หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา

DMC.TV ที่นี่

อยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อครับ ทำอย่างไรจึงจะรู้จักตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราเป็นคนอย่างไร แล้วควรจะทำตัวอย่างไร? คำตอบ: คนจะรู้จักตัวเองได้ต้องเป็นคนที่ศึกษาธรรมะมาก และเป็นคนที่ช่างสังเกต เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะรู้จักตัวเองจริงๆ ละก็ ต้องตั้งใจทำ 3 อย่างต่อไปนี้นะ         1. ต้องปลีกเวลาศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ให้รู้ว่ามาตรฐานของคนดีตามพุทธนิยมเป็นอย่างไร เพราะนั่นเป็นมาตรฐานที่ถูกต้องโดยธรรม ไม่ใช่โดยทางโลก เมื่อรู้แล้วก็พยายามปฏิบัติตามนั้น         2. อย่าเสียเวลาไปจับผิดคนอื่น เพราะไม่เกิดประโยชน์แก่ตนเอง มิหนำซ้ำยังทำให้ใจเศร้าหมอง ตรงกันข้ามให้หมั่นสังเกตดูความประพฤติที่ดีงามของผู้อื่น แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติตามให้ได้โดยเต็มตามกำลังความสามารถของเรา        3. ต้องสละเวลาสำรวจข้อบกพร่องของตนเองเป็นประจำ วิธีสำรวจข้อบกพร่องของตัวเองที่ง่ายที่สุด คือหมั่นนั่งสมาธิเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน เพราะมีหลักธรรมดาอยู่ว่า คนเราเมื่อหลับตา ในขณะที่มีสติครบถ้วน จะมองไม่เห็นคนอื่น แต่มองเห็นตัวเอง เมื่อพบข้อบกพร่องแล้วก็พยายามแก้ไขเสีย เช่น ถ้าพบว่าตัวเองยังเป็นคนเห็นแก่ได้อยู่ก็รีบให้ทานเสีย ถ้ายังมักโกรธอยู่ก็รีบถือศีล วันธรรมดาก็ให้ถือศีล 5 วันพระก็พยายามถือศีล 8 ถ้ายังอาฆาตพยาบาทอยู่ก็ให้แผ่เมตตามากๆ         การแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน วันใดที่เราแก้ไขตัวเองจนดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุดจนหมดกิเลสแล้ว วันนั้นแหละเราจะสามารถตอบตัวเองได้ว่า เราได้ทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์ที่สุดแล้วหรือยัง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC …

อยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร Read More »

บททดสอบตัวเอง ก่อนจะปวารณาตัวประพฤติพรหมจรรย์

คำถาม: หลวงพ่อกรุณาแนะนำบททดสอบตัวเอง ก่อนจะปวารณาตัวประพฤติพรหมจรรย์ให้ลูกด้วย กราบขอบพระคุณค่ะ? คำตอบ: สำหรับลูกสาว หลวงพ่อขอยกตัวอย่างจากอุบาสิกาที่มาช่วยงานวัดแล้วกัน มีอยู่หลายคน ที่หลวงพ่อเคยเรียกมาถามว่า ตั้งแต่เขาจบการศึกษากันมาแล้วมาอยู่วัด ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ประจำที่วัดมาแล้วคนละ 7-8 ปี บางคนอยู่สิบกว่าปี หลวงพ่อถามเขาง่ายๆ ว่า         ลูกเอ๊ย..ตั้งแต่เป็นนิสิตปีหนึ่งถึงปีสี่ใช้ลิปสติกหมดไปกี่แท่ง? เขาบอกว่า “ยังไม่หมดแท่งเลยค่ะหลวงพ่อ” อ้าว..ไม่อยากแต่งหน้ากับเขาบ้างหรือ? “ไม่อยากแต่ง เพราะรู้สึกมันเลอะๆ ค่ะหลวงพ่อ เพื่อนบางคนเขาก็บอกว่าแต่งแล้วสวยออก แต่ตัวเองรู้สึกมันเลอะๆ” ก็ถามเขาอีกว่า เลิกใช้จริงจังมานานเท่าไหร่แล้ว เขาก็บอก “จริงๆ แล้วเคยใช้ลิปสติกเมื่อตอนเรียนปีหนึ่ง แต่พอขึ้นปี 2 ถึงปี 4 ไม่ได้ใช้เลย มาใช้อยู่ครั้งสุดท้าย เมื่อวันรับพระราชทานปริญญา เพราะว่าอยากจะให้มันเข้ากับชุดเสื้อครุยสักหน่อยตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งจบมาได้ถึง 6-7 ปีแล้ว ไม่เคยใช้สักที”         ถ้าตอบแบบนี้ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้แล้ว เพราะฉะนั้นลองถามตัวเองดูอย่างที่หลวงพ่อถามก็แล้วกัน เป็นวิธีทดสอบตัวเองง่ายๆ ถ้าหนูไม่ใช้ลิปสติก ไม่ใช้แป้งเลย สัก 1 ปี แล้วรักษาศีล 8 อย่างเคร่งครัด นั่งสมาธิไม่ขาดสักวัน นั่นแหละมีแววพอจะประพฤติพรหมจรรย์ได้แล้วลูกเอ๊ย… โอวาท …

