หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา

DMC.TV ที่นี่

วิธีหายเครียดที่แท้จริง

คำถาม:  ทำอย่างไรจึงจะหายเครียดได้อย่างแท้จริง และเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ? คำตอบ:  วิธีคลายความเครียดที่ดีที่สุด คือ การฝึกสมาธิ(Meditation)เป็นประจำ แต่คนส่วนมากมักจะหาวิธีคลายความเครียดด้วยการไปดูหนังดูละครบ้าง ใช้ยาระงับประสาทคลายความเครียดบ้าง บางทีก็เล่นไพ่หวังจะคลายความเครียดบ้าง         การทำอย่างนี้เป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุด กลับกลายเป็นการสะสมความเครียดลึกๆ เอาไว้ในใจ เช่น การดูหนังดูละคร นอกจากเสียทรัพย์แล้ว ในบางครั้งถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีไปดูเรื่องที่ไม่สมควรเข้า เช่น เรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมต่างๆ ก็จะยิ่งเพิ่มความเครียด ความขุ่นมัว ความหยาบของใจเข้าไปอีก         การใช้ยาระงับประสาทก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ระวัดระวังก็จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน ประสิทธิภาพการคิดต่ำลง แม้ที่สุดการพนันแบบเล่นๆ ไม่เอาเงินเอาทองกัน ก็ไม่ควรเพราะเป็นการเพิ่มความเครียดอีกรูปแบบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งอาจเพาะนิสัยมีเหลี่ยมมีคูเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้         วิธีคลายความเครียดที่ถูกต้อง จะต้องมีผลให้การทำงานทางจิตมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทนต่อความเครียดได้ เมื่อถึงเวลาใช้ความคิด ก็คิดได้นาน คิดได้ต่อเนื่องโดยไม่มีอาการอ่อนล้า คิดได้ลึกซึ้งละเอียดลออ รอบคอบ ซึ่งวิธีคลายเครียดที่จะให้ได้ผลอย่างนี้ มีอยู่วิธีเดียว คือ การทำสมาธิ         การทำสมาธิมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือ ทุกคืนก่อนนอนให้นั่งในท่าที่สบายที่สุด อาจจะเป็นนั่งเก้าอี้ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิก็ได้ แต่ไม่ควรนั่งพิง แล้วก็หลับตานิ่งๆ …

วิธีหายเครียดที่แท้จริง Read More »

ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนพูดเป็น

คำถาม:  หลวงพ่อครับ ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าพูดเป็นครับ? คำตอบ:  คนพูดเป็น คือ คนที่คิดให้รอบคอบ มีสติก่อนที่จะพูด หรือกลั่นกรองคำพูดให้ละเอียดอ่อนเสียก่อน แล้วค่อยพูด เพราะคำพูดยิ่งละเอียดอ่อนลึกซึ้งเท่าไร ก็ยิ่งสามารถเจาะใจคนฟังได้ลึก และประทับใจได้นานเท่านั้น ตรงกันข้ามคำพูดยิ่งหยาบเท่าไร ก็ยิ่งระคายทั้งหู ระคายทั้งใจมากเท่านั้น         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักในการพูดไว้ถึง 5 ประการด้วยกัน คือ         1) พูดด้วยจิตเมตตา ทุกครั้งที่จะพูดกับใครก็ตาม ให้ถามตัวเองเสียก่อนว่า ที่เราจะพูดต่อไปนี้มีความปรารถนาดีต่อเขาหรือเปล่า ถ้ามีความปรารถนาร้ายก็อย่าพูด หรือถ้าคิดว่าพูดแล้วจะระคายหู ระคายใจ ทั้งคนฟังคนพูด ก็อย่าพูด         2) พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ถามตัวเองเสียก่อนว่า ถึงแม้เรามีความปรารถนาดี แต่พูดไปแล้วจะเป็นประโยชน์กับเขาบ้างหรือไม่ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ สู้ไม่พูดดีกว่า เสียเวลาเปล่า ดีไม่ดีจะกลายเป็นพูดเพ้อเจ้อ         3) พูดถ้อยคำที่ไพเราะ อย่างน้อยที่สุดภาษาพูดต้องไม่ระคายหูใคร แม้จะพูดหลานๆ ไม่เป็นก็ตาม คำพูดที่เป็นประโยชน์แต่ระคายหูนั้นไม่มีใครอยากฟัง ไม่อยากทำตาม ดีไม่ดีอาจเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เพราะไม่มีใครในโลกนี้ชอบให้ใครมาพูดข่มขู่ กระโชกโฮกฮาก คนพูดหยาบคาย ถึงแม้จะมีประโยชน์แต่ก็เหมือนกับเอาลวดหนามมาทะลวงหู มันยากที่ใครจะทนทานได้         4) พูดถ้อยคำที่เป็นจริง …

ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนพูดเป็น Read More »

ทำอย่างไรถึงจะเอาดีได้

คำถาม:  คนเราต้องทำอย่างไร ถึงจะเอาดีได้ครับ? คำตอบ:  จุดเริ่มต้นของคนเราที่จะเอาดีให้ได้ คนๆ นั้นต้องมีเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องเสียก่อน ถ้าไม่มีเป้าหมายชีวิตก็เอาดีไม่ได้ มันจะลอยๆ เหมือนเรือเดินสมุทรไม่มีเข็มทิศ แต่ถ้าตั้งเป้าหมายผิดที่ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก จริงๆ แล้วคนเราที่เกิดมานั้นมีเป้าหมายชีวิตอยู่ 3 ระดับคือ         1. เป้าหมายชีวิตบนดิน คือเป้าหมายชีวิตในชาติปัจจุบัน         2. เป้าหมายชีวิตบนฟ้า คือชีวิตในชาติหน้า         3. เป้าหมายชีวิตเหนือฟ้าขึ้นไป คือการเข้านิพพาน         1. เป้าหมายบนดิน หมายถึงความหวังเกี่ยวกับสถานภาพของชีวิตในชาติปัจจุบัน เช่น ชาตินี้เราต้องมีบ้านของตัวเอง มีที่ทำกินของตัวเอง ต้องสร้างยศถาบรรดาศักดิ์ สร้างเศรษฐกิจให้ดี ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องมี ถ้าต้องไปพึ่งคนอื่นก็จะเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป         เป้าหมายบนดินนี้ ถ้าเป็นเรื่องของประชาชน ก็คือช่วยกันตั้งประเทศ ประเทศนั้นก็จะแข็งแกร่ง ครั้งหนึ่งประเทศญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าหมายบนดินไว้อย่างชัดเจนว่า จะเป็นมหาอำนาจทางทหาร แล้วเขาก็เป็นได้จริงๆ ตอนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แล้วไม่นานก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะคิดผิด คิดว่าฉันเป็นมหาอำนาจจะรุกรานชาวบ้านอย่างไรก็ได้ เลยแพ้สงคราม เยอรมันก็ตั้งเป้าเหมือนๆ กัน ว่าจะเป็นมหาอำนาจทางทหาร ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง         พอสิ้นสงครามโลก ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมันก็ตั้งเป้าหมายอีกเราจะเป็นเจ้าแห่งเศรษฐกิจ …

ทำอย่างไรถึงจะเอาดีได้ Read More »

หลักธรรมในการแก้ปัญหาให้หมดสิ้นไป

คำถาม:  เมื่อคนเรามีปัญหา จะมีหลักธรรมประการใดบ้าง ที่จะยึดเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อที่จะแก้ปัญหาให้หมดสิ้นไป โดยที่หลวงพ่อคิดว่าเป็นหลักธรรมที่จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีที่สุด ขอให้อธิบายโดยละเอียดด้วยครับ? คำตอบ:  เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็ตาม ขอให้ทราบไว้เลยว่าปัญหาต่างๆ เหล่านั้น โดยทั่วไปมักจะมีสาเหตุมาจาก         1. เราผิดศีลไว้ในปัจจุบัน         2. เกิดจากการผิดศีลของเราในอดีต         3. ความเป็นคนประมาท ไม่รอบคอบ         ทั้ง 3 ประเด็นนี้ เป็นประเด็นใหญ่ อาจจะมีประเด็นย่อยอีกก็ไม่มากนัก แต่จะเกิดจากประเด็นไหนก็ตาม ปัญหาเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว จะแก้ไขได้หรือไม่ อย่าเพิ่งไปคิด ให้คิดว่าเราจะไม่สร้างปัญหาต่อ เพราะฉะนั้นศีลเราต้องแน่นเปรี๊ยะเลย ถ้ายังต้องทำมาหากินเป็นผู้ครองเรือนอยู่ ศีลจะต้องไม่ให้พลาด ถ้าเป็นพระภิกษุศีล 227 จะต้องรักษาไว้ให้ดีเยี่ยม ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาเป็นแม่ชี ศีล 8 ของตัวต้องรักษาให้ดีเยี่ยมเสียก่อน คือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก็ตาม ให้เช็คดูศีลของเราก่อนว่าดีแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ดีก็ไปทำให้ครบบริบูรณ์เสีย         ถึงคราวจะแก้ปัญหาอะไรให้สำเร็จตลอดรอดฝั่ง ต้องปรับตัวของเราให้มีมาตรฐานก่อน ไม่อย่างนั้นอุดรูนี้ก็จะไปรั่วรูโน้น อุดรูโน้นมันก็จะไปรั่วรูต่อๆ ไป แต่ว่าถ้าทันทีที่มีปัญหาเกิดขึ้นเรารีบปรับระดับความประพฤติของเราเสียก่อน การแก้ปัญหาต่างๆ จะง่ายเข้าเมื่อเรามีศีล 5 ครบบริบูรณ์ดี         …

