หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา

DMC.TV ที่นี่

ความรักเป็นเรื่องหวังดีบริสุทธิ์หรือกิเลส

คำถาม: นมัสการหลวงพ่อที่เคารพสูงสุด ลูกขอถามว่าความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส? คำตอบ: ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์ แต่ถ้ารักชาวบ้าน ยังต้องถามต่อว่ารักแบบไหน ถ้าเป็นความรักความสงสาร โดยไม่มีราคะความใคร่เจือปน เขาเรียกว่า เมตตา รักแบบนี้พอใช้ได้นะ         หากรักเพราะมีราคะ คือรักแบบอยากให้เขามาอยู่ด้วยใกล้ๆ หรือตามเขาต้อยๆ ไป เข้าทำนองไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวไม่ลงคอ รักแบบนี้ความจริงไม่ใช่หวังดี หรือบริสุทธิ์หรอก คิดจะผูกเขาไว้กับตัวหรืออยากให้เขาผูกเราไว้         สิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องผูกไว้หรือจูงไปเขาเรียกอะไร? เพราะฉะนั้นถ้าไปรักใครแบบนี้ให้รีบถอนตัวออกมาเสียเถอะนะ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ไม่ต้องไปรักใครหรอก นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วจะหายโง่เอง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์

คำถาม: หลวงพ่อคะ ทำไมจึงว่า “ความรักเป็นความทุกข์” คะ? คำตอบ: ความรัก โดยเฉพาะความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล เพราะเมื่อความรักเกิดขึ้นในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือ ยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากน้ำตา         เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรัก ก็ไม่ต้องเสียน้ำตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือ เมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำให้เป็นทุกข์อยู่ดี         ตั้งแต่โบราณกาลมา หญิงชายคนใดสามารถครองตัวเป็นโสดหรือออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ มักได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เพราะอย่างน้อยที่สุด แม้จะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องประสบกับความทุกข์จร คือทุกข์ที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ การประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความทุกข์เหล่านี้หมุนเวียนกันเข้ามาให้เผชิญทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็น         ในพระพุทธศาสนา จึงสรรเสริญคนอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตว่า เป็นผู้ฉลาดเลี่ยงทุกข์ และยิ่งกว่านั้นคนโสดยังมีโอกาสสร้างบุญบารมีแสวงหาความสุขทางธรรมได้โดยสะดวกอีกด้วย …

ทำไมความรักถึงว่าเป็นความทุกข์ Read More »

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง

คำถาม: หลวงพ่อคะ คนเราจะสอนตัวเองอย่างไรจึงจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงคะ? คำตอบ: คนเราจะมองโลกถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ต้องเข้าใจธรรมชาติของชีวิต หรือมีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิตเสียก่อน เช่น         1. ชีวิตตายแล้วไม่สูญ ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลสเข้านิพพาน ตายแล้วก็ยังต้องกลับมาเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่เมื่อไรหมดกิเลสเข้านิพพานแล้ว จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ทุกข์อีก         2. ความดีความชั่วที่ทำเอาไว้นั้นไม่สูญเปล่า ยังตามให้ผลอีกแม้ชาติหน้า คือ ถ้าทำดี ความดีก็ตามคุ้มครองให้ผลเป็นความสุข เหมือนเงาติดตามตัวให้ความร่มเย็นตลอดไป ส่วนความชั่วเมื่อทำลงไปก็ให้ผลเป็นความทุกข์ เหมือนวงล้อเกวียนที่ตามบดขยี้รอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปตลอดทาง เหมือนคำโบราณว่า “กงเกวียนกำเกวียนไม่หนีไปไหน” พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า         “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าคนมีใจชั่วเสียแล้ว จะพูดหรือทำก็พลอยชั่วไปด้วย เพราะการพูดชั่ว ทำชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตามสนองเขา เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปฉะนั้น.”         3. นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ข้อนี้อย่าสงสัย ขอเพียงขยันนั่งสมาธิมากๆ ไม่ช้าก็จะเห็นว่านรก-สวรรค์มีจริง เรื่องนี้ไม่ใช่มาพูดลอยๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่ามีจริง หลวงปู่ หลวงตา นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็พิสูจน์แล้วว่ามีจริง คนที่ยังไม่เห็น ก็เพราะยังไม่ได้พิสูจน์ ยังไม่ได้ฝึกสมาธิจริงๆ จังๆ อยากให้ทุกคนไปเรียนรู้วิธีพิสูจน์เสียเร็วๆ จะได้หายสงสัย ครูบาอาจารย์ผู้มีความรู้มีอยู่นะ รีบไปขอเรียนจากท่านเสีย …