บททดสอบตัวเอง ก่อนจะปวารณาตัวประพฤติพรหมจรรย์ Read More »

หลักการใช้เงินของพระพุทธเจ้า

คำถาม: หลวงพ่อครับ พระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีใช้เงินหรือเปล่าครับ เงินเดือนผมขึ้นทุกปีแต่ก็ไม่เคยพอใช้สักทีครับ ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้? คำตอบ: เกี่ยวกับวิธีใช้เงิน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ว่า ความสุขของฆราวาส เกิดจากเหตุ 4 อย่าง คือ         1. สุขจากความมีทรัพย์         2. สุขจากการใช้ทรัพย์ไปในทางที่ชอบ         3. สุขจากการไม่มีหนี้         4. สุขจากการทำงานไม่มีโทษ คือการงานที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดศีลธรรม คือเป็นความสุขที่เป็นแก่น เป็นรากฐานของข้ออื่นๆเพราะถ้าติดคุกหรือมีคดีความเสียแล้ว ถึงมีทรัพย์เท่าไรก็หาความสุขไม่ได้หรอกนะ         การที่จะให้ได้รับความสุขโดยครบถ้วนอย่างนี้ ต้องรู้จักวิธีแบ่งการใช้ทรัพย์ออกเป็น 5 งบด้วยกัน แต่ละงบจะมากบ้างน้อยบ้างก็ตามแต่เห็นสมควร คือ         1. ใช้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว ถือเป็นงบที่สำคัญที่สุดจะขาดตกบกพร่องไม่ได้ ต้องไม่ให้เดือดร้อนด้วยกันทุกฝ่าย เพราะจะทำให้เสียความมั่นคงในครอบครัว         2. ใช้เลี้ยงมิตรสหายและผู้ร่วมงาน ถือเป็นการผูกสัมพันธไมตรีกัน จะได้มีความรักใคร่นับถือเกรงใจกัน งานที่ร่วมกันทำจะได้ราบรื่น ไม่สะดุดหรือติดขัด เมื่อถึงคราวจำเป็นจะต้องเอ่ยปากไหว้วานใครให้ช่วย ก็จะได้รับความร่วมมือโดยง่าย ทั้งยังเป็นที่รักที่เกรงใจของคนหมู่มาก แต่ก็ต้องระวังการใช้เงินงบนี้ ให้เป็นครั้งเป็นคราวไม่ให้เกินตัว เดี๋ยวจะเป็นการก่อหนี้สินเพิ่มขึ้น         3. ใช้ป้องกันรักษาสวัสดิภาพของร่างกาย เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ เมื่อถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วยหรือคราวจำเป็นฉุกเฉินเช่นน้ำท่วม ไฟไหม้ จะได้มีจับจ่ายใช้สอยได้ทันท่วงที ในทางปฏิบัติเราควรเก็บงบนี้ไว้ในธนาคารจำนวนหนึ่งให้ได้ …