หลักธรรมในการแก้ปัญหาให้หมดสิ้นไป Read More »

ถ้าเราถูกนินทาโดยไม่มีมูลความจริงควรทำอย่างไร

คำถาม:  หลวงพ่อครับ ถ้าเราถูกนินทาว่าร้ายโดยไม่มีมูลความจริงจะทำอย่างไรดีครับ? คำตอบ:  ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น จำไว้ว่ามีความจริงประจำโลกอยู่ข้อหนึ่ง คือว่า คนเราที่จะไม่ถูกนินทาว่าร้ายเลยไม่มี นะ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณธรรมความดีพร้อมบริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังมีคนกล่าวร้าย บางครั้งถึงกับมีคนมาเดินตามด่าตลอดทางที่พระองค์เสด็จออกบิณฑบาต         แต่พระองค์ก็ทรงเฉยเสีย ไม่ได้โต้ตอบอะไร เพราะถือว่าทองคำแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ยิ่งถูกไฟเผามากเท่าไรก็ยิ่งสุกเหลืองอร่ามมากขึ้นเท่านั้น ถึงใครจะนินทาว่าร้ายพระองค์อย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์เลวไปตามคำว่าร้ายเหล่านั้น         เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่คุณถูกกล่าวร้าย ก็ไม่ควรเดือดร้อนอะไร ทำตามอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำให้ดูเป็นแบบแผน คือก้มหน้าก้มตาทำความดีต่อไป ไม่สนใจต่อคำนินทาว่าร้ายนั้น เพราะยิ่งเรามัวห่วงกังวลอยู่ ก็ยิ่งทำให้สุขภาพจิตเสีย และเสียเวลาเปล่า         เมื่อเราตั้งใจทำความดีไม่หยุดยั้งเช่นนี้ วันหนึ่งคนทั้งโลกก็จะทราบความจริง เห็นความดีของเราเอง หรือแม้จะไม่มีใครเห็นตัวเราเองก็เห็นความดีของตัวเราเอง และเราก็ไม่มีอะไรจะตำหนิให้แหนงใจตนเอง มีแต่ความปีติยินดีทุกครั้งที่นึกถึงความดีที่เราเคยทำเอาไว้ โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ฝึกควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธ

คำถาม:  จะฝึกตัวอย่างไร จึงจะสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธได้ล่ะครับ? คำตอบ:  คนส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคที่เหมือนกันอยู่โรคหนึ่ง คือโรคขาดกำลังใจ ทำให้ใจไม่หนักแน่นมั่นคง พอมีอะไรไม่สบอารมณ์เข้าสักหน่อย ก็ควบคุมตัวเองไม่ค่อยจะได้ หน้าเขียวหน้าเหลืองขึ้นมาทีเดียว คนโกรธแล้วลุกขึ้นมาต่อยกันหรือด่าว่ากันนั้นไม่ยาก ใครก็ทำได้ แต่โกรธแล้วข่มใจไม่ให้โกรธ ไม่ให้ด่าได้ นี่สิยาก         ทีนี้ถ้าถามว่าวิธีฝึกกำลังใจวิธีที่ดีที่สุด ได้ผลที่สุดควรจะทำอย่างไร หลวงพ่อก็ขอตอบว่า ศีล 5 นั่นแหละ เป็นบทฝึกกำลังใจชั้นเยี่ยมทีเดียว สมัยที่หลวงพ่อเป็นนักเรียน ก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นที่มีกำลังใจสูง พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็อยากจะเล่นกีฬาชนิดที่จะสร้างกำลังใจให้สูงขึ้นไปอีก ลองเลือกประเภทกีฬาอยู่หลายอย่าง ในที่สุดก็หันมา เล่นมวยไทย มีดสั้น ดาบ 2 มือ ทั้งง้าวทั้งทวน พร้อมหมด         แต่ก็พบว่าแม้ฝึกจนชำนาญแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้กำลังใจสูงขึ้นเลย ตรงกันข้ามพอขัดใจขึ้นมาแล้วกลับยั้งตัวเองไม่ได้ ท่าง้าวท่าทวนที่ฝึกไว้ มันขยับเตรียมจะเล่นงานชาวบ้านเสียอีก แต่พอเข้าวัดลงมือรักษาศีลเท่านั้น รู้ได้ทันทีเลยว่ากำลังใจเกิดจากการรักษาศีลนี่เอง         เพราะฉะนั้น ใครที่ต้องการจะควบคุมตัวเองให้ได้ และเป็นคนที่มีกำลังใจดีด้วยละก็ ถือศีล 5 เสียนะ บทฝึกง่ายๆ สำหรับควบคุมตัวเองอยู่ตรงนี้ แต่เรามักมองกันไม่ค่อยจะออก โอวาท …

ฝึกควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธ Read More »

บารมี 10 ทัศ คืออะไร

คำถาม:  บารมี 10 ทัศ คืออะไรคะ? คำตอบ:  บารมี 10 ทัศ ก็คือความดี 10 ประการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยที่ยังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงคัดเลือกไว้เป็นข้อปฏิบัติอย่างยิ่งยวด เพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานเร็วขึ้น ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี         สำหรับพวกเราชาวพุทธ แม้ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างยิ่งยวด ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันเท่าพระองค์ แต่ก็ควรต้องทำอย่างจริงจังสม่ำเสมอให้ครบทุกข้อ ในระดับที่สามารถทำได้คือ         1. ทานบารมี คือตั้งใจตักบาตรทำบุญ ให้ได้ทุกวัน         2. ศีลบารมี อย่างน้อยศีล 5 ต้องตั้งใจรักษาให้ได้ทุกวัน ถ้ามั่นคงขนาดยอมเสียอวัยวะ ยอมเสียทรัพย์ ยอมเสียชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อรักษาศีลไว้ ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะได้ชื่อว่าเจริญรอยตามพระบรมครูอย่างแท้จริง         3. เนกขัมมะบารมี คือการยั้งใจไม่ให้เกี่ยวข้องกันในเรื่องเพศ ถ้าอยู่ทางโลกก็เป็นคนโสดไปตลอดชีวิต หรือบางคนแต่งงานแล้วก็แบ่งเวลาถือศีล 8 ทุกวันพระ ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติเนกขัมมะบารมีอย่างอ่อนๆ เหมือนกัน …

บารมี 10 ทัศ คืออะไร Read More »

ธรรมะบทที่ควรนำไปสอนประชาชนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด

คำถาม:  ท่านคิดว่าธรรมะบทไหน ในหนังสือนวโกวาทที่เหมาะสมสำหรับนำไปสอนประชาชนให้นำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด? (พระเรียนถามมา) คำตอบ:  ในหนังสือนวโกวาท ความจริงได้รวบรวมหลักธรรมต่างๆ ไว้ดีมาก แต่ว่าคนโดยทั่วไป รวมทั้งพระภิกษุสามเณรส่วนมากยังไม่ได้มีโอกาสค้นคว้ากันอย่างจริงจัง หรือบางทีก็ไปทึกทักว่าจนเองเข้าใจดีจริงๆ แล้วที่นั่งกันอยู่นี้กล้าพูดได้เลยว่า เราไม่ได้เข้าใจอะไรนักหนา ไม่ใช่ดูถูก ผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ยังไม่เข้าใจดีนัก แต่ความเข้าใจ พื้นๆ พอมี         ผมจะยกตัวอย่าง เมื่อผมบวชได้ประมาณพรรษาที่ 6 ที่ 7 ตลอดเวลาผมก็คิดว่าผลเข้าใจธรรมะเรื่อง หิริโอตตัปปะ มาอย่างดี แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงในวันหนึ่ง เมื่อรู้ตัวเองว่าเรายังไม่รู้เรื่องหิริโอตตัปปะ ครับไม่รู้ คือรู้เหมือนกัน แต่มันตื้นเกิดไป เจาะไม่ถึงแก่น         พอพรรษาที่ 6 ที่ 7 เจอเรื่องเข้าจึงสะดุ้งตกใจ ตายจริง เราไม่รู้ว่าเรายังไม่รู้ ระวังคำนี้ให้ดี คนส่วนมากในโลกไม่รู้ว่า เรายังไม่รู้ คิดว่าไอ้นั่นก็รู้แล้ว ไอ้นี่ก็รู้แล้ว ไม่มีที่ไม่รู้ พอเจอเรื่องนั้นเข้าถึงได้ ร้องอ๋อ.. ตอนนี้รู้แล้ว รู้ว่ายังไม่รู้ครับ ไม่ใช่ว่ารู้หมดโลก         เพราะฉะนั้นท่านที่ได้นักธรรม ได้บาลี …