สอนตัวเองอย่างไรให้มองโลกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง Read More »

ทำอย่างไร เมื่อถูกใส่ความ

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้าเราถูกใส่ความ เราควรจะทำอย่างไรดีครับ? คำตอบ: นักสู้ เขามีหลักในการต่อสู้อยู่ 3 ประการ พูดย่อๆ คือ ไม่หนี ไม่สู้ ไม่รู้ไม่ชี้ ดังนั้น เมื่อถูกใส่ความ สิ่งที่เราจะต้องทำ คือ         1) ไม่ท้อแท้หนีหน้าลาออก เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะกลายเป็นว่า เราทำความผิดจริง เป็นคนชั่วคนเลวจริง คนชั่วทั้งหลายเมื่อใส่ความสำเร็จง่ายๆ ก็จะได้ใจ จะยิ่งใส่ความคนดีๆ ให้เดือดร้อน โดยหวังว่าเมื่อคนดีๆ เหล่านั้นลาออก เขาก็จะเข้ามาครองอำนาจ ครองบ้านครองเมืองแทน ความยุ่งยากเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นมากมายในสังคม เพราะฉะนั้น เมื่อถูกใส่ความ เราอย่าเป็นคนขี้รำคาญ ขี้น้อยใจ สรุปแล้วคืออย่าหนี         2) ไม่สาดโคลนเข้าใส่กัน เมื่อถูกใส่ความแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ความกลับ มิฉะนั้นจะหาข้อยุติไม่ได้ ซ้ำยังจะเดือดร้อนไปทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนบริสุทธิ์ก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วยกลายเป็นบาปติดตัวเราไปเสียอีก         3) ตั้งใจทำงานของเราไปเรื่อยๆ เมื่อมั่นใจว่าเราทำงานนั้นอย่างถูกต้องสุจริต ก็ให้ทำงานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความอดทน แต่ต้องมีข้อแม้ว่าต้องทำงานด้วยความรัดกุมเป็นพิเศษ เช่น เคร่งครัดในระเบียบวินัยมากขึ้น และมีการตรวจสอบควบคุมมากเป็นพิเศษ แม้งานจะล่าช้าไปบ้างก็ต้องยอมรับ         คนโดยทั่วไปเมื่อถูกว่าร้ายมักจะหวั่นไหว …

ทำอย่างไร เมื่อถูกใส่ความ Read More »

ข้อแนะนำในการครองชีพเมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ

คำถาม: ในขณะนี้ ครูบาอาจารย์กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะมีภาษีสังคมคอยเบียดเบียน รายได้อย่างอื่นไม่มี เงินเดือนน้อยไม่พอใช้ ต้องประสบปัญหาหนี้สินรุงรังกันทั้งนั้น โดยเฉพาะครูภาคอีสาน หลวงพ่อจะมีวิธีแนะนำในการครองชีพอย่างไรครับ? คำตอบ: หลวงพ่อเองเมื่อเป็นฆราวาส ก็เจอกับปัญหานี้เหมือนกัน ตัวเองแก้ไม่ได้ โยมแม่เลยมาแก้ให้ แล้วก็แก้สำเร็จด้วย เมื่อก่อนจะบวชก่อนจะเข้าวัด หลวงพ่อก็มีรายได้มาก ได้เดือนละหมื่นกว่าบาท ใช้คนเดียวด้วย แต่ว่าไม่พอใช้ วันหนึ่งโยมแม่ก็เรียกไปคุยเรื่องการใช้เงิน ท่านว่าอย่างนี้        “ลูกเอ๊ยรายได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเหลือเท่าไหร่” ก็เลยเผลอเถียงไปว่า “โธ่แม่…ได้มากมันก็เหลือมาก ได้น้อยมันก็เหลือน้อย” แม่ก็ตอบกลับ “ลูกเอ๊ยในโลกนี้ หลายๆ คน ได้มาก แต่เหลือน้อย หรือไม่เหลือ ในขณะที่อีกหลายๆ คนเขา ได้น้อย แต่เหลือมาก” เสร็จแล้วแม่ก็ขยายความ “ลูกเอ๊ย…ได้มากแล้วเหลือน้อยเหมือนเอาเข่งหรือเอาชะลอมตักน้ำ เมื่อตอนเข่งอยู่ในน้ำ ชะลอมอยู่ในน้ำน่ะ น้ำเต็มเข่งนะลูก แต่พอยกขึ้นมากลับเหลือแต่เข่ง น้ำไม่มี         ส่วนที่ได้น้อยเหลือมากนั้น ก็เหมือนเอากะลาหรือขัน หรือช้อนคันเล็กๆ แต่ว่าไม่รั่วไปตักน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำน่ะน้ำก็เต็มกะลาหนึ่ง ขันหนึ่ง ช้อนหนึ่ง แต่ยกขึ้นมาแล้ว ก็ยังมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง         …

ข้อแนะนำในการครองชีพเมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ Read More »

อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม

คำถาม: หลวงพ่อคิดว่า อะไรเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมครับ? คำตอบ: พระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม มีแต่คนเรานี่แหละที่เสื่อมจากพระพุทธศาสนา สาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื่อมก็คือ คนพาล ทั้งพาลภายนอกและพาลภายใน         1) พาลภายนอก ได้แก่ คนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เขาจะนับถือศาสนาอื่นหรือไม่ก็ตาม แต่เขามีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา ในยามปกติก็พยายามกล่าวร้ายป้ายสีพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ว่าเลวอย่างนั้นอย่างนี้ หากเขามีโอกาส ก็จะบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้คนอื่นเข้าใจไขว้เขว คนพาลประเภทนี้ คอยจ้องหาโอกาสทำลายพระพุทะศาสนาอยู่แทบจะทุกวันไป และก็มีจำนวนมากด้วย คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา         2) พาลภายใน ได้แก่ ชาวพุทธที่ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความคลางแคลงสงสัยในการตรัสรู้ของพระองค์ ไม่เคารพในพระธรรม คือไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง ไม่เคารพในพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่เคารพในการฝึกสมาธิ(Meditation)เพื่อทำให้จิตใจสงบ เมื่อขาดความเคารพอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทุกประการดังกล่าวนี้ เขาก็จะเป็นคนพาลภายในของพระพุทธศาสนา ตัวเขาเองก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการเป็นชาวพุทธเลย         เมื่อเป็นเช่นนี้นานไป เขาก็จะไม่เห็นคุณค่าในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น เมื่อคนพาลภายนอกเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีการต่างๆ ก็จะไม่สามารถปกป้องพระพุทธศาสนาได้ เพราะตัวเองก็ขาดความเคารพในพระศาสนาอยู่แล้ว เมื่อขาดความเคารพก็จะไม่มีใจในการศึกษาหาความรู้ให้ถ่องแท้ ดีไม่ดีตกเป็นเครื่องมือของคนพาลภายนอกมาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง         เราลองมาพิจารณาตนเองดูเถอะว่า ตัวเรานั้นบัดนี้ยังเป็นคนพาลอยู่หรือเปล่า และเราได้ทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้วหรือยัง โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ …

อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม Read More »