หลักการใช้เงินของพระพุทธเจ้า Read More »

ถ้ามีใครว่าร้ายพระรัตนตรัยจะทำอย่างไรดี

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้ามีใครว่าร้ายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ฟังจะทำอย่างไรดีครับ? คำตอบ: ก่อนอื่น อย่าเพิ่งโกรธเขา แต่ควรให้ความสงสารเขามากกว่า เพราะเขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย และกำลังหาบาปด้วยปากแท้ๆ ถ้ามีโอกาสก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาทราบความจริง จะได้ล้มเลิกความเป็นผิดนั้นเสีย คือ ต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ช่วยแก้ข้อสงสัยต่างๆ ให้เขาด้วยเหตุผล เพื่อปลูกฝังความเห็นถูกให้ เขาจะได้ไม่ผิดพลาดอีกต่อไป แต่การที่เราจะทำอย่างนี้ได้นั้น เราเองจะต้องประพฤติตนดังนี้         1) ฝึกตัวเองให้เป็นคนมีใจหนักแน่น มั่นคง แต่ความคิดต้องไม่คับแคบ แบบตีกรอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำใจเปิดกว้าง อดทน ต่อการว่าร้ายจากผู้ที่เราหวังดี แล้วพยายามเข้าไปชี้ทางถูกให้ ซึ่งการจะกระทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน         2) ต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจจริงๆ จนสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ ในกรณีที่เรายังไม่สามารถแก้ความเห็นผิดให้แก่เขาได้ ให้พยายามชี้ชวนชักนำให้เขาไปหาผู้ที่มีความรู้ดีจริงๆ ให้ช่วยแก้ไขความเห็นผิดของเขา วิธีนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย         3) ประพฤติธรรมอย่างเคร่งครัด จนปรากฏผลออกมาเป็นบุคลิกภาพที่น่าเลื่อมใส เพื่อจะได้เป็นพยานแก่พระศาสนาว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น ส่งผลให้ชีวิตราบรื่นเป็นสุขได้จริง เป็นการทำให้ดู แทนการพูดปากเปล่า โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC …

ถ้ามีใครว่าร้ายพระรัตนตรัยจะทำอย่างไรดี Read More »

แม่ไม่ให้มาวัด เพราะกลัวลูกจะบวชตลอดชีวิต

คำถาม: คุณแม่ห้ามไม่ให้มาวัดพระธรรมกาย เพราะกลัวจะบวชตลอดชีวิต จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรครับ? คำตอบ: ทำหน้าที่ในบ้าน หรือเรื่องการเรียนให้เรียบร้อย แล้วให้หมั่นมาวัดเรื่อยๆ คุณแม่ท่านบ่นว่าหนักๆ เข้า ไม่นานท่านก็จะเลิกว่าเองเพราะเรามาวัดเพื่อทำความดี มาฝึกนิสัยดีๆ ซึ่งไม่นานบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสได้         คุณพ่อ คุณแม่มีลูกใจบุญสุนทาน น่าจะดีกว่ามีลูกเป็นจิ๊กโก๋นะ ค่อยๆ พูดอธิบายให้ท่านฟังดีๆ ท่านจะได้เข้าใจและไม่กลัวผิดๆ อีก โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร

คำถาม: จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร? คำตอบ: พยายามให้ตัวเองได้มีโอกาสมาวัดเสียก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปห่วงท่านเลย มาวัดทีแรกแม่ไม่ให้มา แต่นานๆ เข้าถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าแม่ก็ตามมาวัดด้วยเองแหละ         พระของวัดธรรมกายเกือบทุกรูปเจอปัญหานี้ หลวงพ่อยังจำได้ หลวงพี่มหาชิโตที่คุมการก่อสร้างของวัด ในปีแรกท่านยังไม่ได้บวช เพิ่งจบวิศวกรรมศาสตร์มาใหม่ๆ ท่านมาช่วยงานวัดอยู่ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แม่ก็ร้องไห้ จนพี่ชายพี่สาวมาตามตัวกลับ ท่านก็ดีไม่เถียงสักคำ แม่และพี่มาตามให้กลับก็ไปแต่งตัว เสร็จเรียบร้อยก็เดินตามกลับไป รุ่งขึ้นเช้าประมาณ 6 โมงหลวงพ่อไปเปิดประตูวัด เห็นท่านมาถึงพอดี ก็ถามท่านว่า “ทำไมกลับมาแล้วล่ะ” ท่านบอกว่า “เขามาตามผมกลับ ผมก็ไป แต่เขาไม่ได้ผูกขาผมไว้ ผมก็กลับมาใหม่” อีก 2-3 วันแม่ก็มาตามอีก ท่านก็ดี แต่งตัวเสร็จก็เดินตามแม่กลับไป รุ่งขึ้นก็มาแต่เช้า คราวนี้มาถึงตั้งแต่ตี 5 เลย ทั้งพ่อแม่และพี่มาตามกลับ 3-4 ครั้ง ท่านกลับไปแล้ว ก็กลับมาอีก ตอนหลังทางบ้านเลยเลิกตาม ตอนนี้ท่านบวชมาได้ประมาณ 10 พรรษาแล้ว ท่านไม่เคยเถียงพ่อแม่เลย ตำราเล่มนี้พระของเรานำมาใช้ได้ผลหลายรูป สร้างวัดมาได้ไม่ถึง  10 ปี มีผู้ตั้งใจบวชไม่สึกไปแล้ว 15 …

จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร Read More »

ความรักเป็นเรื่องหวังดีบริสุทธิ์หรือกิเลส

คำถาม: นมัสการหลวงพ่อที่เคารพสูงสุด ลูกขอถามว่าความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส? คำตอบ: ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์ แต่ถ้ารักชาวบ้าน ยังต้องถามต่อว่ารักแบบไหน ถ้าเป็นความรักความสงสาร โดยไม่มีราคะความใคร่เจือปน เขาเรียกว่า เมตตา รักแบบนี้พอใช้ได้นะ         หากรักเพราะมีราคะ คือรักแบบอยากให้เขามาอยู่ด้วยใกล้ๆ หรือตามเขาต้อยๆ ไป เข้าทำนองไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวไม่ลงคอ รักแบบนี้ความจริงไม่ใช่หวังดี หรือบริสุทธิ์หรอก คิดจะผูกเขาไว้กับตัวหรืออยากให้เขาผูกเราไว้         สิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องผูกไว้หรือจูงไปเขาเรียกอะไร? เพราะฉะนั้นถ้าไปรักใครแบบนี้ให้รีบถอนตัวออกมาเสียเถอะนะ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ไม่ต้องไปรักใครหรอก นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วจะหายโง่เอง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์

คำถาม: หลวงพ่อคะ ทำไมจึงว่า “ความรักเป็นความทุกข์” คะ? คำตอบ: ความรัก โดยเฉพาะความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล เพราะเมื่อความรักเกิดขึ้นในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือ ยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากน้ำตา         เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรัก ก็ไม่ต้องเสียน้ำตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือ เมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำให้เป็นทุกข์อยู่ดี         ตั้งแต่โบราณกาลมา หญิงชายคนใดสามารถครองตัวเป็นโสดหรือออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ มักได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เพราะอย่างน้อยที่สุด แม้จะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องประสบกับความทุกข์จร คือทุกข์ที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ การประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความทุกข์เหล่านี้หมุนเวียนกันเข้ามาให้เผชิญทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็น         ในพระพุทธศาสนา จึงสรรเสริญคนอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตว่า เป็นผู้ฉลาดเลี่ยงทุกข์ และยิ่งกว่านั้นคนโสดยังมีโอกาสสร้างบุญบารมีแสวงหาความสุขทางธรรมได้โดยสะดวกอีกด้วย …

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์ Read More »