ธรรมะบทที่ควรนำไปสอนประชาชนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด Read More »

คนที่ทำมาหากินไม่ขึ้นเกิดจากกรรมใด

คำถาม:  ผู้ที่ทำมาหากินไม่ขึ้น นอกจากจะเกิดจากกรรมในปัจจุบันชาติแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่กรรมในอดีตชาติส่งผลหนุนมาด้วย? คำตอบ:  เป็นไปได้ แต่ก่อนอื่น อย่าเพิ่งไปห่วงว่ากรรมในอดีตชาติเป็นอย่างไร เพราะยังไงก็ต้องทำมาหากิน ไม่ใช่คิดว่า เรามันทำอะไรไม่ค่อยมีโชค ชาติที่แล้วเราคงทำไม่ดีไว้ เพราะฉะนั้นพ่อนอนดีกว่า ว่าแล้ววันๆ พ่อก็ไม่ทำอะไรเลย รอให้ชาวบ้านเขาแจกให้กิน อย่างนี้มันก็ไม่ใช่วิสัยของคนนะ         เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ถ้าทำมาหากินไม่ค่อยขึ้น ก็ยิ่งต้องขยันให้มากเป็น 5 เท่า 10 เท่า แล้วก็มีความสังเกต มีความรอบคอบให้มากยิ่งขึ้น ส่วนในอดีตชาติจะทำมายังไง ถ้าเราไม่เข้าถึงธรรมะจริงๆ เราก็ไม่ทราบ         เพราะฉะนั้นให้ขยันทำมาหากินเรื่อยไป แล้วระหว่างที่ทำมาหากินก็ตั้งใจให้ทานไป ทำทานไว้ให้เป็นบุญ เป็นทุนของเรา แม้จะยังไม่ออกดอกออกผลในชาตินี้ ก็ยังชื่นอกชื่นใจ เหมือนได้ร่มเงา อย่ารอให้รวยเสียก่อนค่อยทำบุญ มันจะสายเกินไป ทำไปเถอะลูก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

จะโน้มน้าวใจเขาอย่างไรให้มาช่วยงานวัด

คำถาม: ทำอย่างไร จึงจะสามารถโน้มน้าวจิตใจให้คนสละเวลาในชีวิตมาช่วยงานวัดได้ครับ? (พระเรียนถามมา) คำตอบ: วิธีที่ดีที่สุด คือ เรา ซึ่งเป็นพระภิกษุจะต้องมีศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หรือใช้สำนวนว่า “เอาหัววางเขียงให้ได้ก่อน” ประพฤติปฏิบัติตนให้เขาเห็น แล้วมั่นใจว่าหลวงพ่อของเขา         1) หัวเด็ดตีนขาดไม่สึกแน่         2) หัวเด็ดตีนขาด ไม่ยอมทำอะไรที่ผิดวินัย คือเป็นต้นแบบให้เขาได้         3) ตั้งใจประพฤติอยู่ในพระธรรมวินัย หวังจะไปพระนิพพานอย่างเดียว         เมื่อชาวบ้านเขาเห็นเราเป็นแบบอย่างแล้ว เขาจะทำตาม แต่ถ้าตัวเราเองก็ยังสงสัยตัวเองว่า จะอยู่หรือจะสึก จะสึกหรือจะอยู่ นั่งถามตัวเองอย่างนี้ แล้วปล่อยวันคืนให้ล่วงไป เป็นเดือน เป็นปีละก็ไม่มีใครเขาศรัทธามาอยู่ด้วยหรอก         เมื่อวันที่ผมบวช วันที่ 19 ธันวาคม พุทธศักราช 2514 เช้าวันนั้น ตอนโกนผม ทันทีที่ผมปอยแรกตกไปที่พื้น ผมก็หยิบขึ้นมาแล้วก็อธิษฐานว่า “ถ้าเส้นผมปอยนี้ไม่กลับมาติดบนหัวอีก ชาตินี้ไม่สึก” แล้วตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องสึก นึกแต่จะลุยงานพระศาสนากันเรื่อยไป         ถ้าหลวงพ่อของเขาศรัทธาต่อพระศาสนาอย่างนี้ ก็ไม่ต้องห่วงว่าลูกศิษย์จะไม่ศรัทธาหลวงพ่อ แต่ว่าถ้าหลวงพ่อของเขายังเป็นประเภทว่าจะอยู่หรือจะสึก จะสึกหรือจะอยู่ ยังไม่มั่นใจตัวเอง ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ลูกศิษย์ที่มีศรัทธาสละชีวิตมาช่วยงานวัด ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้เอง …