เมื่อชาวพุทธแต่ชอบไปร่วมกิจกรรมกับศาสนาอื่น

คำถาม: ดิฉันรู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ แต่เขามักเข้าไปร่วมกิจกรรมของศาสนาอื่นอยู่เสมอ บุญเขาก็ทำบาปก็ทำบ้าง มีความคิดแปลกๆ เขาเป็นพุทธแบบไหนกันคะ? คำตอบ: ชาวพุทธที่แท้จริง จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติต่อไปนี้         1) มีศรัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง และเป็นผู้มีคุณธรรมวิเศษสูงสุด ไม่ระแวงสงสัยในพระปัญญาธิคุณอันเลิศของพระองค์         2) มีศีลบริสุทธิ์ คือพยายามรักษาศีล 5 ให้ได้เป็นอย่างน้อย เพื่อปกป้องตนเองให้พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย         3) เชื่อกรรม ไม่ถือมงคลตื่นข่าว แต่เชื่อถือมงคลตื่นตัว คือมีความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิต ตื่นตัวอยู่เสมอว่าบุคคลเมื่อทำดีย่อมได้ดีจริง ทำชั่วย่อมได้ชั่วจริง ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงใดๆ ทั้งสิ้น เลือกทำแต่ความดีให้เต็มตามความสามารถของตน        4) ไม่แสวงบุญนอกพระพุทธศาสนา คือไม่เที่ยวแสวงบุญโดยเข้าร่วมพิธีกรรมในศาสนาอื่นด้วยความเต็มใจ เพราะคิดว่าจะได้บุญ ทั้งไม่กราบไหว้รูปเคารพของศาสนาอื่น แต่ก็ต้องไม่ล่วงเกิน ไม่วิจารณ์วัตถุอันเป็นที่เคารพของลัทธิศาสนาอื่นด้วย ตลอดชีวิตต้องขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา         5) ตั้งใจทำจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาให้ถูกวิธีของพระพุทธศาสนาโดยแท้         ขอให้เราลองถามตัวเองกันดีกว่าว่า เราเองนั้นได้ทำตัวให้สมกับเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้วหรือยัง ถ้ายังก็รีบปรับปรุงแก้ไข อย่าให้เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC …

เมื่อชาวพุทธแต่ชอบไปร่วมกิจกรรมกับศาสนาอื่น Read More »

ต้องทำอย่างไรเมื่อรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

คำถาม: เมื่อเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง หาผู้ที่ให้คำแนะนำปรึกษาไม่ได้ เราควรช่วยตัวเองอย่างไรคะ? คำตอบ: เมื่อยังหาใครแนะนำช่วยเหลือไม่ได้ ก็ต้องช่วยตัวเอง ในยามที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดฝีมืออย่างนี้ บุญเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฐา โหนฺติ ปาณินํ” “บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย”         บุญเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพราะฉะนั้นให้ทำ 3 อย่างนี้ คือ         1. รักษาศีลของเราให้มั่นคง ไม่ให้ถลำไปในทางชั่ว        2. เมื่อมีโอกาสพยายามทำทาน หรือให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ตามกำลังความสามารถ         3. หมั่นนั่งสมาธิมากๆ เมื่อใจสงบ ความท้อแท้สิ้นหวัง ความหดหู่จะจางหายไป แล้วเราจะเห็นช่องทางแก้ไขได้เอง         หรือถ้าทำอย่างนี้ แล้วก็ยังหาช่องทางแก้ไขไม่ได้ ก็ลองไปวัด ไปขอคำแนะนำช่วยเหลือจากหลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่ง หรือจากผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในชีวิตมาก ท่านพอจะช่วยเหลือให้คำแนะนำที่ถูกต้องได้นะ โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) วันที่ ที่มา เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