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง

คำถาม: หลวงพ่อคะ คนเราจะสอนตัวเองอย่างไรจึงจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงคะ? คำตอบ: คนเราจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ต้องเข้าใจธรรมชาติของชีวิต หรือมีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิตเสียก่อน เช่น         1. ชีวิตตายแล้วไม่สูญ ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลสเข้านิพพาน ตายแล้วก็ยังต้องกลับมาเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่เมื่อไรหมดกิเลสเข้านิพพานแล้ว จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์อีก         2. ความดีความชั่วที่ทำเอาไว้นั้นไม่สูญเปล่า ยังตามให้ผลอีกแม้ชาติหน้า คือ ถ้าทำดี ความดีก็ตามคุ้มครองให้ผลเป็นความสุข เหมือนเงาติดตามตัวให้ความร่มเย็นตลอดไป ส่วนความชั่วเมื่อทำลงไปก็ให้ผลเป็นความทุกข์ เหมือนวงล้อเกวียนที่ตามบดขยี้รอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปตลอดทาง เหมือนคำโบราณว่า “กงเกวียนกำเกวียนไม่หนีไปไหน” พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า         “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าคนมีใจชั่วเสียแล้ว จะพูดหรือทำก็พลอยชั่วไปด้วย เพราะการพูดชั่ว ทำชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตามสนองเขา เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปฉะนั้น.”         3. นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ข้อนี้อย่าสงสัย ขอเพียงขยันนั่งสมาธิมากๆ ไม่ช้าก็จะเห็นว่านรก-สวรรค์มีจริง เรื่องนี้ไม่ใช่มาพูดลอยๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่ามีจริง หลวงปู่ หลวงตา นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็พิสูจน์แล้วว่ามีจริง คนที่ยังไม่เห็น ก็เพราะยังไม่ได้พิสูจน์ ยังไม่ได้ฝึกสมาธิจริงๆ จังๆ อยากให้ทุกคนไปเรียนรู้วิธีพิสูจน์เสียเร็วๆ จะได้หายสงสัย ครูบาอาจารย์ผู้มีความรู้มีอยู่นะ รีบไปขอเรียนจากท่านเสีย …

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง Read More »

ทำอย่างไร เมื่อถูกใส่ความ

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้าเราถูกใส่ความ เราควรจะทำอย่างไรดีครับ? คำตอบ: นักสู้ เขามีหลักในการต่อสู้อยู่ 3 ประการ พูดย่อๆ คือ ไม่หนี ไม่สู้ ไม่รู้ไม่ชี้ ดังนั้น เมื่อถูกใส่ความ สิ่งที่เราจะต้องทำ คือ         1) ไม่ท้อแท้หนีหน้าลาออก เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะกลายเป็นว่า เราทำความผิดจริง เป็นคนชั่วคนเลวจริง คนชั่วทั้งหลายเมื่อใส่ความสำเร็จง่ายๆ ก็จะได้ใจ จะยิ่งใส่ความคนดีๆ ให้เดือดร้อน โดยหวังว่าเมื่อคนดีๆ เหล่านั้นลาออก เขาก็จะเข้ามาครองอำนาจ ครองบ้านครองเมืองแทน ความยุ่งยากเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นมากมายในสังคม เพราะฉะนั้น เมื่อถูกใส่ความ เราอย่าเป็นคนขี้รำคาญ ขี้น้อยใจ สรุปแล้วคืออย่าหนี         2) ไม่สาดโคลนเข้าใส่กัน เมื่อถูกใส่ความแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ความกลับ มิฉะนั้นจะหาข้อยุติไม่ได้ ซ้ำยังจะเดือดร้อนไปทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนบริสุทธิ์ก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วยกลายเป็นบาปติดตัวเราไปเสียอีก         3) ตั้งใจทำงานของเราไปเรื่อยๆ เมื่อมั่นใจว่าเราทำงานนั้นอย่างถูกต้องสุจริต ก็ให้ทำงานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความอดทน แต่ต้องมีข้อแม้ว่าต้องทำงานด้วยความรัดกุมเป็นพิเศษ เช่น เคร่งครัดในระเบียบวินัยมากขึ้น และมีการตรวจสอบควบคุมมากเป็นพิเศษ แม้งานจะล่าช้าไปบ้างก็ต้องยอมรับ         คนโดยทั่วไปเมื่อถูกว่าร้ายมักจะหวั่นไหว …