จะโน้มน้าวใจเขาอย่างไรให้มาช่วยงานวัด Read More »

จะฝึกความอดทนและระงับอารมณ์โกรธได้อย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อครับ ผมไม่ค่อยมีความอดทนเลย ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร เวลามีเรื่องมากระทบความรู้สึกทีไร ผมแทบจะระเบิดเปรี้ยงปร้างเข้าใส่ พยายามระงับอารมณ์ แต่ไม่วายโกรธสักที ผมจะบ้าหรือเปล่าครับ? คำตอบ: อาการน่าเป็นห่วงแล้วนะอย่างนี้น่ะ แต่ไม่ต้องตกใจ ยังไม่บ้าหรอก แล้วก็ไม่ใช่คุณโยมคนเดียวที่เป็นอย่างนี้ คนเดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะไม่อย่างนั้นแค่มองหน้ากันนิดหน่อยจะต่อยจะยิงกันได้หรือ คนเราพอโกรธ พอไม่สบอารมณ์ แล้วลุกขึ้นมาต่อยกันนั้นไม่ยาก จึงมีคนทำกันเยอะ แต่คนที่โกรธแล้ว รู้จักข่มใจไม่ให้โกรธนี่สิหายาก แต่ก็พอหาได้ ฝึกได้และหลวงพ่อก็เชื่อว่าคุณโยมต้องสามารถฝึกตัวเองเสียใหม่ได้ด้วย         คนที่จะควบคุมตนเองได้จะต้องมี “กำลังใจ” เมื่อมีกำลังใจจิตใจจะหนักแน่น มั่นคง ไม่เปราะบาง จนกระทบอะไรไม่ได้ แต่หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ใครว่าอะไรก็วางเฉยได้ ไม่หน้าง้ำหน้างอจะอธิบายอะไร ก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ ชี้แจง ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะฟังข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องของตัวเอง เพื่อจะได้แก้ไขในโอกาสต่อไปไม่รู้สึกเสียหน้า หรือเสียเหลี่ยมแต่อย่างใด         หลวงพ่อได้พบวิธีฝึกให้มีกำลังใจมาแล้ว เป็นวิธีที่ได้ผลยิ่งกว่าวิธีใดทั้งสิ้น วิธีนั้นคือ รักษาศีล 5 ให้ครบ คุณโยมลองรักษาดูให้ครบบ้างสิ มีอะไรบ้างล่ะ         ข้อ 1 ไม่ฆ่า ไม่ว่าจะแค่มด แค่ปลวกก็ไม่ฆ่าทั้งนั้น         …

จะฝึกความอดทนและระงับอารมณ์โกรธได้อย่างไร Read More »