จะโน้มน้าวใจเขาอย่างไรให้มาช่วยงานวัด

คำถาม: ทำอย่างไร จึงจะสามารถโน้มน้าวจิตใจให้คนสละเวลาในชีวิตมาช่วยงานวัดได้ครับ? (พระเรียนถามมา) คำตอบ: วิธีที่ดีที่สุด คือ เรา ซึ่งเป็นพระภิกษุจะต้องมีศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หรือใช้สำนวนว่า “เอาหัววางเขียงให้ได้ก่อน” ประพฤติปฏิบัติตนให้เขาเห็น แล้วมั่นใจว่าหลวงพ่อของเขา         1) หัวเด็ดตีนขาดไม่สึกแน่         2) หัวเด็ดตีนขาด ไม่ยอมทำอะไรที่ผิดวินัย คือเป็นต้นแบบให้เขาได้         3) ตั้งใจประพฤติอยู่ในพระธรรมวินัย หวังจะไปพระนิพพานอย่างเดียว         เมื่อชาวบ้านเขาเห็นเราเป็นแบบอย่างแล้ว เขาจะทำตาม แต่ถ้าตัวเราเองก็ยังสงสัยตัวเองว่า จะอยู่หรือจะสึก จะสึกหรือจะอยู่ นั่งถามตัวเองอย่างนี้ แล้วปล่อยวันคืนให้ล่วงไป เป็นเดือน เป็นปีละก็ไม่มีใครเขาศรัทธามาอยู่ด้วยหรอก         เมื่อวันที่ผมบวช วันที่ 19 ธันวาคม พุทธศักราช 2514 เช้าวันนั้น ตอนโกนผม ทันทีที่ผมปอยแรกตกไปที่พื้น ผมก็หยิบขึ้นมาแล้วก็อธิษฐานว่า “ถ้าเส้นผมปอยนี้ไม่กลับมาติดบนหัวอีก ชาตินี้ไม่สึก” แล้วตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องสึก นึกแต่จะลุยงานพระศาสนากันเรื่อยไป         ถ้าหลวงพ่อของเขาศรัทธาต่อพระศาสนาอย่างนี้ ก็ไม่ต้องห่วงว่าลูกศิษย์จะไม่ศรัทธาหลวงพ่อ แต่ว่าถ้าหลวงพ่อของเขายังเป็นประเภทว่าจะอยู่หรือจะสึก จะสึกหรือจะอยู่ ยังไม่มั่นใจตัวเอง ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ลูกศิษย์ที่มีศรัทธาสละชีวิตมาช่วยงานวัด ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้เอง …

จะโน้มน้าวใจเขาอย่างไรให้มาช่วยงานวัด Read More »

จะฝึกความอดทนและระงับอารมณ์โกรธได้อย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อครับ ผมไม่ค่อยมีความอดทนเลย ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร เวลามีเรื่องมากระทบความรู้สึกทีไร ผมแทบจะระเบิดเปรี้ยงปร้างเข้าใส่ พยายามระงับอารมณ์ แต่ไม่วายโกรธสักที ผมจะบ้าหรือเปล่าครับ? คำตอบ: อาการน่าเป็นห่วงแล้วนะอย่างนี้น่ะ แต่ไม่ต้องตกใจ ยังไม่บ้าหรอก แล้วก็ไม่ใช่คุณโยมคนเดียวที่เป็นอย่างนี้ คนเดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะไม่อย่างนั้นแค่มองหน้ากันนิดหน่อยจะต่อยจะยิงกันได้หรือ คนเราพอโกรธ พอไม่สบอารมณ์ แล้วลุกขึ้นมาต่อยกันนั้นไม่ยาก จึงมีคนทำกันเยอะ แต่คนที่โกรธแล้ว รู้จักข่มใจไม่ให้โกรธนี่สิหายาก แต่ก็พอหาได้ ฝึกได้และหลวงพ่อก็เชื่อว่าคุณโยมต้องสามารถฝึกตัวเองเสียใหม่ได้ด้วย         คนที่จะควบคุมตนเองได้จะต้องมี “กำลังใจ” เมื่อมีกำลังใจจิตใจจะหนักแน่น มั่นคง ไม่เปราะบาง จนกระทบอะไรไม่ได้ แต่หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ใครว่าอะไรก็วางเฉยได้ ไม่หน้าง้ำหน้างอจะอธิบายอะไร ก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ ชี้แจง ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะฟังข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องของตัวเอง เพื่อจะได้แก้ไขในโอกาสต่อไปไม่รู้สึกเสียหน้า หรือเสียเหลี่ยมแต่อย่างใด         หลวงพ่อได้พบวิธีฝึกให้มีกำลังใจมาแล้ว เป็นวิธีที่ได้ผลยิ่งกว่าวิธีใดทั้งสิ้น วิธีนั้นคือ รักษาศีล 5 ให้ครบ คุณโยมลองรักษาดูให้ครบบ้างสิ มีอะไรบ้างล่ะ         ข้อ 1 ไม่ฆ่า ไม่ว่าจะแค่มด แค่ปลวกก็ไม่ฆ่าทั้งนั้น         …

จะฝึกความอดทนและระงับอารมณ์โกรธได้อย่างไร Read More »

