราะขาดกำลังใจที่จำทำความดี ความผิดประเภทนี้ทำทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดกฎหมายและรู้ด้วยว่าบาป แต่ก็ทำ เพราะเขาไม่มีกำลังใจที่จะตัดใจไม่ให้ทำชั่ว และขาดกำลังใจที่จะทำความดี ปล่อยให้ความอยากมีอำนาจเหนือจิตใจ การแก้ไขคนทำผิดทั้งรู้ จะต้องปูพื้นฐานให้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ โดย         1). พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ …

ทำไมคนเล่นการพนันถึงไม่เคยรวยสักที Read More »

พอจะมีธรรมะแบบสรุปสั้นๆบ้างหรือไม่

คำถาม:  หลวงพ่อคะ ธรรมะทั้งหลายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมดนี้ มากมายเหลือเกิน แต่ที่สรุปลงให้สั้นๆ มีบ้างไหมคะ? คำตอบ:  พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ธรรมะทั้งหมดที่พระองค์ตรัสไว้ตลอด 45 พรรษา รวมแล้วได้ 84,000 ข้อ มีปรากฏในพระไตรปิฎก แต่เมื่อสรุปแล้วเหลือเพียง 1 ข้อ คือ ความไม่ประมาท ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัจฉิมโอวาท หรือโอวาทครั้งสุดท้าย ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีใจความว่า         “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจอันใดที่พระศาสดาแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ซึ่งกระทำเพื่อสาวกทั้งหลาย ด้วยความอนุเคราะห์เอ็นดู กิจทั้งหมดนั้น เราได้ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขาร ทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ขอเธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวง ให้ถึงพร้อมด้วยความมิประมาทเถิด”         จากคำสอนโดยสรุปของพระองค์ เท่ากับเตือนสติให้พวกเราทุกคนได้รู้ว่า ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลส และตราบที่เรายังไม่สามารถทำใจให้สงบเข้าถึงธรรมกาย ทำให้หมดกิเลสเข้าถึงพระนิพพานได้แล้ว ตราบนั้นเราก็ยังเป็นผู้ประมาทอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือคฤหัสถ์ต่างกันแต่ว่าใครจะประมาทมากน้อยต่างกันอย่างไร         แล้วถ้าจะทำความไม่ประมาทให้เกิดแก่ตัวเอง ก็จะต้องเริ่มตั้งแต่ละชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งการกระทำทั้ง 3 ประการนี้ ถ้าทำให้สมบูรณ์ โดยเต็มกำลังความสามารถของเราแล้ว …

พอจะมีธรรมะแบบสรุปสั้นๆบ้างหรือไม่ Read More »

คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆจะเป็นอย่างไรบ้าง

คำถาม:  คนที่ชอบคิดถึงความตายบ่อยๆ จะเป็นอย่างไรบ้างคะ? คำตอบ:  การนึกถึงความตายบ่อยๆ ก็มี 2 กรณี         กรณีที่ 1 นึกไม่เป็น นึกว่าไม่ช้าก็ตาย เลยไม่อยากทำอะไร อยู่ไปวันๆ นอนรอความตายอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำความดี         กรณีที่ 2 นึกเป็น นึกว่าอย่างไรเสียก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นก่อนตายจะต้องใช้ชีวิต ใช้ร่างกายของเรานี้ให้คุ้มค่า จึงทุ่มชีวิตจิตใจทำความดี ให้มีความดีติดตัวไปมากๆ         ทำดีก็ตาย ทำชั่วก็ตาย ขี้เกียจก็ตาย ขยันก็ตาย ฉลาดก็ตาย โง่ก็ตาย เศรษฐีก็ตาย ขอทานก็ตาย ทุกคนต้องตายหมด แต่ความตายไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต ทุกชีวิตเกิดมามีเป้าหมายเพื่อสร้างบุญบารมี เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่หมดกิเลสก็ควรทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงวันตาย คิดอย่างนี้ และทำอย่างนี้ย่อมดีที่สุด โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน

คำถาม: หลวงพ่อคะ เราควรมีหลักยึดมั่นอย่างไร เพื่อเป็นการเตรียมตัวเผชิญกับความทุกข์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน? คำตอบ: ความทุกข์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาได้ ก็เนื่องจากตัวของเราเอง คนโดยมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีความทุกข์ประจำชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยอยู่ 3 ประการ คือมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว ยังไม่พอ ยังตะเกียกตะกายไขว่คว้า แสวงหาสมบัตินอกกายอันได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง บุตร ภรรยา สามีเอามาเป็นของตัวอีก เพราะหลงเข้าใจผิดคิดว่าจะทำให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป         แต่เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ในตัวของเราก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดาเช่นกัน เพราะฉะนั้นทันทีที่ได้สิ่งนั้นมาอย่างหนึ่งเขาก็ได้พบได้เผชิญความทุกข์ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ของสิ่งที่ตนรักใคร่ผูกพันเพิ่มอีกเท่าตัว และถ้าสิ่งที่หลงยึดมั่นหวงแหนนั้น มีอันต้องถึงความพินาศย่อยยับไป โดยไม่คาดฝัน เขาจึงต้องประสบกับความทุกข์เป็นทับทวี         คนที่จะเผชิญกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันได้ ต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ โดยสร้างคุณสมบัติเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในตน คือ         1) รู้จักเป้าหมายของชีวิต คือรู้ว่าที่เราเกิดมานี้ ไม่ใช่เพื่อมาสนุกสนานเฮฮา แต่เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญบารมี แสวงหาหนทางพ้นทุกข์ จึงไม่ควรเสียเวลาไปสะสมสมบัตินอกกาย ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เข้ามาไว้จนเกินความจำเป็น ควรมุ่งสั่งสมความดีให้ถึงที่สุดจะได้หมดกิเลส ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย พ้นจากความทุกข์ในวัฏฏสงสาร ได้เข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในที่สุด         …

เมื่อต้องเผชิญความทุกข์ไม่คาดฝัน Read More »

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม

คำถาม:  เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะซื้อของด้วยเงินผ่อน? คำตอบ:  ความสุขอีกอย่างหนึ่งของคน อยู่ที่การไม่มีหนี้ ถ้ามีหนี้เมื่อไร พอเจอหน้าเจ้าหนี้เท่านั้นแหละเดินหน้าเหี่ยวเลย กลัวถูกทวงหนี้ แม้ที่สุดนอนก็ไม่ค่อยจะหลับ เหมือนหนี้มันมาค้ำตา         การซื้อของเงินผ่อนจึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้าง ในกรณีที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เช่น ไม่มีบ้านจะอยู่ การเคหะฯ เขามีบ้านให้ซื้อเงินผ่อน เขามีหลักการดี และเป็นองค์กรของรัฐบาล เชื่อว่าไม่โกงเรา แล้วเราก็มีความสามารถพอที่จะผ่อนได้ ก็ผ่อนไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชาตินี้ไม่มีที่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าไปผ่อนบ้านที่ใหญ่โตเกินเหตุ ก็ไม่สมควร ควรให้พอสมกับฐานะและรายได้ของตน         ของใช้อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน โซฟาชุดรับแขกในบ้านของเราไม่มี เพราะเรามันจนก็ใช้เสื่อไปก่อน ใครมาบ้านฉันก็ให้รู้ว่าฉันใช้เสื่อ ถ้าอยากนั่งโซฟาดีๆ ช่วยซื้อมาฝากด้วย ยินดีรับ…อย่างนี้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ต้องนอนผวา อย่าไปหน้าใหญ่นัก อย่าเพาะต้นหนี้ให้ดอกเบี้ยบานท่วมต้นโดยไม่จำเป็นจริงๆ         โดยธรรมชาติสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตมี 4 อย่างด้วยกัน คือ         1. ข้าวปลาอาหาร ถ้าไม่กินก็ตาย ไม่มีแรงทำงาน ทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย ใครจะซื้อผ่อนข้าวกินก็ไม่ว่า         2. เสื้อผ้า ใครจะซื้อผ่อนเสื้อผ้าต้องคิดดูก่อนนะ ถ้าในกรณีเราเข้างานใหม่ๆ …

ซื้อของเงินผ่อนดีไหม Read More »