อยากอยู่เป็นโสด แต่กลัวแก่แล้วไม่มีคนดูแล

คำถาม: ตัดสินใจอยู่คนเดียวเป็นโสด ไม่ยอมให้บ่วงผูกคอ แต่ยังกังวลอยู่ว่า ถ้าบังเอิญเราอายุยืน แก่หง่อมแล้วก็ยังไม่ตาย ตัวคนเดียวไม่มีพ่อแม่พี่น้องคงลำบากมาก ท่านมีคำแนะนำอย่างไร จึงจะทำให้อยู่ได้ โดยไม่เป็นที่น่าสมเพชเวทนาของคนอื่น? คำตอบ: คุณโยมจำเอาไว้ มีสุภาษิตจีนอยู่บทหนึ่งบอกว่า “ถ้ามีเงินเสียอย่างเดียว ก็จ้างผีโม่แป้งได้”         ดูซิแม้แต่ผียังมารับจ้างโม่แป้งเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ขอให้คุณโยมปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกัน ให้เริ่มสะสมเงินทองตั้งแต่วันนี้ โดยตั้งเป้าว่า         1. ต้องมีบ้านเรือนของตัวเองให้ได้ ถึงแม้จะหลังเล็กๆ ก็ยังดี ขอให้มีพอซุกหัวนอนเถอะ จะได้ไม่เป็นคนจรจัด         2. มีเงินสะสมไว้ตามกำลัง เพื่อไว้ใช้ยามชรา         คนเราตอนแก่มีบ้านอยู่ มีเงินใช้ถึงไม่มีลูกหลานก็จะมีคนมาดูแลเราเอง แต่ว่าเราต้องหมั่นทำบุญทำทานเอาไว้อย่างต่อเนื่องด้วยนะ ชีวิตจึงจะไม่ลุ่มๆ ดอนๆ มีแต่ความสุข มีความอบอุ่น แม้ยามเราแก่เฒ่า         คนที่ไม่มีทรัพย์ ทั้งยังไม่ทำบุญ ก็เลยไม่มีบุญ ถึงมีลูกเป็นสิบๆ คน เขาก็ไม่มาดูแลหรอก ลูกแต่ละคนก็จะอ้างภาระความรับผิดชอบครอบครัวของตัวเอง บางทีจะได้ยินคำพูดชนิดที่ว่า “แม่ก็ดูแลตัวเองไปซิ ฉันเองก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว” หรือบางทีลูกอยากให้อยู่ แต่แม่เองกลับไม่ชอบขี้หน้าลูกเขย ลูกสะใภ้ เกิดทนกันไม่ได้ ก็ให้มีเหตุสารพัดที่ต้องมาอยู่ตามลำพังนั่นแหละ เกิดทนกันไม่ได้ ผู้เฒ่าประเภทนี้ …

อยากอยู่เป็นโสด แต่กลัวแก่แล้วไม่มีคนดูแล Read More »

จะฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยได้อย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อครับ จะฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยได้อย่างไรครับ? คำตอบ: วินัยต้องเริ่มที่บ้าน เริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก พ่อแม่ต้องเป็นผู้ฝึกอบรมให้ เพราะถ้าปล่อยให้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะอบรมตัวเองยากเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่หมดหนทางเสียทีเดียว หลักง่ายๆ ในการฝึกตนให้มีระเบียบวินัยก็คือ         1. ต้องพยายามอยู่ใกล้ชิดคนที่มีระเบียบวินัยดี เพื่อว่าเราจะได้ติดนิสัยดีๆ จากเขามาบ้างไม่มากก็น้อย         2. ต้องฝึกตัวเองให้มีวินัยในเรื่องเวลา คือฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา โดยเฉพาะอย่ายิ่งอย่านอนดึก เพราะจะทำให้ตื่นสาย แล้วทุกอย่างก็จะต้องเร่งรีบตามไปด้วย ผลที่สุดทำอะไรก็เอาเรียบร้อยไม่ได้สักอย่าง ตรงกันข้ามถ้าพยายามนอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า จำทำให้มีเวลาเตรียมงานต่างๆ ได้พร้อมขึ้น         3. ต้องตั้งปณิธานว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะทำงานทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อนิสัยดีๆ จะได้ติดตามเราไปจนแก่เฒ่า จนถึงชาติหน้า เพราะความที่เราคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดนั่นเอง จะทำให้เราทำงานได้เรียบร้อยและมีวินัย         4. เก็บอุปกรณ์เข้าที่ทุกครั้งที่ทำงานเสร็จ อุปกรณ์ในการทำงาน เช่น หนังสือ เอกสารที่ใช้ค้นคว้า เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เมื่อใช้แล้วต้องเก็บคืนที่ให้เรียบร้อย ถ้าเศษผงเศษขยะก็ต้องรีบปัดกวาดให้เรียบร้อย อย่าปล่อยทิ้งไหว้         5. นั่งสมาธิทุกคืนก่อนนอน หลังจากสวดมนต์แล้วควรนั่งสมาธิให้ใจสงบ จะได้เห็นข้อบกพร่องของตัวเองได้ง่ายขึ้น เมื่อมีคนอื่นมาว่ากล่าวตักเตือนจะได้ใจคอหนักแน่น ไม่โกรธง่าย ไม่รู้สึกว่าเสียหน้า ใจจะเปิดกว้าง และรู้สึกขอบคุณที่เขากรุณาชี้ข้อบกพร่องให้         ถ้าหมั่นทำทั้ง 5 …

จะฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยได้อย่างไร Read More »

เราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง

คำถาม: หลวงพ่อคะ เราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้างคะ? คำตอบ: เราจะต้องไม่คบคนพาล แต่เราจะเลือกคบคนดี คือบัณฑิต เพราะคนพาล เป็นที่มาแห่งความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลาย เราสามารถสังเกตคนพาลได้จากความประพฤติอันน่ารังเกียจของเขา คือ         1. คนพาลชอบชักนำไปในทางที่ผิด เช่น ชักชวนกันไปเที่ยวกลางคืน ดื่มสุรา เล่นการพนัน เป็นต้น         2. คนพาลไม่ชอบวินัย ทั้งไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง แต่ชอบประพฤติผิดศีลธรรม ชอบแหวกกฏเกณฑ์ กติกาของสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่เสมอ         3. คนพาลชอบแต่สิ่งที่ผิด ชอบเห็นความพินาศเสียหายของผู้อื่น เมื่อเวลาตัวเองทำผิดก็ภูมิใจ ลำพองใจว่าจนเก่งกล้าสามารถ         4. คนพาลชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระของตน ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ดูเผินๆ เหมือนหวังดี แต่ไม่ช้าความเดือดร้อน ก็เกิดจากการยุ่งไม่เข้าเรื่องของเขา         5. คนพาลแม้พูดจาดีๆ ด้วยก็โกรธ วินิจฉัยของคนพาลไม่ค่อยคงเส้นคงวา บางทียิ้มด้วย เขาก็ว่ายิ้มเยาะ เผลอหัวเราะเขาก็ว่าเราเย้ย         เมื่อเห็นใครมีลักษณะเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง 5 ประการดังกล่าวนี้ ก็ให้ตั้งข้อสงสัยได้เลยว่าเขาเป็นคนพาล ไม่ควรคบหา ขืนคบเขาเราจะติดนิสัยพาลๆ ไปด้วย         สำหรับบัณฑิตในทางธรรม หมายถึง ผู้รู้ดี รู้ชั่ว …

เราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง Read More »

ผู้มีราตรีเดียวนั้นแปลว่าอะไร

คำถาม: ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้มีราตรีเดียว” นั้นแปลว่าอะไรครับ? คำตอบ: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลพึงทำความเพียรเสียในวันนี้ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยงกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีเดียว”         ในเชิงปฏิบัติ ผู้มีราตรีเดียวหมายถึงบุคคลใดก็ตามเมื่อมีงานในหน้าที่มาถึงแล้ว จะไม่ยอมผัดวันประกันพรุ่ง รอเวลาไว้เมื่อนั่นเมื่อนี่ ปล่อยให้งานการคั่งค้างเสียหาย เหมือนคนเกียจคร้าน แต่จะรีบตั้งหน้าทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปโดยเร็ว แทบจะเรียกว่าไม่ให้ข้ามคืน         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเน้นว่า ไม่ว่าเราจะทำงานในทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม จะต้องไม่เป็นคนที่ห่วงหน้าพะวงหลัง คือ จะไม่เอาเรื่องความสำเร็จในอดีตมายึดถือให้เกิดความประมาทลำพองใจหรือเอาความล้มเหลวในอดีตมาทำให้ท้อถอย เพราะเรื่องที่ผ่านไปแล้วย่อมไม่มีทางเรียกกลับคืนมาอีก และสถานการณ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว         ในเวลาเดียวกันก็ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาด่วนวิตกกังวลจนเกินเหตุ ทำให้กลายเป็นทุกข์กินเปล่า เพราะเรื่องต่างๆ อาจจะไม่หนักหนาสาหัสอย่างที่เราหลงกังวลก็ได้ และเราก็ไม่ควรคิดเพ้อฝันมากเกินไปจนกลาย เป็นคนเพ้อเจ้อ ความจริงแล้วเรื่องในอนาคตที่เราสร้างมโนภาพไว้มันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้         เพราะฉะนั้น เมื่อกิจธุระใดๆ มาถึง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กใหญ่เพียงใดก็ตาม ถ้าได้วางแผนรัดกุมพอสมควรแล้ว ให้ลงมือทำด้วยความรอบคอบ ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ราวกับว่าเราจะมีเวลาของชีวิตเหลืออยู่เพียงอีกคืนเดียวเท่านั้น คือจะทำงานทุกอย่างแบบฝากฝีมือ เอาชีวิตเป็นเดิมพันไม่มีเวลากลับมาแก้ตัว แล้วงานนั้นจะสำเร็จอย่างดีเลิศโดยอัตโนมัติ         ถ้าเป็นงานทางโลกก็จะได้รับผลสำเร็จเป็นอัศจรรย์ เป็นงานชิ้นโบแดง เป็นอนุสรณ์ให้แก่คนรุ่นหลัง …

ผู้มีราตรีเดียวนั้นแปลว่าอะไร Read More »