อยากอยู่เป็นโสด แต่กลัวแก่แล้วไม่มีคนดูแล

คำถาม: ตัดสินใจอยู่คนเดียวเป็นโสด ไม่ยอมให้บ่วงผูกคอ แต่ยังกังวลอยู่ว่า ถ้าบังเอิญเราอายุยืน แก่หง่อมแล้วก็ยังไม่ตาย ตัวคนเดียวไม่มีพ่อแม่พี่น้องคงลำบากมาก ท่านมีคำแนะนำอย่างไร จึงจะทำให้อยู่ได้ โดยไม่เป็นที่น่าสมเพชเวทนาของคนอื่น? คำตอบ: คุณโยมจำเอาไว้ มีสุภาษิตจีนอยู่บทหนึ่งบอกว่า “ถ้ามีเงินเสียอย่างเดียว ก็จ้างผีโม่แป้งได้”         ดูซิแม้แต่ผียังมารับจ้างโม่แป้งเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ขอให้คุณโยมปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกัน ให้เริ่มสะสมเงินทองตั้งแต่วันนี้ โดยตั้งเป้าว่า         1. ต้องมีบ้านเรือนของตัวเองให้ได้ ถึงแม้จะหลังเล็กๆ ก็ยังดี ขอให้มีพอซุกหัวนอนเถอะ จะได้ไม่เป็นคนจรจัด         2. มีเงินสะสมไว้ตามกำลัง เพื่อไว้ใช้ยามชรา         คนเราตอนแก่มีบ้านอยู่ มีเงินใช้ถึงไม่มีลูกหลานก็จะมีคนมาดูแลเราเอง แต่ว่าเราต้องหมั่นทำบุญทำทานเอาไว้อย่างต่อเนื่องด้วยนะ ชีวิตจึงจะไม่ลุ่มๆ ดอนๆ มีแต่ความสุข มีความอบอุ่น แม้ยามเราแก่เฒ่า         คนที่ไม่มีทรัพย์ ทั้งยังไม่ทำบุญ ก็เลยไม่มีบุญ ถึงมีลูกเป็นสิบๆ คน เขาก็ไม่มาดูแลหรอก ลูกแต่ละคนก็จะอ้างภาระความรับผิดชอบครอบครัวของตัวเอง บางทีจะได้ยินคำพูดชนิดที่ว่า “แม่ก็ดูแลตัวเองไปซิ ฉันเองก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว” หรือบางทีลูกอยากให้อยู่ แต่แม่เองกลับไม่ชอบขี้หน้าลูกเขย ลูกสะใภ้ เกิดทนกันไม่ได้ ก็ให้มีเหตุสารพัดที่ต้องมาอยู่ตามลำพังนั่นแหละ เกิดทนกันไม่ได้ ผู้เฒ่าประเภทนี้ …

อยากอยู่เป็นโสด แต่กลัวแก่แล้วไม่มีคนดูแล Read More »

จะฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยได้อย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อครับ จะฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยได้อย่างไรครับ? คำตอบ: วินัยต้องเริ่มที่บ้าน เริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก พ่อแม่ต้องเป็นผู้ฝึกอบรมให้ เพราะถ้าปล่อยให้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะอบรมตัวเองยากเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่หมดหนทางเสียทีเดียว หลักง่ายๆ ในการฝึกตนให้มีระเบียบวินัยก็คือ         1. ต้องพยายามอยู่ใกล้ชิดคนที่มีระเบียบวินัยดี เพื่อว่าเราจะได้ติดนิสัยดีๆ จากเขามาบ้างไม่มากก็น้อย         2. ต้องฝึกตัวเองให้มีวินัยในเรื่องเวลา คือฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา โดยเฉพาะอย่ายิ่งอย่านอนดึก เพราะจะทำให้ตื่นสาย แล้วทุกอย่างก็จะต้องเร่งรีบตามไปด้วย ผลที่สุดทำอะไรก็เอาเรียบร้อยไม่ได้สักอย่าง ตรงกันข้ามถ้าพยายามนอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า จำทำให้มีเวลาเตรียมงานต่างๆ ได้พร้อมขึ้น         3. ต้องตั้งปณิธานว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะทำงานทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อนิสัยดีๆ จะได้ติดตามเราไปจนแก่เฒ่า จนถึงชาติหน้า เพราะความที่เราคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดนั่นเอง จะทำให้เราทำงานได้เรียบร้อยและมีวินัย         4. เก็บอุปกรณ์เข้าที่ทุกครั้งที่ทำงานเสร็จ อุปกรณ์ในการทำงาน เช่น หนังสือ เอกสารที่ใช้ค้นคว้า เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เมื่อใช้แล้วต้องเก็บคืนที่ให้เรียบร้อย ถ้าเศษผงเศษขยะก็ต้องรีบปัดกวาดให้เรียบร้อย อย่าปล่อยทิ้งไหว้         5. นั่งสมาธิทุกคืนก่อนนอน หลังจากสวดมนต์แล้วควรนั่งสมาธิให้ใจสงบ จะได้เห็นข้อบกพร่องของตัวเองได้ง่ายขึ้น เมื่อมีคนอื่นมาว่ากล่าวตักเตือนจะได้ใจคอหนักแน่น ไม่โกรธง่าย ไม่รู้สึกว่าเสียหน้า ใจจะเปิดกว้าง และรู้สึกขอบคุณที่เขากรุณาชี้ข้อบกพร่องให้         ถ้าหมั่นทำทั้ง 5 …

จะฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยได้อย่างไร Read More »

เราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง

คำถาม: หลวงพ่อคะ เราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้างคะ? คำตอบ: เราจะต้องไม่คบคนพาล แต่เราจะเลือกคบคนดี คือบัณฑิต เพราะคนพาล เป็นที่มาแห่งความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลาย เราสามารถสังเกตคนพาลได้จากความประพฤติอันน่ารังเกียจของเขา คือ         1. คนพาลชอบชักนำไปในทางที่ผิด เช่น ชักชวนกันไปเที่ยวกลางคืน ดื่มสุรา เล่นการพนัน เป็นต้น         2. คนพาลไม่ชอบวินัย ทั้งไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง แต่ชอบประพฤติผิดศีลธรรม ชอบแหวกกฏเกณฑ์ กติกาของสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่เสมอ         3. คนพาลชอบแต่สิ่งที่ผิด ชอบเห็นความพินาศเสียหายของผู้อื่น เมื่อเวลาตัวเองทำผิดก็ภูมิใจ ลำพองใจว่าจนเก่งกล้าสามารถ         4. คนพาลชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระของตน ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ดูเผินๆ เหมือนหวังดี แต่ไม่ช้าความเดือดร้อน ก็เกิดจากการยุ่งไม่เข้าเรื่องของเขา         5. คนพาลแม้พูดจาดีๆ ด้วยก็โกรธ วินิจฉัยของคนพาลไม่ค่อยคงเส้นคงวา บางทียิ้มด้วย เขาก็ว่ายิ้มเยาะ เผลอหัวเราะเขาก็ว่าเราเย้ย         เมื่อเห็นใครมีลักษณะเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง 5 ประการดังกล่าวนี้ ก็ให้ตั้งข้อสงสัยได้เลยว่าเขาเป็นคนพาล ไม่ควรคบหา ขืนคบเขาเราจะติดนิสัยพาลๆ ไปด้วย         สำหรับบัณฑิตในทางธรรม หมายถึง ผู้รู้ดี รู้ชั่ว …

เราควรมีหลักในการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง Read More »