ทำอย่างไร เมื่อถูกใส่ความ Read More »

ข้อแนะนำในการครองชีพเมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ

คำถาม: ในขณะนี้ ครูบาอาจารย์กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะมีภาษีสังคมคอยเบียดเบียน รายได้อย่างอื่นไม่มี เงินเดือนน้อยไม่พอใช้ ต้องประสบปัญหาหนี้สินรุงรังกันทั้งนั้น โดยเฉพาะครูภาคอีสาน หลวงพ่อจะมีวิธีแนะนำในการครองชีพอย่างไรครับ? คำตอบ: หลวงพ่อเองเมื่อเป็นฆราวาส ก็เจอกับปัญหานี้เหมือนกัน ตัวเองแก้ไม่ได้ โยมแม่เลยมาแก้ให้ แล้วก็แก้สำเร็จด้วย เมื่อก่อนจะบวชก่อนจะเข้าวัด หลวงพ่อก็มีรายได้มาก ได้เดือนละหมื่นกว่าบาท ใช้คนเดียวด้วย แต่ว่าไม่พอใช้ วันหนึ่งโยมแม่ก็เรียกไปคุยเรื่องการใช้เงิน ท่านว่าอย่างนี้        “ลูกเอ๊ยรายได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเหลือเท่าไหร่” ก็เลยเผลอเถียงไปว่า “โธ่แม่…ได้มากมันก็เหลือมาก ได้น้อยมันก็เหลือน้อย” แม่ก็ตอบกลับ “ลูกเอ๊ยในโลกนี้ หลายๆ คน ได้มาก แต่เหลือน้อย หรือไม่เหลือ ในขณะที่อีกหลายๆ คนเขา ได้น้อย แต่เหลือมาก” เสร็จแล้วแม่ก็ขยายความ “ลูกเอ๊ย…ได้มากแล้วเหลือน้อยเหมือนเอาเข่งหรือเอาชะลอมตักน้ำ เมื่อตอนเข่งอยู่ในน้ำ ชะลอมอยู่ในน้ำน่ะ น้ำเต็มเข่งนะลูก แต่พอยกขึ้นมากลับเหลือแต่เข่ง น้ำไม่มี         ส่วนที่ได้น้อยเหลือมากนั้น ก็เหมือนเอากะลาหรือขัน หรือช้อนคันเล็กๆ แต่ว่าไม่รั่วไปตักน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำน่ะน้ำก็เต็มกะลาหนึ่ง ขันหนึ่ง ช้อนหนึ่ง แต่ยกขึ้นมาแล้ว ก็ยังมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง         …

ข้อแนะนำในการครองชีพเมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ Read More »

อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม

คำถาม: หลวงพ่อคิดว่า อะไรเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมครับ? คำตอบ: พระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม มีแต่คนเรานี่แหละที่เสื่อมจากพระพุทธศาสนา สาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื่อมก็คือ คนพาล ทั้งพาลภายนอกและพาลภายใน         1) พาลภายนอก ได้แก่ คนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เขาจะนับถือศาสนาอื่นหรือไม่ก็ตาม แต่เขามีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา ในยามปกติก็พยายามกล่าวร้ายป้ายสีพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ว่าเลวอย่างนั้นอย่างนี้ หากเขามีโอกาส ก็จะบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้คนอื่นเข้าใจไขว้เขว คนพาลประเภทนี้ คอยจ้องหาโอกาสทำลายพระพุทะศาสนาอยู่แทบจะทุกวันไป และก็มีจำนวนมากด้วย คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา         2) พาลภายใน ได้แก่ ชาวพุทธที่ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความคลางแคลงสงสัยในการตรัสรู้ของพระองค์ ไม่เคารพในพระธรรม คือไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง ไม่เคารพในพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่เคารพในการฝึกสมาธิ(Meditation)เพื่อทำให้จิตใจสงบ เมื่อขาดความเคารพอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทุกประการดังกล่าวนี้ เขาก็จะเป็นคนพาลภายในของพระพุทธศาสนา ตัวเขาเองก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการเป็นชาวพุทธเลย         เมื่อเป็นเช่นนี้นานไป เขาก็จะไม่เห็นคุณค่าในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น เมื่อคนพาลภายนอกเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีการต่างๆ ก็จะไม่สามารถปกป้องพระพุทธศาสนาได้ เพราะตัวเองก็ขาดความเคารพในพระศาสนาอยู่แล้ว เมื่อขาดความเคารพก็จะไม่มีใจในการศึกษาหาความรู้ให้ถ่องแท้ ดีไม่ดีตกเป็นเครื่องมือของคนพาลภายนอกมาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง         เราลองมาพิจารณาตนเองดูเถอะว่า ตัวเรานั้นบัดนี้ยังเป็นคนพาลอยู่หรือเปล่า และเราได้ทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้วหรือยัง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ …

อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม Read More »

เมื่อชาวพุทธแต่ชอบไปร่วมกิจกรรมกับศาสนาอื่น

คำถาม: ดิฉันรู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ แต่เขามักเข้าไปร่วมกิจกรรมของศาสนาอื่นอยู่เสมอ บุญเขาก็ทำบาปก็ทำบ้าง มีความคิดแปลกๆ เขาเป็นพุทธแบบไหนกันคะ? คำตอบ: ชาวพุทธที่แท้จริง จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติต่อไปนี้         1) มีศรัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง และเป็นผู้มีคุณธรรมวิเศษสูงสุด ไม่ระแวงสงสัยในพระปัญญาธิคุณอันเลิศของพระองค์         2) มีศีลบริสุทธิ์ คือพยายามรักษาศีล 5 ให้ได้เป็นอย่างน้อย เพื่อปกป้องตนเองให้พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย         3) เชื่อกรรม ไม่ถือมงคลตื่นข่าว แต่เชื่อถือมงคลตื่นตัว คือมีความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิต ตื่นตัวอยู่เสมอว่าบุคคลเมื่อทำดีย่อมได้ดีจริง ทำชั่วย่อมได้ชั่วจริง ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงใดๆ ทั้งสิ้น เลือกทำแต่ความดีให้เต็มตามความสามารถของตน        4) ไม่แสวงบุญนอกพระพุทธศาสนา คือไม่เที่ยวแสวงบุญโดยเข้าร่วมพิธีกรรมในศาสนาอื่นด้วยความเต็มใจ เพราะคิดว่าจะได้บุญ ทั้งไม่กราบไหว้รูปเคารพของศาสนาอื่น แต่ก็ต้องไม่ล่วงเกิน ไม่วิจารณ์วัตถุอันเป็นที่เคารพของลัทธิศาสนาอื่นด้วย ตลอดชีวิตต้องขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา         5) ตั้งใจทำจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาให้ถูกวิธีของพระพุทธศาสนาโดยแท้         ขอให้เราลองถามตัวเองกันดีกว่าว่า เราเองนั้นได้ทำตัวให้สมกับเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้วหรือยัง ถ้ายังก็รีบปรับปรุงแก้ไข อย่าให้เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC …

เมื่อชาวพุทธแต่ชอบไปร่วมกิจกรรมกับศาสนาอื่น Read More »

ต้องทำอย่างไรเมื่อรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

คำถาม: เมื่อเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง หาผู้ที่ให้คำแนะนำปรึกษาไม่ได้ เราควรช่วยตัวเองอย่างไรคะ? คำตอบ: เมื่อยังหาใครแนะนำช่วยเหลือไม่ได้ ก็ต้องช่วยตัวเอง ในยามที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดฝีมืออย่างนี้ บุญเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฐา โหนฺติ ปาณินํ” “บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย”         บุญเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพราะฉะนั้นให้ทำ 3 อย่างนี้ คือ         1. รักษาศีลของเราให้มั่นคง ไม่ให้ถลำไปในทางชั่ว        2. เมื่อมีโอกาสพยายามทำทาน หรือให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ตามกำลังความสามารถ         3. หมั่นนั่งสมาธิมากๆ เมื่อใจสงบ ความท้อแท้สิ้นหวัง ความหดหู่จะจางหายไป แล้วเราจะเห็นช่องทางแก้ไขได้เอง         หรือถ้าทำอย่างนี้ แล้วก็ยังหาช่องทางแก้ไขไม่ได้ ก็ลองไปวัด ไปขอคำแนะนำช่วยเหลือจากหลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่ง หรือจากผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในชีวิตมาก ท่านพอจะช่วยเหลือให้คำแนะนำที่ถูกต้องได้นะ โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ปัญหารถติดแก้ไขอย่างไรดี