ถ้ามีใครว่าร้ายพระรัตนตรัยจะทำอย่างไรดี

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้ามีใครว่าร้ายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ฟังจะทำอย่างไรดีครับ? คำตอบ: ก่อนอื่น อย่าเพิ่งโกรธเขา แต่ควรให้ความสงสารเขามากกว่า เพราะเขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย และกำลังหาบาปด้วยปากแท้ๆ ถ้ามีโอกาสก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาทราบความจริง จะได้ล้มเลิกความเป็นผิดนั้นเสีย คือ ต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ช่วยแก้ข้อสงสัยต่างๆ ให้เขาด้วยเหตุผล เพื่อปลูกฝังความเห็นถูกให้ เขาจะได้ไม่ผิดพลาดอีกต่อไป แต่การที่เราจะทำอย่างนี้ได้นั้น เราเองจะต้องประพฤติตนดังนี้         1) ฝึกตัวเองให้เป็นคนมีใจหนักแน่น มั่นคง แต่ความคิดต้องไม่คับแคบ แบบตีกรอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำใจเปิดกว้าง อดทน ต่อการว่าร้ายจากผู้ที่เราหวังดี แล้วพยายามเข้าไปชี้ทางถูกให้ ซึ่งการจะกระทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน         2) ต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจจริงๆ จนสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ ในกรณีที่เรายังไม่สามารถแก้ความเห็นผิดให้แก่เขาได้ ให้พยายามชี้ชวนชักนำให้เขาไปหาผู้ที่มีความรู้ดีจริงๆ ให้ช่วยแก้ไขความเห็นผิดของเขา วิธีนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย         3) ประพฤติธรรมอย่างเคร่งครัด จนปรากฏผลออกมาเป็นบุคลิกภาพที่น่าเลื่อมใส เพื่อจะได้เป็นพยานแก่พระศาสนาว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น ส่งผลให้ชีวิตราบรื่นเป็นสุขได้จริง เป็นการทำให้ดู แทนการพูดปากเปล่า โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC …

ถ้ามีใครว่าร้ายพระรัตนตรัยจะทำอย่างไรดี Read More »

แม่ไม่ให้มาวัด เพราะกลัวลูกจะบวชตลอดชีวิต

คำถาม: คุณแม่ห้ามไม่ให้มาวัดพระธรรมกาย เพราะกลัวจะบวชตลอดชีวิต จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรครับ? คำตอบ: ทำหน้าที่ในบ้าน หรือเรื่องการเรียนให้เรียบร้อย แล้วให้หมั่นมาวัดเรื่อยๆ คุณแม่ท่านบ่นว่าหนักๆ เข้า ไม่นานท่านก็จะเลิกว่าเองเพราะเรามาวัดเพื่อทำความดี มาฝึกนิสัยดีๆ ซึ่งไม่นานบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสได้         คุณพ่อ คุณแม่มีลูกใจบุญสุนทาน น่าจะดีกว่ามีลูกเป็นจิ๊กโก๋นะ ค่อยๆ พูดอธิบายให้ท่านฟังดีๆ ท่านจะได้เข้าใจและไม่กลัวผิดๆ อีก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร

คำถาม: จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร? คำตอบ: พยายามให้ตัวเองได้มีโอกาสมาวัดเสียก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปห่วงท่านเลย มาวัดทีแรกแม่ไม่ให้มา แต่นานๆ เข้าถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าแม่ก็ตามมาวัดด้วยเองแหละ         พระของวัดธรรมกายเกือบทุกรูปเจอปัญหานี้ หลวงพ่อยังจำได้ หลวงพี่มหาชิโตที่คุมการก่อสร้างของวัด ในปีแรกท่านยังไม่ได้บวช เพิ่งจบวิศวกรรมศาสตร์มาใหม่ๆ ท่านมาช่วยงานวัดอยู่ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แม่ก็ร้องไห้ จนพี่ชายพี่สาวมาตามตัวกลับ ท่านก็ดีไม่เถียงสักคำ แม่และพี่มาตามให้กลับก็ไปแต่งตัว เสร็จเรียบร้อยก็เดินตามกลับไป รุ่งขึ้นเช้าประมาณ 6 โมงหลวงพ่อไปเปิดประตูวัด เห็นท่านมาถึงพอดี ก็ถามท่านว่า “ทำไมกลับมาแล้วล่ะ” ท่านบอกว่า “เขามาตามผมกลับ ผมก็ไป แต่เขาไม่ได้ผูกขาผมไว้ ผมก็กลับมาใหม่” อีก 2-3 วันแม่ก็มาตามอีก ท่านก็ดี แต่งตัวเสร็จก็เดินตามแม่กลับไป รุ่งขึ้นก็มาแต่เช้า คราวนี้มาถึงตั้งแต่ตี 5 เลย ทั้งพ่อแม่และพี่มาตามกลับ 3-4 ครั้ง ท่านกลับไปแล้ว ก็กลับมาอีก ตอนหลังทางบ้านเลยเลิกตาม ตอนนี้ท่านบวชมาได้ประมาณ 10 พรรษาแล้ว ท่านไม่เคยเถียงพ่อแม่เลย ตำราเล่มนี้พระของเรานำมาใช้ได้ผลหลายรูป สร้างวัดมาได้ไม่ถึง  10 ปี มีผู้ตั้งใจบวชไม่สึกไปแล้ว 15 …

จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร Read More »