ผู้มีราตรีเดียวนั้นแปลว่าอะไร

คำถาม: ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้มีราตรีเดียว” นั้นแปลว่าอะไรครับ? คำตอบ: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลพึงทำความเพียรเสียในวันนี้ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยงกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีเดียว”         ในเชิงปฏิบัติ ผู้มีราตรีเดียวหมายถึงบุคคลใดก็ตามเมื่อมีงานในหน้าที่มาถึงแล้ว จะไม่ยอมผัดวันประกันพรุ่ง รอเวลาไว้เมื่อนั่นเมื่อนี่ ปล่อยให้งานการคั่งค้างเสียหาย เหมือนคนเกียจคร้าน แต่จะรีบตั้งหน้าทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปโดยเร็ว แทบจะเรียกว่าไม่ให้ข้ามคืน         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเน้นว่า ไม่ว่าเราจะทำงานในทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม จะต้องไม่เป็นคนที่ห่วงหน้าพะวงหลัง คือ จะไม่เอาเรื่องความสำเร็จในอดีตมายึดถือให้เกิดความประมาทลำพองใจหรือเอาความล้มเหลวในอดีตมาทำให้ท้อถอย เพราะเรื่องที่ผ่านไปแล้วย่อมไม่มีทางเรียกกลับคืนมาอีก และสถานการณ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว         ในเวลาเดียวกันก็ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาด่วนวิตกกังวลจนเกินเหตุ ทำให้กลายเป็นทุกข์กินเปล่า เพราะเรื่องต่างๆ อาจจะไม่หนักหนาสาหัสอย่างที่เราหลงกังวลก็ได้ และเราก็ไม่ควรคิดเพ้อฝันมากเกินไปจนกลาย เป็นคนเพ้อเจ้อ ความจริงแล้วเรื่องในอนาคตที่เราสร้างมโนภาพไว้มันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้         เพราะฉะนั้น เมื่อกิจธุระใดๆ มาถึง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กใหญ่เพียงใดก็ตาม ถ้าได้วางแผนรัดกุมพอสมควรแล้ว ให้ลงมือทำด้วยความรอบคอบ ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ราวกับว่าเราจะมีเวลาของชีวิตเหลืออยู่เพียงอีกคืนเดียวเท่านั้น คือจะทำงานทุกอย่างแบบฝากฝีมือ เอาชีวิตเป็นเดิมพันไม่มีเวลากลับมาแก้ตัว แล้วงานนั้นจะสำเร็จอย่างดีเลิศโดยอัตโนมัติ         ถ้าเป็นงานทางโลกก็จะได้รับผลสำเร็จเป็นอัศจรรย์ เป็นงานชิ้นโบแดง เป็นอนุสรณ์ให้แก่คนรุ่นหลัง …

ผู้มีราตรีเดียวนั้นแปลว่าอะไร Read More »

เมื่อวันมาฆบูชาตรงกับวันวาเลนไทน์

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ เมื่อวันมาฆบูชา (14 กพ. 38) ที่ผ่านมา ดิฉันผิดหวังจังเลยที่ชวนลูกๆ มาวัดไม่ได้เช่นทุกปี เพราะวันนั้นบังเอิญตรงกับวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก ดูสิคะเขาเป็นชาวพุทธแท้ๆ เขายังให้ความสำคัญของวันมาฆบูชาน้อยกว่าวันของพวกฝรั่ง ดิฉันจะอธิบายพวกเขาอย่างไรดีคะ ถ้าหากบังเอิญปีต่อไป วันมาฆบูชาตรงกับวันวาเลนไทน์อีก คำตอบ: วันวาเลนไทน์นี่หลวงพ่อเองก็เพิ่งมาได้ยินเมื่อบวชแล้ว ถามเขาว่าเป็นวันอะไรกัน ก็ได้ความว่าเป็นวันที่พวกทางยุโรป ทางอเมริกาเขาถือกันว่าเป็นวันแห่งความรักของพวกคนหนุ่มคนสาว พวกวัยรุ่นเมืองไทยเริ่มจะให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ จากการโฆษณาของสื่อมวลชน เพื่อหวังผลทางธุรกิจ         ความจริงการที่ปีนี้วันวาเลนไทน์มาตรงกับวันมาฆบูชา น่าจะทำให้คุณโยมสมหวังมากกว่าผิดหวัง เพราะจริงๆ แล้ว วันมาฆบูชาก็เป็นวันแห่งความรักเหมือนกัน คือ เป็นวันแห่งความรักความปรารถนาดีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีแก่สัตว์โลกหรือชาวโลก         โดยพระพุทธองค์ทรงเห็นว่ามนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะความโลภ โกรธ หลง ชักนำให้เขาคิดชั่ว พูดชั่ว แล้วก็ทำชั่ว ผลของการทำชั่วทำให้เขาต้องเดือดร้อนในชาตินี้ แม้ตายไปแล้วก็ยังต้องไปเดือดร้อนต่อในชาติหน้าอีก         พระพุทธองค์ทรงรักชาวโลก ปรารถนาจะให้ชาวโลกพ้นทุกข์ จึงใช้โอกาสในวันเพ็ญเดือน 3 หรือวันมาฆบูชา ในพรรษาแรกของพระองค์ประทานอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการในการประกาศพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหันต์จำนวน 1,250 …

เมื่อวันมาฆบูชาตรงกับวันวาเลนไทน์ Read More »