คำถาม: การจราจรติดขัดมากในกรุงเทพฯ ประเทศอื่นรถยนต์เขาก็มีกันตั้งมาก ทำไมเขาไม่มีปัญหารถติดมากๆ อย่างเรา? คำตอบ: การจราจรติดขัด เกิดจากการไม่ยอมลดราวาศอกให้กันและกัน และการไม่ยอมกัน ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่เลี้ยงลูกไม่เป็น วิธีเลี้ยงลูกไม่ค่อยถูกต้อง         เอาง่ายๆ ถ้าลูกทะเลาะกันหรือลูกไม่ลงรอยกัน ถามว่าแม่จะห้ามไหม มีไม่กี่คนที่ไม่ห้าม ส่วนมากจะเข้าห้าม แล้วตัดสินลงโทษ ซึ่งบางทีก็ตัดสินพลาดไป ในทัศนะนี้ญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เขาบอกว่ายังไงเสียเด็กก็ไม่ตีกันจนถึงตายหรอก เพราะฉะนั้นถ้าลูกทะเลาะกันเขาจะไม่ห้าม เขาปล่อยให้เด็กหาวิธียุติปัญหากันเอง คนโตอาจจะเกรี้ยวกราดกับน้องมากไปหน่อย แต่คนเล็กก็ต้องมีวิธีการพูดเสียงอ่อยๆ ทำให้น่าเห็นใจ จนพี่ต้องยอม เรื่องมันก็จบ หรือถ้าพี่รังแกน้องมากเข้าน้องก็ไม่เล่นด้วย พี่ก็ต้องมาตามง้อน้อง ก็เป็นเรื่องที่เขาจะแก้ปัญหากันเอง ไม่ใช่พ่อแม่ลงมาเล่นบทบู๊เสียเอง         คนไทยไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องก็เลยกลายเป็นว่าทุกครั้งที่คนไทยมีเรื่องก็ทะเลาะกันต้องมีบุคคลที่สามมาห้าม ถ้าถึงขั้นจลาจลในหลวงต้องทรงลงมาไกล่เกลี่ยให้เสมอ แล้วถ้าครั้งนั้นในหลวงทรงห้ามไม่ทันจะทำอย่างไรกัน?         นิสัยอีกอย่างของคนไทย คือความรักอิสระ คนไทยแม้ไปอยู่ต่างประเทศก็รวมตัวกันไม่ได้ เมื่อมีเรื่องขึ้นมาก็ไม่รู้จะไปหาผู้ใหญ่ที่ไหนมาไกล่เกลี่ย ไม่มีตัวประสาน ขณะที่ชนชาติอื่นบางชาติ แม้ไปอยู่ต่างประเทศ เขาก็สามารถรวมตัวกันได้แน่นแฟ้น เขาไม่ต้องการให้ใครอื่นมาประสาน เขาประสานตัวของเขาเอง วินัยระดับชาติก็เป็นผลมาจากวิธีการเลี้ยงลูกของเขา         ในที่ประชุม ฝรั่งเขาโต้เถียงกันแบบเอาเป็นเอาตาย พอออกจากที่ประชุมเรื่องก็จบ ญี่ปุ่นก็เหมือนกัน แม้จะไม่ถูกกันเป็นส่วนตัว แต่ในที่ทำงานเขาประชุมกันอย่างดี พอออกจากที่ประชุมปั๊บต่างคนต่างไป …

ปัญหารถติดแก้ไขอย่างไรดี Read More »