ความรักเป็นเรื่องหวังดีบริสุทธิ์หรือกิเลส

คำถาม: นมัสการหลวงพ่อที่เคารพสูงสุด ลูกขอถามว่าความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส? คำตอบ: ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์ แต่ถ้ารักชาวบ้าน ยังต้องถามต่อว่ารักแบบไหน ถ้าเป็นความรักความสงสาร โดยไม่มีราคะความใคร่เจือปน เขาเรียกว่า เมตตา รักแบบนี้พอใช้ได้นะ         หากรักเพราะมีราคะ คือรักแบบอยากให้เขามาอยู่ด้วยใกล้ๆ หรือตามเขาต้อยๆ ไป เข้าทำนองไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวไม่ลงคอ รักแบบนี้ความจริงไม่ใช่หวังดี หรือบริสุทธิ์หรอก คิดจะผูกเขาไว้กับตัวหรืออยากให้เขาผูกเราไว้         สิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องผูกไว้หรือจูงไปเขาเรียกอะไร? เพราะฉะนั้นถ้าไปรักใครแบบนี้ให้รีบถอนตัวออกมาเสียเถอะนะ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ไม่ต้องไปรักใครหรอก นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วจะหายโง่เอง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์

คำถาม: หลวงพ่อคะ ทำไมจึงว่า “ความรักเป็นความทุกข์” คะ? คำตอบ: ความรัก โดยเฉพาะความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล เพราะเมื่อความรักเกิดขึ้นในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือ ยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากน้ำตา         เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรัก ก็ไม่ต้องเสียน้ำตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือ เมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำให้เป็นทุกข์อยู่ดี         ตั้งแต่โบราณกาลมา หญิงชายคนใดสามารถครองตัวเป็นโสดหรือออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ มักได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เพราะอย่างน้อยที่สุด แม้จะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องประสบกับความทุกข์จร คือทุกข์ที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ การประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความทุกข์เหล่านี้หมุนเวียนกันเข้ามาให้เผชิญทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็น         ในพระพุทธศาสนา จึงสรรเสริญคนอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตว่า เป็นผู้ฉลาดเลี่ยงทุกข์ และยิ่งกว่านั้นคนโสดยังมีโอกาสสร้างบุญบารมีแสวงหาความสุขทางธรรมได้โดยสะดวกอีกด้วย …

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์ Read More »

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง

คำถาม: หลวงพ่อคะ คนเราจะสอนตัวเองอย่างไรจึงจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงคะ? คำตอบ: คนเราจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ต้องเข้าใจธรรมชาติของชีวิต หรือมีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิตเสียก่อน เช่น         1. ชีวิตตายแล้วไม่สูญ ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลสเข้านิพพาน ตายแล้วก็ยังต้องกลับมาเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่เมื่อไรหมดกิเลสเข้านิพพานแล้ว จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์อีก         2. ความดีความชั่วที่ทำเอาไว้นั้นไม่สูญเปล่า ยังตามให้ผลอีกแม้ชาติหน้า คือ ถ้าทำดี ความดีก็ตามคุ้มครองให้ผลเป็นความสุข เหมือนเงาติดตามตัวให้ความร่มเย็นตลอดไป ส่วนความชั่วเมื่อทำลงไปก็ให้ผลเป็นความทุกข์ เหมือนวงล้อเกวียนที่ตามบดขยี้รอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปตลอดทาง เหมือนคำโบราณว่า “กงเกวียนกำเกวียนไม่หนีไปไหน” พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า         “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าคนมีใจชั่วเสียแล้ว จะพูดหรือทำก็พลอยชั่วไปด้วย เพราะการพูดชั่ว ทำชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตามสนองเขา เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปฉะนั้น.”         3. นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ข้อนี้อย่าสงสัย ขอเพียงขยันนั่งสมาธิมากๆ ไม่ช้าก็จะเห็นว่านรก-สวรรค์มีจริง เรื่องนี้ไม่ใช่มาพูดลอยๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่ามีจริง หลวงปู่ หลวงตา นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็พิสูจน์แล้วว่ามีจริง คนที่ยังไม่เห็น ก็เพราะยังไม่ได้พิสูจน์ ยังไม่ได้ฝึกสมาธิจริงๆ จังๆ อยากให้ทุกคนไปเรียนรู้วิธีพิสูจน์เสียเร็วๆ จะได้หายสงสัย ครูบาอาจารย์ผู้มีความรู้มีอยู่นะ รีบไปขอเรียนจากท่านเสีย …

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง Read More »